เก๊าต์


ผมเข้าใจแล้วกับคำพูดที่ว่า “เพียงแค่ลมพัดผ่านสัมผัสผิวหนัง มันก็ทำให้รู้สึกเสียวและเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ”

“ผมกำลังเป็นเก๊าต์เหรอ?”

ผมถามตัวเองพร้อมหลั่งน้ำตาหยดหนึ่งลงบนต้นขา

มันหยดตรงนั้นแหละ มันเจ็บ มันปวด จะเอื้อมมือจับที่ฉีดน้ำกดล้างตูดก็เจ็บแปล๊บเข้าขั้วหัวใจ ขนาดแค่หายใจเข้ายืดอก มันยังสะเทือน

“ผมกำลังเป็นเก๊าต์เหรอ?”

เรื่องของเรื่องมันก็คือ ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อศอกขวามาราวสองสามวัน มันเหมือนเราเอาศอกมายันโต๊ะแล้วบี้ๆจนระบมหน่อยๆ ยิ่งเจ็บอ่อนๆ มันชวนให้ยิ่งไปคลึงเคล้าลูบไล้ 

อูยยยยย มันส์นัก

แล้วเมื่อวาน เป็นวันที่ผมจะต้องไปร่วมกิจกรรมกับลูกศิษย์ที่ทะเลสตูล ไปลงเรือ ปีนภูเขา พายคายัก แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้น

ที่ท่องเที่ยวจุดแรกคือการปีนเขาขึ้นไปดูก้อนหินเป็นรูรูปหัวใจ เค้าบอกว่ามันคือหัวใจสีฟ้า เพราะเบื้องล่างลงไปนั้น มันคือน้ำทะเล

เรือหางยาวพาพวกเราออกจากปากคลองละงูบริเวณบ้านบ่อเจ็ดลูก เบื้องหน้าของเราทางทิศตะวันตกคือเกาะบุโหลน เกาะนั้น ผมกับจิ๋มเคยไปนอนพักใจ แต่คราวนี้เราไม่ได้ไปที่นั่น หัวเรือหางยาวเบี่ยงเลี้ยวเข้าไปยังเกาะเขาใหญ่ เกาะที่ยังไง้ยังไงก็ก่อให้เกิดปมด้อยในใจทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ

“เขาใหญ่” เออ “กูเล็ก กูยอม” เห็นไหม มันคือปมด้อยชัดๆ

เรือหางยาวลดความเร็ว

“ทำไมเหรอ” ผมถาม

“ข้างใต้มีปะการังเยอะครับ ทั้งเป็นแบบต้นและแบบแผ่น” นายท้ายบอกผม

หัวเรือเข้าไปจนชิดแนวหาดซึ่งเป็นหาดทราย บันไดถูกพาดที่กราบเรือด้านหนึ่ง ผมเลือกที่จะลงเป็นคนท้ายสุด แล้วก็ “ป๊อก” 

ศอกด้านขวาผมกระแทกกับกราบเรือพอให้ได้มีน้ำตาเล็ด ไอ้ที่ปวดอยู่แล้วก็ตรงนี้ มากระแทกอีกทีก็จุดนี้ มันเหมือนที่เค้าว่า “ซวยซ้ำซวยซาก” เหมือนกัดลิ้นสักครั้ง ก็กัดซ้ำมันอย่างนั้นอีกสัก ๒ ที หรือไม่ก็นิ้วก้อยเท้าขวา เมื่อไหร่ที่ไปสะดุดขอบเตียงสักครั้ง มันก็จะสะดุดอีกสักครั้งให้พอได้เจ็บใจน้ำตาไหลด้วยความระทม

ผมเดินตามกลุ่มเป็นคนสุดท้ายประหนึ่งคอยเก็บตกคน ฟังดูเหมือนดี อันที่จริงคนนำทัวร์ของเราเขามีระบบจัดการด้านความปลอดภัยได้ดีมากแล้วด้วยซ้ำ แต่ผมเลือกรั้งท้าย เพราะมัวแต่ลูบคลึงปลายข้อศอกอยู่

