บทเรียนการระบาดของโรคหัด…
ช่วงปลายปี 2561 จนถึง วันนี้ 16 เมษายน 2562 มีรายงานการระบาดของโรคหัดในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งประเทศด้อยพัฒนา ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่เจริญแล้ว ตั้งแต่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อิตาลี ฝรั่งเศส ยูเครนสหรัฐอเมริกา แคนาดา และในอีกหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้ง ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้เด็กป่วยและเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก รายงานผู้ป่วยโรคหัดทั่วโลก 3 เดือนแรกของปี 2562 มีมากกว่า 110,000 ราย เพิ่มขึ้น 300 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว การระบาดในครั้งนี้ เกิดจากการที่อัตราความครอบคลุมการฉีดวัคซีนต่ำ หรืออาจกล่าวได้ว่า เด็กส่วนหนึ่งไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค เมื่อเกิดโรคติดต่อ จึงระบาดไปอย่างรวดเร็ว ปรากฎการณ์นี้ ได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง
ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถติดต่อได้อย่างสะดวก เพียงคลิกเดียวก็สามารถกระจายข่าวไปได้ทั่วโลก ข่าวลือต่าง ๆ จึงสามารถแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เรื่องวัคซีน ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในเชิงลบ ต่อต้านการฉีดวัคซีน ทั้งเหตุผลในแง่ด้านความเชื่อ ด้านการเมือง การปกครอง ด้านการแพทย์ ฯลฯ ข่าวที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นบ่อย ๆ เช่น ทำให้เกิดออทิสติกส์ วัคซีนแฝงไปด้วยพิษ วัคซีนทำให้เป็นหมัน การฉีดวัคซีนเป็นการฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าในร่างกายซึ่งไม่เป็นธรรมชาติ การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันโรคร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นแผนการของบริษัทยาที่ต้องการขายผลิตภัณฑ์ของตน การฉีดวัคซีนเป็นแผนการทำลายของคนนอกศาสนา หรือคู่กรณีในมิติการเมือง การปกครอง วัคซีนไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิม เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถูกเผยแพร่มาอย่างยาวนาน และต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งในรูปแบบ สื่อต่าง ๆ เช่น เฟสบุคส์ เวปไซด์ วิดีโอ การจัดงานสัมมนา วารสาร หนังสือ เป็นต้น และดูเหมือนว่าสื่อต่าง ๆ เหล่านี้ มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในประเทศต่าง ๆ ในการที่จะไม่ยินยอมให้บุตรหลานของตนเองฉีดวัคซีน ซึ่งมีทั้งระดับ คนที่มีการศึกษาน้อย ไปจนถึง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ คนมีการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก และรวมถึงผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ และดูเหมือนว่าหน่วยงานรับผิดชอบด้านสุขภาพ ไม่อาจสยบข่าวลือต่าง ๆ เหล่านี้ได้ แม้นว่าจะมีความพยายามแล้วระดับหนึ่งก็ตาม นับว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
จากบทเรียนการระบาดของโรคหัด ที่ผ่านมา ของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ต้องประสบกับความยากลำบากในการรณรงค์การฉีดวัคซีนอย่างยิ่ง เพราะมีสภาพปัญหาที่ทับซ้อนมีเงื่อนไขหลายประการ ทั้งเชิง การเมือง การปกครอง ศาสนา และความมั่นคง แม้นตอนนี้สถานการณ์การระบาดของโรคหัด จะสงบลงแล้ว แต่สถานการณ์อัตราความครอบคลุมการฉีดวัคซีน ยังน่าเป็นห่วง แม้นว่าทุกฝ่ายจะได้พยายามสร้างความเข้าใจในมิติต่าง ๆ ที่ถูกต้อง แต่ผลตอบรับ ก็ยังไม่ดีนัก กลุ่มคนที่ปฏิเสธวัคซีน ก็ยังคงปฏิเสธ ไม่ยินยอมให้บุตรหลานของตนฉีดวัคซีน เช่นเดิม อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าวิธีการแก้ปัญหา หรือเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่มีอยู่ขณะนี้ ไม่อาจตอบสนองการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องพิจารณาใช้เครื่องมืออื่น ๆ มาเสริมหนุนอีกส่วนหนึ่งด้วย
สถานการณ์ในประเทศมาเลเซีย ก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก ยังคงมีกลุ่มที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีนอยู่เช่นกัน และดูเหมือนว่าทางการมาเลเซีย หมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้น ยินยอมให้บุตรหลานของตนฉีดวัคซีนแล้ว จึงได้ยกระดับการแก้ปัญหา โดยมีแผนที่จะกำหนดมาตรการบังคับ โดยอยู่ระหว่างการศึกษา วิจัย เพื่อที่จะกำหนดให้มีกฏหมายบังคับการฉีดวัคซีนในเด็ก ๆ ทุกคน ซึ่งการใช้มาตรการทางกฎหมายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจของรัฐบาลอย่างมาก แต่ก็เป็นหนทางหนึ่งที่สำคัญในการที่จะปกป้องเด็ก ๆ ให้ปลอดภัยจากโรคร้าย และบ้านเราไม่ควรประมาท ไม่ควรปล่อยปละละเลยประเด็นเหล่านี้ จนอาจต้องเผชิญกับการระบาดของโรคร้ายอีกในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือการศึกษา วิจัย เพื่อออกกฎ ระเบียบ หรือกฎหมาย ให้บุคลากร ภาครัฐ ในระดับต่าง ๆ รวมทั้ง บุคคลที่ได้รับเงินสนับสนับจากรัฐ ได้แสดงเจตจำนง สนับสนุนนโยบายการฉีดวัคซีนให้ชัดเจน และยินยอมให้บุตรหลานของตนได้มีโอกาสฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ทุกคน อันถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับชาวบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านส่วนหนึ่งมักจะอ้างถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือแม้แต่บุคลากสาธารณสุขบางคน ที่ไม่ยินยอมให้บุตรหลานตนเองฉีดวัคซีน ซึ่ีงบุคคลเหล่านี้ควรมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน...และต้องมีการศึกษา วิจัย เพื่อยกระดับการแก้ปัญหา โดยการออกกฎหมายให้เด็ก ได้รับวัคซีนป้องกันโรคขั้นพื้นฐานทุกคน ... หากไม่ขยับตั้งแต่วันนี้ เราอาจต้องเผชิญกับการระบาดของโรคร้ายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
ไม่มีความเห็น