…ปฐมบท…
การมีชีวิตอยู่ในเชิงบวก ไม่ได้หมายถึงเราต้องมีความสุขทุกเวลา สถานการณ์บางครั้งอาจแย่ พอผ่านไปมักจะจบลงด้วยดีเสมอ ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนไม่ได้ทำให้ความเป็นสังคมแตกหายเลย แต่กลับยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้มีขึ้น ให้เห็นถึง และทำให้เกิดการมีส่วนร่วม ของคนๆนึงในสังคมนั้นๆ การอยู่เพื่อเผชิญ การเผชิญเพื่อยอมรับ การยอมรับและการแก้ไขปรับปรุง ทำให้อยู่รอดปลอดภัยและมีความสุขบนสังคมและชุมชน กล่าวถึงภัยแล้ง ก็นึกถึงภาพพื้นดินที่แห้งแล้ง แตกระแหง หรือต้นไม้เหี่ยวเฉา น้ำในห้วยหนองคลองบึงแห้งขอด แต่มีพื้นที่หนึ่งอยู่ท่ามกลางป่าเขา รอยต่อระหว่างเขตุอุทยานแห่งชาติภูผายลและภูพาน แปลกแต่จริง ต้นไม้ป่าเขามากมาย แต่ก็ไม่วายที่จะเจอปัญหาภัยแล้ง ในช่วงเอนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกๆปี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องและเดินทางมาเรื่อยๆ จนเกิดการตั้งคำถามว่าเพราะอะไร เราจะทำยังไง แก้ปัญหาอย่างไรดี แน่นอนครับ เมื่อมีคำถาม ก็ต้องมีคำตอบ ชาวบ้านเขารวมกลุ่มกันพูดคุย และตกผลึกกันเองว่าเพราะ ป่าเสื่อมสภาพ ดินไม่อุ้มน้ำ ทั้งๆที่เราอยู่ติดที่ราบลุ่มน้ำ ห้วยหวด ภูสาน ภูกระติ๊บ จะทำอย่างไรถึงจะมีน้ำกินน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้งให้ได้ งั้นเราแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนคือ การเดินเท้าหาแหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะ ทำไมสัตว์ป่าถึงอยู่ได้ คนก็ต้องอยู่ได้แน่นอน ตัวแทนชุมชนเดินเท้าสำรวจ โดยมีพระอาจารย์สุพจน์ สุวโจ (เจ้าอาวาสวัดป่าโคกกลาง) ผู้ใหญ่ศักดิ์สยาม และชาวบ้าน4-5 คนอาสาเดินเท้าสำรวจตาน้ำ จนทำให้มีการผลักดัน ระดมทุนซื้อท่อน้ำพีวีซีทำระบบที่เรียกว่าประปาภูเขาเกิดขึ้น เพื่อต่อน้ำมาดื่มมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วค่อยหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาต่อไป ถัดจากนั้นก็มีหน่วยงานต่างๆเข้ามาดูแล แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นการบริหารจัดการด้วยมือของคนในชุมชน กล่าวคือ ชาวบ้านรู้แล้วว่าที่แห้งแล้งตลอดมา เพราะ ไฟป่าจากคนนอกพื้นที่เข้ามาหาผักหวาน หาผึ้ง ล่าสัตว์ป่า ป่าจึงเสื่อมโทรมลง จึงมีมติกันพื้นที่ป่าโดยการบวชป่า ทำแนวป้องกันไฟป่า ปลูกป่าถาวรให้เพิ่มขึ้น จากนั้นก็พัฒนาดูและแหล่งต้นน้ำจากภูกระติ๊บ ภูสาน ภูผายล เรื่อยมา
…ต่อมา…