“หินรูรูปหัวใจสีเขียว” ผมเถียง มันไม่ฟ้าเพราะแสงที่เห็นมันไม่ได้ฟ้า หากแต่มันคือสีเขียวมรกต 

แดดส่องแสงแยงตา แรงสะท้อนบนผืนน้ำและแผ่นหินมันรบกวนอุณหภูมิรอบข้าง คนแก่อย่างผมจึงเลือกที่จะนั่งพักหลบอยู่ในเงาร่มข้างๆกอเตยทะเลที่มีหนามแหลมเปี๊ยบ นั่งดูลูกศิษย์ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ได้หัวเราะขยับตัวทีหนึ่ง หนามก็จิ้มเนื้อให้ได้พอสะดุ้ง

เมื่อวานผมยังได้พายคายักลอดเข้าถ้ำลอด ดูยอดหินพันยอด ทักทายลิงน้อยที่แวะเวียนมาดูพวกเราโวยวาย   โหวกเหวก ดูหินตาหินยาย ที่ดูยังไงก็ใหญ่สู้ของผมที่เกาะสมุยไม่ได้ ฮ่าฮ่า

เราปิดทริปด้วยการนั่งเรือคายักที่ปล่อยให้เรือหางยาวลากเบาๆในสายน้ำที่ถูกห้อมล้อมด้วยป่าโกงกาง มันคือปากคลองบริเวณที่มีเนินทรายเป็นสันหลังมังกรอันโด่งดังนั่นเอง

สนุก สวย และรู้สึกระบมเล็กน้อยที่ศอกขวา คลึงสักหน่อยมันมันส์นัก

ผมขับรถกลับถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม กว่าจะจัดการตัวเองเสร็จได้ล้มตัวลงนอนก็กว่าสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว

“เอ๊ะ ทำไมมันเจ็บข้อศอกมากขึ้นวะ” ผมรู้สึกอย่างนั้น 

มันเหมือนมีมีดมากรีดอยู่ข้างใน โดยเฉพาะเวลาพลิกตัวเปลี่ยนท่าทาง และมันคงจะเจ็บมากขึ้นจริงๆ เพราะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อครวญคราง เวลาพลิกตัวสักที เหมือนมีเข็มมาทิ่มอยู่ที่ศอก

เป็นอันว่านอนไม่หลับ

ล่วงมาจนถึงเช้า ไม่อยากพลิกตัวเปลี่ยนท่า แต่น้องจ้าเดินเข้ามาแล้ว ยังไงก็ต้องลุกขึ้นมา

หุย..มันบวมตุ่ย อุ่นๆ และแน่นอนว่ามันเจ็บถึงหัวใจ มันปวดตุ๊บๆเหมือนกลัดหนอง ยวบๆประหนึ่งแทบจะแตกระเบิดออกมาจากข้อศอกให้ได้

ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่เคารพ

“เพียงแค่ลมพัดผ่าน มันก็ทำให้รู้สึกเสียวและเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ” 

อาจารย์เป็นเก๊าต์ มันเป็นที่ข้อนิ้วหัวแม่ตีน ท่านเลยเดินไม่ได้ อาศัยคลานลงมาจากบ้านแล้วเรียกเพื่อนบ้านซึ่งเป็นหมอด้วยกันขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล

ผมกำลังกลัวว่าตัวเองจะเป็นเก๊าต์ เพราะถ้ากระดูกหักจากการกระแทกเรือมันก็น่าจะคลำได้ หรือไม่ก็น่าจะเจ็บมากมายมาตั้งแต่เมื่อวาน

“จริงครับ พี่เป็นเก๊าต์มั้ย” ผมยกหูโทรศัพท์ไปหา “น้องจริง” หมอโรคไขข้อที่ผมไว้วางใจ พร้อมทั้งส่งรูปโหนกนูนอันแสนจะอัปลักษณ์จากข้อศอกไปให้น้องดู

