ภาษาธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า..
“ชีวิตแท้จริงที่น่าปรารถนานั้น มันมีความเย็น สะอาด สว่าง และสงบ ถ้าพูดกันด้วยภาษาง่ายๆ ก็คือเป็นชีวิตที่ไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ตนเอง..
หลายคน..รวมถึงผมด้วยอาจต้องถามตัวเองว่ารู้จักตัวตนที่แท้จริงหรือไม่? กำลังวุ่นวายกับการทำสิ่งใด มากไปหรือเปล่า รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังสร้างความปั่นป่วนให้ชีวิต
หรือว่ามีชีวิตที่เข้ารูปเข้ารอยดีแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งทั่งหลายที่กำลังทำอยู่และผลที่จะเกิดขึ้น ล้วนส่งเสริมให้เกิดพลังผลักดันแห่งชีวิต..
ชีวิต..ที่ต้องมีการวางแผน ถึงแม้ว่าจะต้องรีบตื่นนอนเพื่อไปโรงเรียนในเช้าวันเสาร์ แต่ก็ต้องมีเป้าหมายว่าจะไปเพื่ออะไรและไปทำอะไร?
ลูกชาย..ขอไปด้วยเพื่อไปศึกษาดูงานที่พ่อทำ ผมตอบคำถามของลูกที่ถามว่า “ถ้าผมย้ายมาอยู่กับพ่อ..ผมต้องทำอะไรก่อน..”
“ลูก..จะต้องพัฒนาบ้านให้สะอาดร่มรื่นและน่าอยู่ เพราะลูกมีสังคม มีเพื่อนและมีผู้หญิงของลูก..สักวันเราต้อง “เปิดบ้าน” เพื่อให้การต้อนรับทุกคนที่มาเยือน
ผมสอนลูกอยู่เสมอว่าอย่าอายที่มีบ้านซอมซ่อ และไม่ต้องอายที่มีฐานะยากจน แต่จงละอายที่มีความรู้ความสามารถมากมาย แต่ไม่รู้จักบริหารจัดการให้บ้านน่าอยู่..
ด้วยวิธีการที่ง่ายและงดงาม อาจไม่ต้องใช้เงินมากมาย แต่ใช้ “หัวใจ” เป็นสาระตั้งต้น เริ่มที่ตนเอง ไม่ต้องรอคำสั่งหรือกำลังใจจากใคร..
เพราะชีวิตในปัจจุบัน และการเดินทางไปสู่อนาคต ล้วนต้องอาศัย “บ้าน”เป็นพลังผลักดันของชีวิต..บ้านที่มีแต่ความสงบร่มเย็นและสะอาดเรียบร้อย ย่อมส่งผลสะท้อนที่ก่อให้เกิดคุณค่าต่อจิตใจ..
เช่นเดียวกัน..โรงเรียนก็คือบ้านหลังที่สอง..ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่อาจไม่เทียมหน้าเทียมตาเหมือนโรงเรียนใหญ่ แต่โรงเรียนก็มีจิตวิญญาณ ต้องการความรักความผูกพันจากบุคลากรที่เกี่ยวข้อง..
ความเชื่อว่าโรงเรียนมีชีวิต..เกิดขึ้นจากความรู้สึกนึกคิดของครูมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ จากรุ่นสู่รุ่น..ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องลบหลู่ แต่ต้องมองดูและทักทายด้วยความรักและลงมือทำ..เพื่อให้บ้านเล็กในป่าใหญ่มั่นคงและยั่งยืน..
ผมบอกลูกเมื่อเดินทางถึงโรงเรียน..พ่อไม่เคยอายใครที่เป็นผู้บริหารโรงเรียนเล็กๆ แต่พ่อจะอาย ถ้าไม่ได้บริหารจัดการให้โรงเรียนสะอาดเรียบร้อยเป็นปัจจุบัน
พ่อจะอาย..ถ้าไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถเท่าที่มีอยู่ บริหารจัดการให้เกิดหลักฐานร่องรอยว่าพ่อได้เต็มที่กับโรงเรียน และมีแนวโน้มว่าโรงเรียนจะพัฒนาขึ้น.
โดยที่เป้าหมายปลายทางอาจไม่ต้องเหมือนใคร ไม่ต้องเป็นโรงเรียนดีเด่น ไม่ต้องเป็นโรงเรียนต้นแบบของใคร ความคิดที่เป็นพลังผลักดัน..คือความสุขที่ได้ทำ และคาดหวังเล็กๆว่า ครูและเด็กจะต้องมีความสุขในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้..
ชุมชน..ศรัทธาในความเป็นข้าราชการ และเชื่อมั่นในความเป็น “โรงเรียน” ที่ผู้ปกครองไม่ต้องยึดติดกับขนาดและความอลังการ..
ที่สำคัญอย่างยิ่ง..ผม..เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ – ๑๐ ทำงานภายใต้เบื้องพระยุคลบาท พระองค์ท่านเป็นพลังผลักดันของชีวิต ให้คิดสร้างสรรค์แต่ความดี ในวิถีที่พอเพียง..
โรงเรียน..จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยให้ผมศึกษาเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ศึกษาให้เป็นคนมีเหตุผล ปฏิบัติตนอย่างพอประมาณ และทำงานที่สร้างภูมิกันให้ชีวิต...
ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติตามพระราชดำรัส..ที่พ่อหลวงทรงสอนไว้..และใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อนงาน...
“..การดำรงชีวิตที่ดี จะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา และการปรับปรุงตัวนี่จะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่มีความเพียร ไม่มีความอดทนก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ..”
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๒
ความคิดและอุดมการณ์ในการทำงานของครู อย่างท่าน ผอ.คนเก่งนี้ นับวันแต่จะหาผู้สืบทอดได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะในยุคของ “ครู ในศตวรรษที่ 21….“ เป็นต้นไป ด้วยปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไปมากมายก่ายกอง ขอเป็นกำลังใจให้ท่านทำงานเพื่อเด็กต่อไปนะจ๊ะ
ความคิดและอุดมการณ์ในการทำงานของครู อย่างท่าน ผอ.คนเก่งนี้ นับวันแต่จะหาผู้สืบทอดได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะในยุคของ “ครู ในศตวรรษที่ 21….“ เป็นต้นไป ด้วยปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไปมากมายก่ายกอง ขอเป็นกำลังใจให้ท่านทำงานเพื่อเด็กต่อไปนะจ๊ะ
ขอบคุณครับครู ผมโชคดีมากแล้ว ที่ได้เป็นข้าราชการ..อยากทำงานรับใช้แผ่นดินนี้ให้สุดๆไปเลย จะได้เอาไว้เป็นที่ระลึก ผมมีครอบครัวและมีคนที่ผมรัก ก็เชื่อว่าการทำอะไรที่จริงจังในทางที่ดีแบบนี้ เขาก็น่าจะศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวผม ตลอดจนได้ผมเป็นแบบอย่างบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ในสิ่งที่ผมทำก็ถือว่าเป็นผู้ให้..และสิ่งที่ผมได้ก็คุ้มค่ามาก ทุกวันนี้ผมมีความสุขครับ