เทอมนี้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบบรรยายในรายวิชา ระเบียบวิธีวิจัยทางพระพุทธศาสนา แก่นิสิตหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา และวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางปรัชญาแก่นิสิตหลักสูตรฯ สาขาปรัชญา ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายมากทีเดียว เพราะวิชาระเบียบวิธีวิจัยนั้นถือว่าเป็นวิชาที่ยากสำหรับผู้สอนที่จะสอนให้ผู้เรียนเข้าใจ และเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เรียนที่จะทำความเข้าใจได้อย่างแท้จริง การทำวิทยานิพนธ์ถือเป็นด่านทดสอบผู้เรียนในระดับบัณฑิตศึกษา ทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอก การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ระดับสูงที่ต้องดำเนินตามระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกระบวนการหาคำตอบทางการวิจัยเป็นกระบวนการที่เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เป็นกระบวนการที่บูรณาการวิธีการหาความรู้เชิงเหตุผลของสำนักเหตุผลนิยม (Rationalism) ของเรเนส์ เดการ์ต และวิธีการหาความรู้เชิงประจักษ์ของสำนักประสบการณ์นิยม (Empiricism) ของจอห์น ล็อค โดยเอาวิธีการแสวงหาความรู้ทั้งสองอย่างมาบูรณาการเพื่อให้ได้คำตอบ ในการวิจัยเชิงคุณภาพ เนื้อหาของบทที่ 1 ความเป็นมาและสภาพของปัญหาต้องใช้วิธีการของประสบการณ์นิยม ส่วนบทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้วิธีการของเหตุผลนิยม หรือในทางพระพุทธศาสนาคือทุกข์(สภาพปัญหา) และสมุทัย(สาเหตุของปัญหา) ส่วนเนื้อหาของบทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การลงพื้นที่เก็บข้อมูลต้องใช้วิธีการของประสบการณ์นิยม และ บทที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูลต้องใช้วิธีการของเหตุผลนิยม ส่วนบทที่ 5 ก็จะเป็นการผสมผสานวิธีการระหว่างเหตุผลนิยมและประสบการณ์นิยม เพราะฉะนั้นความรู้ที่ผ่านกระบวนการวิจัยจึงเป็นองค์ความรู้ที่มีความน่าเชื่อถือ การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาจึงใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือในการทดสอบความรู้ของผู้เรียน พูดง่าย ๆ คือ คนที่เรียนระดับปริญญาโทและปริญญาเอกต้องทำวิจัยเป็น ต้องรู้วิธีการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัยนั่นเอง
ไม่มีความเห็น