“ก็เป็นได้นะคะ แต่ปกติแล้ว ข้อศอกมักจะเป็นข้อหลังๆที่บวมเจ็บ หลังจากเป็นเก๊าต์ไประยะหนึ่ง คนไข้มักจะไม่ได้มาหาด้วยอาการปวดศอก” เธอบอก และผมก็เออออห่อหมกไปด้วยนิดหนึ่ง จำได้ว่า ข้อหัวแม่ตีน มักจะเป็นข้อแรกๆและพบบ่อยกว่ามาก แต่ยังไงเสียผมก็ออกอาการใจหวั่นๆอยู่ นั่นเป็นเพราะระดับกรดยูริกในเลือดของผมสูงมานานเป็นสิบปีแล้ว

“ดูจากรูปแล้ว จริงก็ว่าอาจจะเป็นเก๊าต์ได้ค่ะ แต่อีกอย่าง มันอาจจะเป็นห้อเลือด แบบว่ามีเลือดออกตอนที่พี่กระแทกกับกราบเรือน่ะค่ะ” มาแบบนี้ ผมก็ยังไม่ได้วางใจ

ผมไม่อยากเป็นเก๊าต์

คนเป็นเก๊าต์น่าสงสาร

คนเป็นเก๊าต์ต้องลดอาหารที่เป็นสาเหตุเสี่ยงตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะ เครื่องใน ผมน่ะแสนจะคลั่งไคล้ตับไก่ ไส้หมู ไหนจะสัตว์ปีก อันนี้กระทบชีวิตมาก เพราะข้าวมันไก่นี่ของโปรด อย่าลืมสิ ผมน่ะ มีต้นตระกูลมาจากไหหลำเชียวนะ ยังมีพวกไวน์และเบียร์อีก อันนี้กระทบชีวิตเหมือนกัน โดยเฉพาะศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ (แหม มันก็ไม่บ่อยขนาดนั้นน่า) แต่อันนี้ก็รู้สึกผิดเล็กๆ เพราะหากเป็นเก๊าต์ขึ้นมาจริงๆ ไวน์ขวดเมื่อคืนก่อน เบียร์ ๔ ยี่ห้อ และชี้สต์หลากหลายชนิดที่ยัดเข้าปากไปนั้น น่าจะเป็นตัวการ

เป็นอันว่า ที่ไม่อยากเป็นเก๊าต์ก็เพราะจะไม่ได้กินของอร่อยอีกแล้ว

“แล้วน้องจะให้พี่ทำยังไงต่อไปครับ” ผมยังคงคุยต่อเนื่อง

“พี่ไปทำอัลตราซาวนด์ก่อนนะคะ เพราะว่าเก๊าต์กับห้อเลือด มันเห็นและแยกจากกันได้เลย รักษาคนละอย่าง” 

“พี่คะ ระหว่างนี้พี่กินยาก่อนนะคะ เพราะว่ามันน่าจะเจ็บมาก จริงว่าพี่น่าจะกินโคลชิซีนสัก ๒ เม็ดนะคะ” เห็นไหม น้องผมน่ารักขนาดไหน

มาถึงน้องอีกคน

“พี่แป๊ะนั่งตรงนั้นนะครับ ผมจะใส่เจลนิด” อาจารย์ปราโมทย์ละเลงเจลลงบนหัวตรวจอัลตราซาวนด์แล้วนำมันมาวางที่ปลายข้อศอก

“โอ๊ย” ผมสะดุ้งโหยง 

บอกแล้วไง เพียงแค่ลมพัดผ่าน มันก็เจ็บและเสียวเข้าหัวใจ

น้องคลายหัวตรวจออกนิดหนึ่ง

“พี่แป๊ะครับ ผมว่าไม่ใช่เก๊าต์ มันไม่มีน้ำแถวๆเยื่อหุ้มข้อเลย ไม่มีห้อเลือด แต่ผมว่าพี่กระดูกแตก” นั่นไง 

“พี่เห็นไหมครับ ขอบกระดูกตรงนี้มันหายไป” น้องชี้ให้ดูในจอ แต่ผมสะดุ้งเพราะเจ็บแปล๊บจากการกระดิกตัว

“ไม่มีน้ำเลย” น้องหมายถึงปฏิกิริยาการอักเสบแบบเก๊าต์ หรือน้ำเลือดอย่างที่ผมเดา ผมสะดุ้งอีกครั้ง คราวนี้แถมเสียงครางออกไปด้วย ลูกศิษย์หมอคนหนึ่งโผล่หน้ามาดูนิดหนึ่ง เธอคงสงสัยว่าอาจารย์แป๊ะครางทำไม

“ไปเอ็กซ์เรย์กันครับพี่” แล้วน้องก็นำไป และบัญชาการท่าทางการถ่าย

“เอาล่ะครับ หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้” เสียงเจ้าหน้าที่เอ็กซ์เรย์สั่งมาจากห้องคอนโทรล ไอ้ผมก็สงสัย นี่จะถ่ายที่ข้อศอก ทำไมต้องกลั้นหายใจด้วยวะ แต่เอาเหอะ กลั้นก็กลั้น

“ดีครับ หายใจได้” เสียงเขายังคงสั่งมา ผมก็ทำตามนั้น

“แช็ก” เสียงการปล่อยและถ่ายภาพทางรังสีดังออกมาจากเครื่องที่อยู่เหนือหัวผม 

“ทำไมผมต้องกลั้นหายใจด้วยครับ” ผมถามน้องนักรังสีสาวสวยคนที่เดินเข้ามาเพื่อเปลี่ยนท่าถ่ายอีกภาพ

“ไม่ต้องค่ะอาจารย์ เราถ่ายข้อศอก” เธอบอก

“อ้าว แล้วเมื่อกี้สั่งมาทำไมล่ะ” ผมงง

“ไม่ได้บอกนะคะอาจารย์ สงสัยเสียงดังมาจากห้องข้างๆ เค้าเอ็กซ์เรย์ปอดกันค่ะ” นั่นปะไร เค้าคุยกันห้องข้างๆ

ผมถึงกับขำตัวเอง

“ว่าแล้ว หนูก็สงสัย คนไข้บางคน ห้องหนูยังไม่ได้เอ็กซ์เรย์เลย จู่ๆก็เดินออกไป สงสัยได้ยินแบบอาจารย์” ก็แน่ล่ะสิ เล่นบอกว่า “เสร็จแล้วครับ เปลี่ยนผ้าได้เลย” เสียงดังฟังชัดเสียขนาดนั้น

“เศษแคลเซี่ยมที่ติดกระดูกและเอ็นมันกระเทาะออกครับพี่” น้องชี้มา ผมก็เห็นได้อย่างชัดเจน

เป็นอันว่า มีรอยกระดูกแตกเล็กน้อย

“ไชโย ผมไม่ได้เป็นเก๊าต์” เสียงลิงโลดนั้นออกมาจากในใจ

“น่าจะสูงวัย จึงแตกแบบนี้ได้ค่ะพี่” น้องจริงส่งข้อความมาหา ผมเดาใจเธอไม่ถูกว่านี่คือการปลอบใจ หรือเป็นการแสดงความรู้สึกยินดีที่มันเป็นเพียงปรากฏการณ์สมวัย

“ครับ พี่ก็ว่าดี ดีกว่าเป็นเก๊าต์นะน้องนะ”

ดีจัง ไม่เป็นเก๊าต์ 

คืนนี้จะเปิดไวน์ฉลอง กินแกล้มไก่ผัดที่แม่นำมาให้จากสุราษฎร์ฯ ผมจะหิ้วไส้พะโล้จากร้านเจ๊มาด้วย มันอร่อยมาก

ดีใจจัง

ธนพันธ์ ชูบุญไม่เป็นเก๊าต์สักหน่อยฮ่าฮ่าฮ่า

๑๑ กพ ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #เก๊าต์#gout
หมายเลขบันทึก: 660533เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2019 09:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มีนาคม 2019 09:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท