คำตอบสุดท้าย Ep.29 "ปรับปรุง และ พัฒนาตนเอง"


หากหยุดแค่คำปฏิเสธ ภาพจะเป็นอย่างไร หากยืนหยัดรักสิ่งนี้ ภาพจะเป็นเช่นไร

หลังจากนั้นเป็นต้นมา หนังสือเรา จากที่เป็นหนังสือที่โนเนม ในที่สุด เราได้จัดการ จัดปรับแต่ง

  อัฟเดท เพิ่มเนื้อหาจนเสร็จก่อน กำหนด 2สัปดาห์ เอาจริงๆ มีสำนักพิมพ์ ที่ไหนเห็นค่าในงานเขียนนี้ น้อยมาก ที่เห็น และเรื่องนี้ ตอนที่ผมเล่า ต่อหน้าโค้ช ไม่เกินสามวิ ตกใจมาก.........

     ก่อนหน้านั้น มีการกล่าวโทษอะไรสักอย่างที่เชื่อมกับสองเหตุการณ์นั้น ถึงขั้น ประกาศปิดเฟสบุ๊ค ส่วนตัว แฮคไลน์ แทบตัดขาดก็ว่าได้ เสี้ยววินาทีนั้น ก่อนลงมือ มีลูกค้าโทรมา ขอรับการโค้ชจากเรา ตั้งสองคน เกิดไล่เลี่ยกัน คนแรกระบายอารมณ์ ก่อนเลย คนต่อมาได้ร้องขอความช่วยเหลือ จากเรา พอดี ช่วงนั้นไปต่อลำบากมาก และช่วงหกโมงเย็น มีลูกค้าโทรมาพอดี ก็โค้ชไปตามความต้องการของเค้า ภายใน 1 ชม. จบการโค้ชไป ผมถามเค้าว่า “เพราะอะไรถึงตัดสินใจ ขอรับการโค้ชจากเรา ทั้งๆที่เราโนเนมแท้ๆ” ลูกค้าคนนั้นพูดว่า “แม้จะไม่ใช่โค้ชที่ดี แบบมืออาชีพ แบบคนอื่นเค้า สิ่งที่เห็นต่าง คือ เราเป็นผู้ฟังที่ดี และเข้าใจ คนอื่นแบบธาตุแท้ โจทำต่อไปเถอะ หากสิ่งที่ทำถูกต้อง และ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน โจ ไปต่อในเส้นทางนี้เถอะ เป็นกำลังใจให้” เราแทบไม่เชื่อว่า ผู้ชายที่ชื่อโจ สามารถ ฉุบชีวิตคนอื่นได้จริง เราแทบไม่เชื่อตนเองว่าทำได้ แต่ด้วยคุณค่าในตัวเราบางอย่าง จึงตัดสินใจไปต่อ แต่การไปต่อ ไม่สะดวกสบาย และ ลำบากมาก จนกระทั่ง ทุกวันของวันอังคาร เช้ามีสำนักพิมพ์โทรมา ให้เชิญงานเขียนเราขึ้นอีบุ๊ค และบ่ายสาม เคลียร์กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับคนๆนึง ซึ่งอยู่ในทีมแอดวาร์น ก็เล่าเรื่องทั้งหมด ในสองเดือนนั้น ให้ฟัง จนถึง วันพุธช่วงเย็น ก็ส่งข้อความตามคำเชิญของเพื่อนคนนึง ซึ่งขณะนั้นฝึกโค้ชอยู่เหมือนกันกับเรา ก็มานัดคุยทางโทรกัน

     หลังจากนั้น ก็เปิดรับการโค้ชตามคำเชื้อเชิญ จากเพื่อนคนนั้นมา และ “คำพูดสุดท้าย กล่าวว่า หากเราล้มเลิกความตั้งใจ ที่เป็นโค้ชลงไป และเราจะหาตังที่ไหน ให้พ่อแม่ภูมิใจ” พูดด้วยน้ำเสียง ดุดัน มากๆ แต่อย่างน้อยทำให้เห็นทางว่า กว่าโอกาสเข้ามาจริง ไม่สะดวกสบายนะ เราเลยปรับความคิดใหม่ว่า งานโค้ชไม่ได้สบายอย่างที่คิด นะ เอาจริง กว่าจะจัดสัมมนา เราต้องมีทีมงานกี่คน เราต้องใช้กี่คน รับผิดชอบได้มั้ย บางทีรายจ่าย อาจมากกว่าคอร์ส หลักแสนเสียอีกก็เลย

    ในขณะที่ วางสาย และค่อยผ่านไป ขณะเดียวกัน ผมแวะเปิดเพลงหนึ่ง ซึ่ง เพลงนั้น ไม่รู้ว่า เพลงนี้สื่ออะไร วงไอดอลเด็ก 16 คน และคนนั้น ร้องเพลง เพลงนึง ซึ่งเพลงนั้นเคยได้ยิน ก่อนเข้าวงการโค้ช เพลงนั้นมีชื่อว่า “ 365 Nichi Kami Kihouhiki” แปลเป็นไทย อ่านว่า 365 วัน กับ เครื่องบินกระดาษ

     ถ้าเดาให้ออก น่าจะเป็น วง48 ของญี่ปุ่น พอมาฉบับไทย ดูฝืดๆ แต่พอเข้าใจความจริงเพลงนี้

 ทำให้เห็นคล้องกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ ราวกับว่า สุดท้ายแล้ว ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ และ เครื่องบินกระดาษ ลอยผ่านทุกที่ ส่องแสงเข้ากลางใจคน ในขณะที่ไม่เชื่อว่า วง  48 เปลี่ยนหัวใจคนได้จริง ยังไงก็แค่ เพลงในหมวดศาลาคนเศร้า และจากไป ช่วงนั้น 48 ในไทย เหรดยังลุ่มๆดอนๆ จนกระทั่ง เราเปิดฟังเพลงนี้ รู้สึกเกิดแรงบันดาลใจ จนถึงวันนั้น 48 ในไทย ได้ขึ้นโชว์ครั้งแรก ในงาน

      Japan Expo 2017 ที่พารากอน ฮอลล์ วันที่ 1 และ โชว์อีกครั้งวันที่ 3

    ในงานใหญ่แบบนั้น เราแทบไม่รู้วัฒนธรรม ของคนที่ติดตาม 48 ว่าเป็นอย่างไร และ กฎการอยู่ร่วมกัน เข้มมาก ยิ่งกว่า ตอนเรียนหนังสือในโรงเรียน มันคือเรื่องจริงหนักกว่า ตอนไปหาศิลปินเกาหลี จนถึงวันสุดท้ายของงาน คนแน่นฮอลล์มาก เพื่อมาดู 48 โดยเฉพาะ ประโยคท้าย ที่ล่ำลาไป ทุกคนเรียกเชียร์เป็นเสียงเดียวกันว่า “อังกอร์รุ” ซึ่งแปลว่า “เอาอีก ขออีกรอบ” รู้สึกได้เลย ไม่เหมือน เกิร์ลกรุ๊ปธรรมดาแล้ว มันเป็นได้หลายอย่าง ทั้งนักสร้างบันดาลใจ ศิลปิน ไอดอล ต้นแบบพัฒนาสังคม แปลได้หลายๆอย่าง ซึ่ง ปกติ ศิลปินทั่วไป เวลาแฟนคลับเข้ามา จะพูดคุยและถ่ายรูป แต่วงนี้ ต่างไปคือ คุยได้ แต่ห้ามถ่ายรูป เพราะเราได้ยินมาว่า วงนั้น มีกิจกรรมงานจับมือ กับ ถ่ายรูป ซึ่งต้องลงทุนจ่ายตั๋วนั้นไปหาเค้า

     สำหรับผมแล้ว 48 คือ เพื่อนร่วมโลก ไม่ใช่กัลยาณมิตร เพราะ เราไม่สามารถทักสุ่มห้าสุ่มหกได้เลย และ

 มีสิ่งที่เหมือนกันคือ ความตั้งใจ มีเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในขณะนี้

    วันแล้ววันเล่า ตลอดจน เข้าห้องเรียน การเป็นที่ไม่ธรรมดา ก็มีโอกาสเข้ามาในชีวิต มากมาย ทำให้มีลมหายใจไปต่อ เรียนรู้ และ ฝึกฝนได้อีก ตั้งแต่ ออกหนังสือเสร็จ ก็มีหลวงพี่ พาเรา ไปออกรายการวิทยุ อสมท. ให้การสัมภาษณ์จากสื่อวิทยุ เกี่ยวกับโครงการ หมอสะอาด และ ดูแลกำกับน้องที่ถ่ายเอ็มวี ต่อมา ก็ไปสอนเด็กในชุมชนเล็กๆ และ ปรับรายกายใหม่ โดยใช้แอพหนึ่งซึ่ง เป็นตัวเดียวที่ 48 ใช้ในตอนนั้น เปิดรายการใหม่ ชื่อ “สอนคน สอนใจ” ภายใน รายการ Empower to the dream ถ่ายทำทุกวันศุกร์แบบเดียวที่ ตอนไลฟ์ของเรา ในตอนนั้น ที่ไลฟ์สดในแรกๆ โผล่ตอนหนึ่ง 15 คนดู และ ตอนถัดมาไม่มีคนเลย สิ่งที่เติมลงไปคือ เล่าข่าวบันเทิง และ ข่าวสังคม เท่านั้น

     มีช่วงๆหนึ่ง ที่ไปพัฒนาตนเอง เรื่องการทำคลิปวีดีโอ เพื่อผลิตสื่อการสอน แต่การตัดต่อของเรา

 ดู ก่ำๆกึ่งๆไป ก็เลยจองสิทธิ์ คอร์สหนึ่ง ของ คุณไก่ ซึ่งเป็นอดีตบอยแบรนด์ ค่ายหนึ่ง มาเป็นโค้ชสอนเรื่องนี้ มีพี่อัลเบิร์ท คนที่ผมเจอคนแรกในวงการสัมมนา ที่สอนเมนเทอร์คนแรกของเรา เป็นเทรนเนอร์ ก็ตัดสินใจมาเรียนในคอร์สนั้นด้วย

   และช่วงที่เวิร์คช็อป เกิดขึ้น ให้ฝึกแนะนำตัว มีพี่คนนึง เป็นโค้ชด้านการผลิตแฟนเพจ อยู่ในนั้น ก็จับกลุ่มกับ พี่อัลเบิร์ท และ ผมด้วย สิ่งที่เกิดขึ้น ผมแนะนำตัว พร้อมศาสตร์ที่นำเสนอชื่อว่า Mirror”

   ตอนพูด ดูหายใจสั้น กล้าๆกลัวๆ กลัวที่จะผิด พี่อัลเบิร์ท ถามผม ตอนถ่ายทำเสร็จ ว่า

   “ โจ ถามสักอย่างหนึ่ง ว่า อะไรที่การพูดของเรา นั้น เติบโตขึ้น.......”

   ระบบจิตใต้สำนึก ทำงานทันที ผมพูดว่า “เกิดจากที่ เราเอง ไม่ปิดโอกาสตัวเอง ครับ.........”

   แล้ว พี่อัลเบิร์ท พูดอย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นโค้ช หรือเทรนเนอร์ และ วิทยากร สิ่งสำคัญคือ ลูกค้าต้องอะไร ดังนั้น อย่าวัดที่ความดัง จำนวนลูกเพจ สิ่งที่ควรโฟกัส ไม่ใช่เนื้อหา แสง สีเสียง รวมเสื้อผ้า สิ่งที่สำคัญคือ เขาจะได้อะไรจากงานสอนของคุณกลับไปมากกว่า รวมถึง ผลลัพธ์ของโจด้วย....

    เสี้ยววินาที นั้น ภาพในหัวคือ “เวที กับ ผู้เข้าอบรม 1000 คน” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง

 5โมงเย็น ก็ขอบคุณ พี่ไก่ ในคอร์สการทำคลิป ในโอกาสนี้ ก็พูดตามความรู้สึก ที่สัมผัสสิ่งนั้นขึ้น

    และแล้ว เวลา ก็ผ่านไป. . .

