การศึกษาเพื่อความยั่งยืน คือการศึกษาที่ต้องธำรง ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ในใจของเยาวชนและคนไทยทั้งมวลได้
ทำไมต้อง ๓ เสาหลัก .... คำถามนี้ตอบง่าย แต่ตอบให้เข้าใจ เชื่อในใจได้ยาก คงต้องสอนให้เด็ก ๆ รู้จักที่มาของ ๓ เสาหลัก เสียก่อน ... การชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษของ ศาตราจารย์กิตติคุณ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ) ดร.วิษณุ เครืองาม และจับประเด็นสำคัญ ๆ ดังเขียนในบันทึกนี้ ทำให้ผมทราบความเป็นมาและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งของ ๓ เสาหลัก
ทำไมจึงเรียกว่า "ราชวงศ์จักรี"
- จักรี แปลว่า ผู้มีจักรเป็นอาวุธ สระอีในภาษาไทยนั้น เขาเรียกว่า "ปัจจัย" ที่ทำให้เกิดความหมายใหม่ ไม่ว่าเอาสระอีไปเติมอะไร จะเกิดความหมายใหม่ทันที เช่น
- หัตถะ แปลว่ามือ เติมสระอี เป็น หัตถี แปลว่าช้าง หรือผู้มีมือจากที่ไม่เคยมีมือ
- จักร แปลว่า อาวุธ เติมสระอีเป็น จักรี แปลว่า ผู้มีอาวุธ
- แต่ก่อนกษัตริย์ มีจำนวนมากที่ขึ้นต้นว่า พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระรามาธิบดี ฯลฯ นี้ เป็นอิทธิพลของพราหม์ ดังนั้น คำว่า จักรีที่แปลว่าผู้มีจักร นั้น เป็นคำที่ศาสนาพราหมณ์ใช้เรียกพระนารายณ์ เท่านั้น
- คตินิยมของไทย ได้มาจากขอมหรือเขมร คตินิยมของขอมหรือเขมรนั้น ได้มาจากอินเดียหรือศาสนาพราหมณ์ นั่นเอง
- ดังนั้น พระเจ้าแผ่นดินของ แขก เขมร และของไทย จึงเป็นร่างอวตารของ พระนารายณ์ ตามความเชื่อนั่นเอง
- ในเรื่อง รามเกียรติ์ นั้น พระนารายณ์เกิดมาเป็นคนเดินดิน เรียกว่า พระราม ดังนั้น กษัตริย์ของไทย จึงนำมาใช้เป็นชื่อรัชกาล เช่น พระรามาธิบดี
- มีเพียงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวที่ไม่ได้ราชาภิเษกคือ รัชกาลที่ ๘ แต่ในหลวง ร.๙ ก็ทรงเฉลิมพระปารมาภิไท ตั้งชื่อถวายใหม่ ด้วยพระนามว่า พระอัตถมรามาธิบดี ... สะพานพระราม ๘ ก็ตั้งชื่อด้วยเหตุคิดเดียวกันนี้
- กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีแท้จริงแล้ว มีเชื้อสายมอญ
- คราวที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ถูกส่งไปช่วยปราบกบฎ ตามคำขอของพระเจ้านันทะบุเลง ลูกชายของบุเลงนอง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
- พระเจ้านันทะบุเลงทรงเล่นไม่ซื่อ สั่งกระซิบสั่งความว่า หากพระนเรศวรผ่านมา ให้หาอุบายฆ่าเสีย
- มอบให้พระยาเกียรติและพระยารามไปจัดการ ซึ่งทั้งสองเป็นศิษย์ของพระมหาเถรคันฉ่อง จึงเอาไปเล่าให้อาจารย์ของตนเองหลัง พระมหาเถรจึงได้เกลี้ยกล่อมจนสองพระยากลับใจ ไปถวายตัวเข้ารับใช้ เมื่อพระนเรศวรมาถึง ทรงโกรธมากจึงยกทัพกลับพร้อมด้วยพระยาเกียรติ พระยาราม และพระมหาเถรคันฉ่อง
- กองทัพพม่ายกทัพตามมา จนถึงริมฝั่งแม่น้ำสโตง พระนเรศวรคว้าพระแสงปืนต้น ยิงจากฝั่งแม่น้ำสโตง โดนพระสุรกันมาตกจากหลังช้าง ทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป
- ทุกท่านปลอดภัย พระยาเกียรติพระยาราม มาอยู่ด้วยอยุธาได้มีเมียเป็นไทย มีลูก มีหลาน และมีเหลน และช่วยพระนเรศวรรบจนกอบกู้อิสระภาพได้
- หลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติหรือพระยาราม (ไม่ปรากฎหลักฐาน) คือนายทองด้วง ต่อมาก็คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง .... ดังนั้น ร.๑ จึงมีเชื้อสายมอญ
- นายทองด้วง มีเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ นายสินเชื้อสายจีน อีกคนเป็นไทยเชื้อสายอีหร่าน ชื่อนายบุญนาค สามคนนี้เล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ
- นายบุญนาคนั้น รวย จึงได้ทำงานในวัง ส่วน นายสินกับนายทองด้วงนั้น ได้เป็นอัยการ
- พ่อสินค้นโต ไม่มีเส้น จึงถูกส่งไปเป็นอัยการอยู่ไกลมาก ไปอยู่เมืองตาก ไปเป็นหลวงยกกระบัด เมืองตาก
- พ่อทองด้วง มีเส้นบ้าง ไปเป็นหลวงยกกระบัด ไปอยู่ใกล้หน่อย ที่ราชบุรี
- พ่อสินที่ถูกส่งไปอยู่เมืองตาก กลับได้โอกาสขึ้นเป็นพระยาตาก เป็นเจ้าเมืองตาก เพราะพระยาตากตาย ส่วนกลางไม่อยากจะเสียค่าขนส่ง
- หลวงยกกระบัดทองด้วง ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสักที จนมีวันหนึ่ง พม่ายกทัพมาล้อมอยุธา เจ้าเมืองกำแพงเพชรตาย จึงบอกให้เจ้าเมืองตากย้ายมาเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่เนื่องจากยังไม่ได้เผาคนเดิม จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า พระยาวชิรปราการ(สิน) แต่แทนที่ท่านจะไปรับตำแหน่ง ท่านกลับนำทัพมาสู้กับพม่าที่ล้อมเมืองอยู่ จนพบว่า อยุธยาจะแตก ท่านจึงพาทหาร ๕๐๐ คนตีฝ่าวงล้อมไปตีเมืองชลบุรี ระยอง และเมืองจันทบุรี เราจึงรู้จักท่านใน ชื่อ พระเจ้าตากสิน ไม่ใช่ พระยาวชิรปราการ
- พระเจ้าตาก(สิน) ทรงคิดได้ฉลาดและแยบยลมาก ในการเลือกเป้าหมายที่จะไปตีเมืองจันทบุรี แทนที่จะกลับไปที่เมืองตาก .... ทรงคิดที่จะกู้บ้านกู้เมือง เมืองตากติดพม่า ทรงรู้ว่าเมืองจันทบุรีมีคนจีนเยอะ ท่านมีเชื้อสายจีน จึงคิดจะไปเกลี้ยงกล่อมชวนคนจีนให้ช่วยต่อเรือ เพราะคนจีนต่อเรือเก่ง และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ทรงได้เรือมาตั้งหลายร้อยลำ แล้วนั่งเรือลงมาตีธนบุรีก่อนเพื่อให้สำเร็จและให้ข่าวกระพือไป ซึ่งตอนนั้นพม่าส่งแม่น้ำสุกี้มาปกครอง
- ตอนนั้นพม่าได้ยึดครองหมดแล้ว จับเอาเฉลยศึกกว่า ๓ หมื่นคน เดินท้าวกลับพม่า เจาะหลังข้อเท้าเอาหวายร้อย เพื่อป้องกันการหนี ... ด้วยเหตุนี้จึงเรียกตรงนั้นว่า "เอ็นร้อยหวาย"
- หลังจากปราบแม่ทัพพม่าเมืองธนบุรีแล้ว ก็เข้าไปที่อยุธยา ซึ่งพม่าเผาทิ้ง ๗ วัน ๗ คืน ไม่มีทหารพม่าเหลือแล้ว เหลือน้อย ท่านเห็นสภาพแล้วสลดรันทดใจมาก ไม่น่าจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่หากจะสั่งการให้หนีไปสร้างเมืองใหม่เลย ก็เกรงจะว่าประชาชนจะหาว่าขี้ขลาด จึงทรง มีอุบายว่า เจ้าเมืองอยุธยาที่ตายไปมาเข้าฝัน ไล่ไปไม่ให้มาอยู่ เพราะท่านไม่มีเชื้อสายกษัตรย์ จงอย่าอยู่เลย จงไปหาที่อยู่ใหม่เถิด คนจึงเห็นใจตามท่านไปสร้างเมืองใหม่ที่ธนบุรี
- เหตุที่ท่านมาอยู่ที่ธนบุรี น่าจะมีเหตุเพราะกรุงธนบุรี มีชื่อต้องโฉลกโชคชัยกับท่าน เพราะ ธนบุรีแปลว่า เมืองแห่งทรัพย์สิน
- ก่อนที่อยุธยาจะแตก พ่อทองด้วง เป็นหนุ่มโสด ที่อยู่ราชบุรี พระเจ้าเอกทัต มีพระราบดำรัสว่า เมืองใด ที่มีสาวงาม โสด ให้คัดเลือกแล้วส่งเข้าไปให้เมืองละคน
- เมืองอัมพวา มีกุลสตรี ที่สวยและโสด ชื่อแม่นาค เป็นลูกเศรษฐี เชื้อสายมอญ