จะว่าไปแล้วพลังจากชุมชนก็มีมากพอสมควรอยู่แล้ว แต่ยังเฉื่อยชาแต่ขาดกำลังบางส่วน ผู้เขียนเองจึงได้มีโอกาสสนทนาส่วนตัวกับพระอาจารย์และผู้นำชุมชนถึงปัญหาในพื้นที่ จึงอาสานำนิสิตจิตอาสามาทำแนวป้องกันไฟป่าเมื่อปี 2559 และนำทีมงานจากศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม มาดำเนินกิจกรรมภายใต้ชื่อโครงการแบ่งปันน้ำใจต้านภัยแล้ง เมื่อ 29-31 มีนาคม 2562 จำได้ว่าปีนั้นพากันมาต่อท่อน้ำจากหมู่บ้านเข้าสู่แทงค์น้ำระยะทาง 400 เมตร ถือว่าเบามาก แต่ก็ยังไม่สุดฉุดไม่อยู่เพื่อเป็นการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่องเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2562 ก็ได้มาลงพื้นที่และสำรวจพื้นที่อีกครั้ง จนในที่สุดชาวบ้านบอกรอไม่ไหวก็ทำล่วงหน้าไปก่อน คือ การทำฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อวางถังกักเก็บน้ำ ทีมสำรวจค่ายก็ได้ช่วยและเดินเท้าไปยังต้นน้ำประปาภูเขาระยะทางไปกลับ 4 กิโลเมตร ทำเอาเหนื่อยพอสมควร ได้เห็นต้นน้ำที่ไหลจากซอกหิน ขนาดเล็กมาก แต่ยังสามารถให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านได้ดื่มได้ใช้ และน้ำเย็นใสมาก รสชาติออกเปรี้ยวๆฟาดๆแต่ดื่มไปกลับหวานไม่มีสีมีกลิ่น ระหว่างทางก็ยังเห็นไฟป่ารอบๆพื้นที่ ยังไหม้ลุกลามท่อน้ำทำให้ท่อบางส่วนไม่สามารถลำเลียงน้ำได้ และชาวบ้านก็ไม่ได้หลับได้นอนเพื่อช่วยกันดับไฟป่าดึกๆดื่นๆ ทีมงานจึงกลับมาหารือ และนำไปสู่การจัดกิจกรรมโครงการจิตอาสาเพื่อชุมชน “แบ่งปันน้ำใจต้านภัยแล้ง ปีที่ 2” ในระหว่างวันที่ 6-8 เมษายน 2562 ขึ้น โดยมีเครือข่านิสิต๙ต่อBeforeter วัดป่าโคกกลาง ชุมชนบ้านโคกกลาง และนิสิตตัวแทนของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พร้อมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับรู้และสนับสนุนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี…เตรียมการ… จะว่าไปแล้วจากการสำรวจพื้นที่ นำไปสู่การประชุมวางแผนงาน ถึงขั้นตอนประกาศรับสมัครผู้คนนั้น ทางศูนย์ฯเครือข่ายนิสิตจิตอาสาก็ไม่ได้มีคณะทำงานมากมายอะไร มีเพียง 7-8 คนเท่านั้น แต่พอประกาศรับสมัครปุ๊บมีนิสิตสนใจสมัครมาเยอะมาก จนต้องขยายจำนวนที่นั่ง เป็นนิสิตจำนวน 55 คน ทีมงานมีการเตรียมกิจกรรมเหมือนกิจกรรมต่างๆทั่วไป อาทิเช่น การเดินเอกสาร วางแผนกิจกรรม ประสานงาน เขียนป้าย จองรถ หรือแม้กระทั้งยูกยา ข้าวปลาอาหาร มีการปฐมนิเทศก่อนไปค่ายข้อแม้ข้อเดียวคือทุกคนต้องเข้าร่วม หากไม่สามารถมาได้ ถือว่าสละสิทธิ์ทุกกรณี แต่วันนั้นฝนฟ้ากลับตกมามืดคลึ้มไปหมด แต่ก็ยังมีนิสิตอดทนตั้งใจมาเข้าร่วม โดยมีพี่รุ่งโรจน์ แฉล้มไธสงค์ นักวิชาการศึกษา บรรยายในหัวข้อ เครื่องมีการจัดการคนค่ายและการไปค่ายอย่างไรให้สร้างสรรค์ บรรยายกาศไม่ตรึงเครียดแถมยังให้เสียงหัวเราะ ผ่อนคลายกังวลกับทุกคนที่มานั่งฟัง หลังจากนั้นก็จัดการแจกเสื้อค่าย ชี้แจ้งกำหนดการ นัดหมายเวลาขึ้นรถพร้อมกันด้านหน้าอาคารพัฒนานิสิต
…เนื้อเรื่อง…
ฟ้าสางราวๆตีห้าเศษๆทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันลำเลียงสิ่งของขึ้นบนหลังคารถหกล้อสีขาว แจกป้ายชื่อ ลงชื่อรายงานตัว พร้อมกันที่รถจับจองพื้นที่นั่งแต่ก็มีคนมาสายรอไปรอมาสัก15 นาที รถจึงออก แต่น้องก็มาทันเวลา ขับไปได้สักพักก็แวะสถานีเติมน้ำมันที่กาฬสินธุ์ เพื่อให้ทุกคนเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นเขาภูพานที่โค้ง สูงชันพอสมควร รถวิ่งมาที่อำเภอสมเด็จขึ้นสู่ภูพาน มายังสถานีบริการน้ำมันกลางภูพาน แวะพักให้ล้างหน้าล้างตาทำภารกิจส่วนตัวแล้วมุ่งหน้าไปยังศาลพญาเต่างอย พอถึงก็ให้ไปกราบนมัสการขอพรตามความมุ่งมาดปรารถนาของแต่ละคน และทานข้าวเช้าที่นั้น ก่อนเดินทางไปยังห้วยหวดและอุทยาแห่งชาติภูผายล ให้พักผ่อนคลายก่อนทำงาน โดยเดินชื่นชมพืชพันธุ์ไม้มากมายต่างๆและจดชื่อต้นไม้ระหว่างทางให้เยอะที่สุด แล้วขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ชมชนบ้านโคกกลาง ตำบลจันทร์เพ็ญ อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร นำสัมภาระลงเก็บให้เข้าที่ ชี้แจ้งกิจกรรม แล้วมีทีมสันทนาการจากชมรมรุ่นสัมพันธ์เล่นเกมส์ละลายพฤติกรรมคนค่ายแล้วับประทานอาหารเที่ยง ก่อนทำภารกิจภาคบ่าย กินข้าววัด นอนที่วัด เป็นประสบการณ์ที่บางคนยังไม่เคยสัมผัส ทำเอาบางคนตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก บ่ายมาก็ได้นำนิสิตกับชาวบ้านชาววัดทำพิธีถวายปัจจัยซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง เสร็จแล้วพระอาจารย์ก็ธรรมะปฏิสัณฐานกับคนค่ายพูดถึงป่าชุมชน การพัฒนาน้ำดื่ม การทำกรรมฐานผ่านการให้เรียกว่าจาคะวิปัสสนาแค่คิดจะให้ก็ได้บุญแล้ว กายให้ ใจให้ ย่อมเกิดความสุขแก่ทุกคน ระหว่างนั้นก็มีชาวบ้านนำเมล็ดมะขาม ต้นมะขามมาบริจาค และได้รับเกียติจากรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลจันทร์เพ็ญมาพบปะพูดคุย จากนั้นจึงแบ่งทีมจอบ เสียม คลาด ไม้กวาดทางมะพร้าว ถังใส่เมล็ดมะขาม เพื่อทำแนวป้องกันไฟป่าบนภูกระติ๊บ บริเวณรอบวัด วันนี้เป็นการทำระหว่างพระเณร ชาววัด และนิสิต ทำไปได้พอประมาณ ความเหนื่อยเมื่อยล้าเกิดขึ้นมากๆ แต่ทุกคนก็ยังยิ้มสู้กับการทำงานในครั้งนี้ เพราะ ได้เห็นซึ่งประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงๆ จากแนวป้องกันไฟป่า ยังได้ฟังเรื่องเล่าป่า สัตว์ป่าในพื้นที่อีกด้วย แล้วจึงกลับมาพักผ่อนทำภารกิจส่วนตัว แน่นอนวันแรกภาระงานยังไม่หนักอะไรมาก ถือเป็นการเตรียมความพร้อม หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เดินเท้าไปสำรวจชุมชน ทุกคนก็มุ่งหน้าไป พบปะพูดคุยามอัธยาศัย โดยมีใจความว่า ชาวบ้านดีใจที่นิสิตทุกคนได้มาทีนี้ และขอต้อนรับอำนวยความสะดวกต่างๆ วันพรุ่งนี้จะไปช่วยต่อท่อน้ำด้วย นิสิตบางคนตื่นเต้นอีกแล้วเพราะเขาหมู่บ้าน จะได้เจอสัญญาณโทรศัพท์ ที่วัดไม่มีสัญญาณ ก็จะได้ส่งแชทบอกคนที่บ้าน บอกแฟน หรืออะไรก็ตามฮ่าๆ และมุ่งตรงไปยังร้านค้าด้วยความหิว จากนั้นก็เดินกลับวัดราวๆ 1กิโลเมตร บางคนก็มีชาวบ้านมาส่งด้วยความสามารถพิเศษโบกรถ บางคนก็เดินชมบรรยากาศ มาถึงวัดก็เตรียมทานข้าวเย็น เสร็จแล้วมานั่งล้อมวงพูดคุยกัน ความรู้สึก สิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และชี้แจงกิจกรรมวันถัดไป กลุ่มเอกภาษาอังกฤษก็จะพูดถึงการสันทนาการที่ไม่ค่อยมีรสชาติ กำหนดการที่ไม่แน่นอน และก็ความเหนื่อยเมื่อยล้า กลุ่มน้องที่มาร่วมจาก มข. ก็จะพูดถึงภาพรวมและดีใจที่ได้มาร่วมกิจกรรม ยังอาสาเป็นสันทนาการให้วันถัดไป กลุ่มเด็กบัญชีก็รู้สึกอบอุ่นและยังเป็นครอบครัวเหมือนเดิม หลังจากนั้นผู้เขียนก็เล่าประวัติความเป็นมาของเครือข่าย และชี้แจ้งรูปแบบกิจกรรมว่าเราแน่นอนชัดเจนไม่ได้ เพราะ ค่ายของศูนย์เครือข่ายทำกิจกรรมแบบหน้างานปรับเปลี่ยนตามหน้างาน เนื่องจาก้ราทำงานกับชุมชน เราจะให้ชุมชนเป็นคนกำหนดกิจกรรมบางส่วนให้เรา แต่เราจะไม่กำหนดกิจกรรมหุ้มชน เพราะ ให้ความเคารพคนในพื้นที่เขาอยู่ที่นี้เขาจะรู้มากกว่าเรา วันพรุ่งนี้ต้องเดินเท้าแบกท่อไปบนภูเขาระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อม และจะต้องห่อข้าวขึ้นไปบนภู ขอให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีกำลังกายกำลังใจพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ จากนั้นก็สวดมนต์แผ่เมตตา เข้านอน แต่เข้านอนก็ไม่ได้บังคับทุกคนต้องนอน ผมจึงไปปรึกษากับน้องทีมงานก็อฟ(วัชระ) อร(อรวี) อาย(อินทิรา) เจฟ(ตากล้อง) ว่ากิจกรรมรอบกองไฟเราลองให้ครูอิ้งมาช่วยดีไหม จึงเรียกมาคุย และน้องก็รับอาสามาเป็นทีมจัดกิจกรรมรอบกองไฟให้ โดยยกหน้าที่และให้อิสระในหชการออกแบบกิจกรรม
วันต่อมาเช้าๆเรามาออกกำลังกายและไปทานข้าวเช้า แน่นอนเลยวันนี้เหนื่อยแน่ๆ แต่ก็เห็นมีชาวบ้านทยอยมาที่วัด ถืออุปกรณ์ จอบเสียม เครื่องไม้เครื่องมือ อย่างขะมักเขม้น ทักทายลูกๆคนค่ายจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากนั้นพระอาจารย์ก็แบ่งหน้าที่และให้ผู้ใหญ่บ้านนัดหมายกิจกรรม ทุกคนถืออุปกรณ์ในมือด้วยความตั้งใจ จนไปถึงที่ราบเชิงเขา ซึ่งจะต้องแบ่งกันถือท่อน้ำ จอบเสียม คลาด ไม้กวาดทางมะพร้าว และต้องห่อข้าวพร้อมมีขวดน้ำของใครของมัน ทีมถือท่อก็ต้องแบกท่อไปให้ถึงต้นน้ำ ทีมที่คลาด จอบเสียม ไม้กวาด ก็ต้องขุด ต้องกวาดเศษใบไม้ที่ทับถมท่อน้ำออก เพื่อที่เวลาไฟไหม้มาจะได้ไม่ลุกลาม เนไปเรื่อยๆตอนแรกก็ครึกครื้น ยิ้มแย้มดีอยู่หรอก เดินมาได้ครึ่งทางทั้งสูงชัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชี้ให้ดูหลังคาวัดแล้วบอกว่าเราเดินมาได้ครึ่งทาง ทำเอาโอ้โห้เรามาไกลขนาดนี้เชียว มองเห็นหลังคาวัดเท่ากับตาไม้ขีด แต่ทุกคนก็ไม่ละพ้นความพยายาม เดินไปเรื่อยๆแม้จะเหนื่อยบ้าง อีกมือก็รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองไป จนในที่สุดไปถึงยอดเขาที่มีตาน้ำราวๆเที่ยงเศษ ให้ทุกคนได้สัมผัสกับน้ำดื่มน้ำซับจากแหล่งน้ำจริงๆ ตื่นเต้นและตักมาดื่มกินล้างหน้า แล้วจึงวางสัมภาระลงเดินขึ้นไปยังที่ราบยอดเขาทานข้าวเที่ยงพักผ่อนกำลังขา ได้เวลาปฏิบัติภารกิจต่อก็เลยเดินไปทำฝ้านชะลอน้ำ ช่วยกันยกหินก้อนใหญ่มาก มีพ่อช่างต่อท่อน้ำ นิสิตบางคนก็ลำเลียงต่อน้ำไปให้ ช่วยกันเรื่อยๆและทยอยเดินทางกลับวัด ระหว่างทางกลับวันก็ทำแนวป้องกันไฟ เก็บขยะ กวาดใบไม้ จนถึงวัดประมาณบ่ายสามกว่า คุณแม่ได้ทำน้ำหวานไว้รอสำหรับนิสิตคนค่ายและชาวบ้าน ได้ชื่นใจ บางคนพื้นรองเท้าขาด บางคนปวดขามากจนกล้ามเนื้ออักเสบ แต่ก็มีคุณหมอแผนไทยนวดผ่อนคลายให้ บางคนก็รำคาญแมลงมากๆ ทีมงานก็ปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัย จากนั้นจึงประกาศว่าจะมีรถพาเข้าไปยังตลาดนัด เพื่อซื้อสิ่งของใส่บาตรเช้า ไม่บังคับว่าใครจะไปหรือไม่ไป สามารถฝากเพื่อนที่ไปซื้อได้ แต่ขอบอกเลยว่าไปคุ้มมาก ได้ทั้งของกินฟรีมีคุณแม่เอาขนุนมาให้ มีขนมบ้านๆ ราคาบ้านๆที่หาไม่ได้ ที่มอคงไม่มีอาหารการกิน อาหารป่า ขนม ราคานี้แน่ๆถูกมาก หลังจากนั้นก็พากลับวัด ช่วยกันปอกสัปะรด ขนุน แล้วรับประทานอาหารเย็น ต่อด้วยรอบกองไฟ ขอบอกเลยว่าความเหนื่อยไม่เป็นอุปสรรคต่อความบันเทิง รำวงรอบกองไฟ ก็มีการแสดงรอบกองไฟ ทุกคนมีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ จนมาถึงช่วงท้าย บรรยากาศกำลังซึ้งๆแต่มีน้องเป็นโรคประจำตัว เป็นลมล้มไปก็แตกตื่น แต่ก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วก็ดีขึ้น ดีขึ้นยังมาเล่นสนุกพูดคุยกับเพื่อนๆได้อีกเลยนะ555 ผมก็ปิดรอบกองไฟและขอบคุณทุกคน ขอฝากจิตอาสาไว้ในหัวใจทุกคนด้วย เพื่อช่วยเหลือและแบ่งปันชุมชน หลังจากนั้นทุกคนก็กลับที่พัก คุณแม่ใจดีเตรียมอุปกรณ์ตำสมตำไว้ให้ น้องสมิงก็เตรียมผงหมาล่ามาค่าย ก็เลยพากันย่างหมูกินส้มตำรอบดึก พูดคุยสนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนบริเวณวัดแต่อย่างใด แล้วจึงเข้านอน
เช้าวันสุดท้ายทุกคนต่างมาตั้งแถวรอใส่บาตรเช้า ใส่บาตรเสร็จก็รอไปถวายภัตาหารเช้าในศาลาจากนนั้นพระอาจารย์ก็ให้โอกาทธรรม เนื้อหาว่า “ขออนุโมทนากับน้องๆนิสิตทุกคน ที่เสียสละแรงกาย แรงใจ มาทำกิจกรรม คนอยู่กับป่าก็ต้องรักษาป่า คนอยู่กับน้ำก็ต้องรักษาน้ำ คนอยู่กับดินก็ต้องรักษาดิน อยู่กับตัวเองก็ต้องรักษาใจ ทุกคนอยู่ด้วยกัน พึงพากัน ก็ต้องมีความเอื้อเฟื้อให้แก่กัน ทำประโยชน์ให้แก่กัน… ขออนุโมทนา” จากนั้นก็รับประทานอาหารเช้า ระหว่างรอก็เขียนเรื่องเล่า เขียนสมุดค่าย ถ่ายภาพ พิเศษอีกเรื่องคือการบายศรีสู่ขวัญ ชาวบ้านผู้หลักผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ ผูกข้อต่อแขน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านศักดิ์สยาม ก็อวยพรและขอบคุณนิสิตทุกคน จากนั้นก็ไปช่วยกันทำจิตอาสาเทฐานแท่งน้ำดื่มก่อนกลับใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ทุกคนเต็มใจและดีใจ ช่วยกันทำอย่างขะมักเขม้น พี่น้องเณรมาช่วยทำ คุณพ่อช่างและชาวบ้านรับอาสายกกระสอบปูน คนค่ายก็ลำเลียง หิน ทราย ส่งต่อมือกัน จากนั้นก็รับประทานน้ำดื่มสมุนไพร และรับแจกต้นพันธุ์กล้าไม้อังกาบหนู และน้ำกลั่นสมุนไพร กราบลาพระประธาน ลาพระอาจารย์ ร่ำราชาวบ้านไหว้คุณพ่อคุณแม่ แล้วนั่งรถกลับด้วยใจหวิวๆ ผูกพัน รัก ทุกคนในค่ายมองพูดคุยกัน แลกไลน์แลกเฟส แล้วเดินทางถึงมหาลัยโดยสวัสดิภาพ
…บทส่งท้าย…
การทำกิจกรรมนั้นไปค่าย ถึงแม้จะพบความยากลำบาก แต่ความลำบากสอนเราไม่ให้อ่อนแอท้อแท้ สอนเราให้เข้มแข็ง และรู้จักสร้างกำลังใจให้ต้นเอง เมื่อเราผ่านความยากลำบากไปได้แล้วจิตใจก็จะแข็งแกร่ง อ่อนโยน ไม่อ่อนแอ กระบวนการค่ายนี้สอนให้ทุกคนได้รับอะไรนั้นผู้เขียนไม่สามารถตอบคำถามแทนสื่อของใจทุกคนได้ แต่พอมองเห็น ความรัก ความสามัคคี ที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยเหลือกัน ความเหนื่อยไม่เป็นอุปสรรคสำหรับนักเดินทาง ที่ทำให้งานสำเร็จลุล่วง และยังทำให้เราเกิดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ให้การช่วยเหลือทางแรงกายรงใจแก่ชาวบ้าน เป็นแบบอย่างที่ดีต่อตนเอง เพื่อน คนรอบตัว ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม เป็นเหมือนบ้าน เป็นครอบครัว ที่แบกรับ อุ้มชู ปลอบโยนทุกคน ผ่านกระบวนการจิตอาสา เคยถามตัวเองบางไหมว่า เราเกิดมาชีวิตนึงได้ให้ประโยชน์แก่ใครบ้าง ประโยชน์ตน ประโยชน์ส่วนรวม เป็นประโยชน์ภายภาคหน้า ชีวิตเหนือชีวิตคือประสบการณ์ โลกนี้ไม่มีใครอยู่คนเดียว โอกาส เวลา เป็นพาหนะให้เราไปสู่โลกเสมือนจริง และเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนจะค้นพบวิถีทางแห่งการเสียสละ จิตอาสา และการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ กายที่เข้มแข็ง และใจที่มั่นคงต่อความดี ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน
ไม่มีความเห็น