    จนกระทั่ง มีกลุ่มชีวิตดี๊ดี จากคนบางคน เสนออีเว้นท์ วันผู้สูงอายุสากล ผมจึงตัดสินใจ ร้องขอและลงทะเบียน จ่ายเงิน จองสิทธิ์ หลังจากนั้น เป็นต้นมา ก็รีบตื่นแต่เช้า ไปที่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ด้วยสภาพจราจรโดยปกติ รามคำแหง ติดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

     ด้วยความที่ชนกับ เสรี และ บางกะปิ ศรีนครินทร์ คงจะเข้าใจ สภาพจราจรว่า รถแน่นมากจนรีบไป ก็มาที่งานนั้น และเดินเที่ยวเยี่ยมบรรยากาศงาน จนกระทั่งเจอกัลยาณมิตรเก่า ที่รู้จักกัน ทักทาย จนกระทั่ง มีผู้บริหารการกีฬาแห่งประเทศไทย เจอหน้าผม และคุยกันทันที และปักรอตั้งแต่ บ่ายสอง ก่อนกำหนดดำเนินงานจริงๆ 1ชั่วโมง และช่วงนั้น เป็นจุดสำคัญ ผมร้องขอพิธีกร อยู่ข้างเวลาที่ ว่า

     “ พี่ครับ ผมขอ อะไรอย่างหนึ่งครับ วันนี้ผมมีส่วนหนึ่งมาแบ่งปัน” พิธีกรถามกลับ ว่าเกี่ยวกับอะไร

  ผมพูดว่า เป็นเกร็ดความรู้สำหรับการปลุกพลังให้กับผู้สูงวัย แค่10นาทีสั้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ทางพิธีกรงานก็จัดคิวให้เราทันที ท่ามกลาง ผู้สูงวัย และผู้เข้าสัมมนา ทั้งหมด 100คน ผมพูดถึงเครื่องมือ ที่เราใช้อยู่นั้นคือ

      3ถัง พลังชีวิต เพื่อความมั่นคงในชีวิตที่เหลือ” เอาซะงง เลย

      ผมพูดเรื่องนี้ 10 นาที ท่ามกลาง คน100คน ในห้องสัมมนา ด้านหลัง พอเห็นภาพ แต่ด้านหน้า เท่าที่ผมสังเกต โดยเฉพาะ คุณผู้หญิงคนนั้น กุมหัวเลย ด้วยความที่ มาครั้งแรก ปากก็สั่น พูดเร็วมากๆ ตัวเย็น กล้าๆกลัวๆ มาก กลัวคนไม่เข้าใจ และนั่นถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเรา ถ้านำไปเปรียบเทียบ เหมือนเราพูดต่อหน้าห้องเรียน ไม่มีความมั่นใจ กลัวคนมากกว่าตนเอง แต่ ตอนขึ้นเวที กลัวตัวเอง มากกว่า กลัวคน เป็นอะไรที่สวนทาง กับสิ่งที่เกิดมากๆ จนถึงตอนนั้น ผมเดินไปข้างหลัง ตอนกลับบ้าน ออกมารับผิดชอบคือ เวลาที่รับงานบรรยายผมจะไม่พูดว่า ขอโทษ มีแต่ ออกมารับผิดชอบ เพื่อฟัง Feedback ว่า เราทำงานเค้าล่มหรือเปล่า แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนขึ้นพูด เขาเห็นสิ่งหนึ่ง (หมายถึงผู้จัดการการจัดงาน) บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลก” ตาโตมากๆ แล้ว มีคำๆหนึ่งตามมา เขาชื่นชมในความตั้งใจ ของเรา ในครั้งนี้ สิ่งที่เห็นในตัวเรา คือ

   “ความพยายาม และ ความตั้งใจ”  เป็นสิ่งที่เราพึงรักษาไว้ คำที่หลุดบ้าง นำไปแก้ และ พัฒนาตนเองต่อ

    จะมีสักกี่คน ที่กล้าทำสิ่งนั้น จนกระทั่ง ทุกอย่างจบสวย โดยไม่ทิ้งอะไรไว้เพียงข้างหลัง วันต่อมา ก็ฝึกฝน