- แต่คุณนาคไม่ต้องการจะเข้าไป วิธีเดียวที่จะหนีได้คือ ต้องรีบแต่งงาน เลยมีคนไปบอกพ่อทองด้วง ให้ไปดูตัวและสู่ขอ แม่นาคเลยรอดตัวไป .... ต่อมาได้มาเป็นพระราชินีพระองค์แรกของราชวงศจักรี
- เมื่อแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูก เมื่ออยุธยาแตก วันหนึ่งจึงมีน้องชายคนหนึ่งมาหา เล่าเรื่องให้ฟังว่า ตอนนี้ พ่อสินได้มีบุญญาธิการ ได้เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรี และแนะนำให้ไปรับใช้ท่าน
- จึงพาลูกเมียเดินทางไปฝากตัวกับพระเจ้าตาก ทรงจำได้ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชวารินทร์ ถ้าเทียบกับทุกวันนี้ก็คงเป็น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ... จากอัยการ มาเป็นตำรวจ
- เมื่อส่งให้ไปรบ รบชนะ ก็ทรงแต่งตั้งเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ เทียบทุกวันนี้น่าจะเป็น แม่ทัพภาค ๑ ... จากตำรวจ ไปเป็นทหาร
- ทรงส่งไปรบอีก ชนะอีก ทรงแต่งตั้งเป็น พระยายมราช .เทียบเป็น มท.๑ เสนาบดีมหาดไทย
- และพอไปรบอีก คราวนี้ไปรบต่างแดน เขมร เมื่อชนะ จึงแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาจักรี ... เทียบ นายกรัฐมนตรี เป็นสมุหนายก ... เรียกว่ เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)
- และเมื่อยกทัพไปปราบเมืองลาว มีความดีความชอบ ชนะ ขากลับยังได้พระแก้วมรกตอีก จึงแต่งตั้งเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
- อยู่มาเขมรมีขบถที่เขมร พระเจ้าตากสินจึงทรงส่งไปปราบขบถ ขณะที่กำลังรบนั้น เกิดขบถพระยาสันบุกกรุงธนบุรี จับพระเจ้าตากสินขังไว้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงรีบเสด็จกลับ
- ระหว่างเดินทางกลับ ได้แวะสระผมอาบน้ำที่วัดสระแก ก่อนจะขึ้นช้างเดินทางต่อมาที่วัดโพธิ์ ขุนนางธนบุรีมารับที่วัดโพธิ์ เชิญท่านขึ้นเรือข้ามไปฝั่งธนบุรี และเชิญขึ้นครองราชย์
- ทรงสำเร็จโทษ ประหารพระยาสันเสีย และในพงศวดารยังเขียนด้วยว่า ได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินด้วย ด้วยเหตุว่า
- ทรงพระสติฟั่งเฟือน จากการทำสมถสมาธิ เข้าใจว่าพระองค์เองบรรลุโสดาบัน
- ทรงเรียกสมเด็จพระดสังฆราชเข้ามาถามว่า ถ้าฆาราวาสบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน สมเด็จพระสังฆราชต้องกราบไหม .... พระสังฆราชตอบว่า ไม่กราบ เพราะพระมีศีล ฆาราวาสไม่มีศีล พระเจ้าตากทรงกริ้วมาก ให้จับพระสังฆราชสึก ให้ไปทำงานแรงงานอยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ตั้งพระที่ตอบว่าต้องกราบขึ้นเป็นพระสังฆราชแทน
- เกิดการจราจลวุ่นวายอยู่ในพระราชวัง
- แม้พงศาวดารจะเขียนว่า ทรงประหารด้วยไม้จันท์หอม แล้วนำไปฝังไว้ เป็นปีก่อนจะนำกลับมาเผา แต่ก็มีหลายกระแสข่าว เช่น
- ไม่น่าจะทรงประหารพระเจ้ากรุงธนบุรี เพราะท่านทรงเป็นเพื่อนรักกันมาก มาตั้งแต่ยังเด็ก และท่านมาขอรับราชการกับพระเจ้ากรุงธนฯ และท่านยังเป็นพ่อตาของพระเจ้ตากสินด้วย ... น่าจะเป็นการประหารตัวปลอม แล้วปล่อยให้หนีไปสักแห่ง น่าจะไปบวชเป็นพระอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่เขาควรพนม ตอนนี้มีคนไปสร้างตำหนักที่นั่นด้วย
- ลูกของพระเจ้าตากสินกับลูกสาวของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ชือว่า "แม่ฉินใหญ่" คือ เจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์
- ลูกคนที่สองของรัชกาลที่ ๑ กับ แม่บุญนาค คือ พ่อฉิมเล็ก ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒
- ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ท่านทรงเห็นว่า กรุงธนบุรีนั้น เป็นเหมือนเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ เหมือนอยุธยา ซึ่งเป็นจุดอ่อนให้ข้าสึกล้อมรอบ ปิดเมือง จึงทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงมาฝั่งบางกอก หรือกรุงเทพฯ ปัจจุบัน
- ทรงให้มีการตั้งเสาหลักเมือง ย้ายวัดพระแก้วมาไว้ในที่ปัจจุบัน สร้างประตูคูเมือง จนเจริญสืบมาถึงปัจจุบัน
- รัชกาลที่ ๖ ทรงพิจารณาว่า กษัตริย์ที่ปกครองสืบเนื่องต่อกันมานั้น เป็นราชสกุลเดียวกัน
- รัชกาลที่ ๑ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๒
- รัชกาลที่ ๒ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๓
- รัชกาลที่ ๓ เป็นพี่รัชกาลที่ ๔
- รัชกาลที่ ๔ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๕
- รัชกาลที่ ๕ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๖
- รัชกาลที่ ๖ จึงทรงตั้งชื่อราชวงศ์นี้ว่า "ราชวงศ์จักรี" ด้วยเหตุว่า รัชกาลที่ ๑ เคยเป็นเจ้าพระยาจักรีมาก่อน (ทรงเป็นพระยาจักรีคนสุดท้าย) และด้วยทุกพระองค์มีพระนาม "รามาธิบดี" ที่มีความหมายถึง ผู้มีจักรเป็นอาวุธ หรือก็คือ พระนารายณ์ ดังที่ได้กล่าวไป
ศาสตร์พระราชา ราชวงศ์จักรี
- ร. ๑ ใครเป็นนักรบ จะโปรด
- ร.๒ ใครเป็นกวี จะโปรด
- ร.๓ ใครสร้างวัด จะโปรด
- ร.๔ ใครพูดภาษาอังกฤษเป็น จะโปรด
- ร.๕ ใครทำประโยชน์ต่อราษฎร และคิดใหม่ทำใหม่ จะโปรด
- ร.๖ ใครช่วยปลุกใจคนไทยรักชาติ จะโปรด
- ร.๗ ใครที่จปูรากฐานประชาธิปไตย จะโปรด
- ร.๘
- ร.๙ ใครที่ยอมเสียสละ ปิดทองหลังพระ ทำประโยชน์ต่อประชาชน ยอมเหนื่อย ยอมยาก ไม่หวังสิ่งตอบแทน จะเป็นที่โปรด
ทุกพระองค์มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันทุกพระองค์ คือ ทรงมีทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ
- ทาน ให้โดยเจาะจง อามิสทาน วิทยาทาน อภัยทาน
- ศีล
- บริจาค ให้โดยไม่เลือกหน้า
- อาชวะ ซื่อตรง สุจริต
- มัทวะ สุภาพ
- ตบะ อดทน
- อโกธะ ความไม่โกรธ
- ขันติ อดกลั้น
- อวิหิงสา ไม่เบียดเบียนคนอื่น
- อวิโรธนะ การประพฤติตรง
ทุกพระองค์ทรงปฏิญาณว่า (ยกเว้น ร.๘)
- เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยาม
- จะรักษาทศพิธราชธรรมโดยเคร่งครัด
สังเกตว่า สถาบัน "ศาสนา" และ "พระมหากษัตริย์" นั้น ผูกพันอย่างแยกไม่ออก มาตั้งแต่ต้น (ตั้งแต่สมัยสุโขทัย) ส่วนสถาบัน "ชาติ" นั้น มาเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖ .... แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง "ชาติ" หมายถึง ของ "เชื้อชาติ" หรือ "สัญชาติ" ซึ่งเกิดมีอยู่ในใจมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมซึ่งยึดมั่นในศักดิ์ศรีอยู่แล้ว ดังนั้น จึง กล่าวได้ว่า ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น มีมาคู่ไทยมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ผมเชื่อด้วยใจว่า "๓ เสาหลัก" คือปัจจัยสำคัญของ ความยั่งยืน ....