และพัฒนาตนเอง ตลอดเวลา ไม่ว่า จะเป็นรายการที่ถ่ายทำบนแอพ หรือ เวลาที่คุยกับในกลุ่มเพื่อน รวมถึง ลูกค้าที่ขอโค้ชจากเรา หนำซ้ำ เดินสายไปโค้ชชิ่ง ตามที่ต่างๆ ไปสอนเด็กในมูลนิธิ ร่วมงานหลวงพี่บ้าง เป็นพิธีกรประจำบูท พูดถึง พิธีกร เราทิ้งสิ่งนั้น ไปนานมาก จนกระทั่งเราโพสต์งานพิธีกรลงไป ในเว็บหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นมีเจ้าแรก โทรหาเราพอดี และ ตัดสินใจดูคอนเสิร์ปงาน ตลอดจน มีการซ้อมพูด เรียงคิวกัน เป็นครั้งแรกที่ทำงานจริง ที่สุดในชีวิต และมีค่าจ้างไปด้วย แต่ผมไม่ได้ยึดติดกับสิ่งนั้น ก็เลยเต็มที่ตรงเนื้องาน ก่อนแค่นั้น วันแล้ววันเล่า มีการเผชิญที่สุด บางวันที่ทำงานมีทำเหรียญอีก ต้องรับมือจัดการเหลือไว้ ทำอย่างอื่นอีกด้วย วันนั้นจำความได้ เกิดตอนคืนวันศุกร์ ที่องค์หนึ่งอยู่แถว สายไหม วันนั้นแต่งแบบ นักร้องยุค90 ช่วงนั้น ผมได้มีโอกาสไปโค้ชชิ่งให้ทหาร ร่วมกับโครงการของ พี่ต้น สุชาติ ชวางค์กูล อดีตนักร้อง ก็มาเดินสายไปทั้งสองโรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎ และ โรงพยาบาลทหารบก แถววิภาวดี ก็เลยนึกมาได้ แต่งตัว Cover พี่เค้าดู ปรากฏว่า คนในงาน ตกใจ นึกว่า คุณชะสิโด้ หรือเอวิส และหลังจากนั้น ตลอด3ชั่วโมง ของบรรยากาศงานนั้น ภาพรวม สวยงาม แต่มันดูก่ำกึ่งบ้าง ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และ ได้ตระหนักรู้ถึงข้อผิดพลาด ในเวลาเดียว

        ถามว่า เกิดขึ้น และ รับมือจัดการอย่างไร จึงเกิดความสมบูรณ์ขึ้น บางส่วนไม่เกิดผล ทำไมไม่ได้ดูแย่

  เกิดขึ้นจาก อยู่ในโปรแกรม การแสดงออก และ ผู้นำ ตลอดเวลาที่กำหนด 4เดือน มีเท่านั้น จริงๆ จนกระทั่ง ถึงช่วงปีใหม่ ในปี 2561 ก่อนมาถึง วันที่ 1/1/61 วันสิ้นปี ผมไปวิ่งรอบกรุงเทพ อีกครั้งหนึ่ง และใกล้กว่าเดิม จากวงเวียนใหญ่ ถึงเดอะมอลล์ บางกะปิ ใช้เวลา ครึ่งวัน ไม่รู้ว่า เอาแรงมาจากที่ไหน วิ่งได้ไกลขนาดนี้ ผ่านสุนัข ร็อดไวเดอร์ ยังไม่สะเทือนเลย เฮ้อยยยยย......... บ้าไปแล้ว !!!!!!

      ถึงที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ เกือบเที่ยงตรง เหลือเวลา 10นาที ร้อนก็ร้อน ผิวไหม้เกรียมดำปืดดดดดดด

 และ สลบคาหน้าเก้าอี้ เพื่อรอดู คอนเสิร์ต พี่เจ และ ลูกของเค้า เท่านั้นเลย

        ถึงช่วงปีใหม่ หลับยาว ตอนตื่น ผมรู้สึก ขอบคุณตัวเอง ผมพูดอะไรให้ตนเองที่ รับผิดชอบ

    และเป็นต้นเหตุได้ แม้จะเจออุปสรรค มาก แต่ ไม่ดูแย่ มันมีคำพูด พูดว่า

“ จงชื่นชม และ ยินดี กับตนเอง ทุกๆวัน

ไม่ว่า จะเจออะไรก็ตาม

สุข ทุกข์ เหงา หมดกำลังใจ

ขอแค่ สำนึกรู้คุณ เสมอว่า

เราไม่ได้ อยู่ตัวคนเดียว บนโลก

ยังมีคนรอบข้าง ที่รอให้กลับ ยังมีคนที่รอ การช่วยเหลือ

ทุกวินาที จะเกิดผลหรือไม่ ขอเพียงแค่ ขอบคุณตนเอง”

หมายเลขบันทึก: 661328เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2019 14:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน 2019 14:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท