มอบไออุ่นสู่อีสาน ต้านภัยหนาว ครั้งที่ 2


         หากมีคำถามมากมายในหัวที่อาจมีคำตอบหลายคำตอบมากมายหลายคำตอบที่เกิดขึ้น คงจะวกวนปนเปกันไปมากพอสมควรกับการตัดสินใจ เพราะสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งบนโลกมักมีสิ่งที่ชอบสิ่งที่ชังต่างกัน ซึ่งต่างจิตต่างใจแต่ต้องทำอะไรไปในทิศทางเดียวกัน หรือกรอบเดียวกันได้นั้นต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างมาดึงดูด โน้มน้าว ให้ผ่อนใจลงเพื่อกิจการงานข้างหน้าที่จะเห็นได้ชัด เพราะปัจจุบันการติดต่อสื่อสารผ่านสารไร้พรมแดนมีอิทธิต่อการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันมากมาย แต่ก็ยังเป็นสื่อกลางให้ฉันและเธอได้มาพบกัน และเดินทางไปในที่ๆหนึ่งที่มีจุดหมาย ทั้งระยะทางและตลอดการเดินทาง ล้วนเกิดจากมือที่ผลักมาหรือว่าฟ้าลิขิตนั่นเอง

  มืดๆใกล้ๆจวนจะเช้าคนกลุ่มนึงประมาณ 62 คน มารวมกันที่อาคารพัฒนานิสิตฝั่งทางด้านหน้า ขนสัมภาระมามากมายอย่างกะย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง แต่ที่ขนมาก็หาใช่สิ่งของส่วนตัวเลย แต่นั่นคือราแบกความรัก ความหวังดี แบกจิตแบกใจไป ณ ที่หนึ่ง ในชื่อศูนย์เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม ในกิจกรรมมอบไออุ่นสู่อีสาน ต้านภัยหนาว ครั้งที่ 2 แต่มาปีนี้ไม่หนาวเท่าไร แต่ปลายทางคงจะหนาวพอกัน (22 ธันวาคม 2561) ขนสัมภาระขึ้นหลังคารถหกล้อคันขาวของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เดินทางมุ่งหน้าจากมหาลัยตั้งแต่ 05.00 น. ไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านเพิ่ม ต.นาแค อ.นายูง จ.อุดรธานี ระยะทางราว 400 กิโลเศษ ผ่านป่า ผ่านเขา  ผ่านเมือง ผ่านสายน้ำลำธาร ม่านหมอกในตอนเช้า วันนี้ฟ้าครึ้มเหมือนจะบอกว่านำพาสัญญาณอากาศหนาวมาเยือนอย่างแน่นอน ระหว่างทางได้เจอกันกับเพื่อนร่วมสถาบันคงจะไปออกค่ายที่ไหนสักที่ จอดพักรถเป็นระยะๆ แน่นอนความเหนื่อยเมื่อยล้าในการนั่งรถที่ทุกคนโอดโอย รถกระโดด คนก้นกระแทก ตลอดทางแต่เพราะปลายทางอันเฝ้ามองของเรี่สำคัญนักถึงเหนื่อยปานใดแต่ใจก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไรจะถึง

           จนเข้าสู่เขตหุบเขาน้ำโสม นายูงสายๆเศษๆ เส้นทางอันคดเคี้ยวลาดชันพอสมควร รถได้เคลื่อนไปช้าๆด้วยความระมัดระวัง จนมาจวนเจือนที่พระอาทิตย์จะอยู่กลางหัว ก็ถึงบ้านเพิ่มสักที ชาวบ้านนำรถซิ่งมารอ และจัดเตรียมอาหารต้อนรับ กับข้าวกับปลาแบบบ้านๆอีสานบนภู แกงยอดมะพร้าวอ่อน น้ำพริกผักปลอดสายพิษ ไข่เจียววุ้นเส้น ส้มตำข้าวสวยข้าวเหนียวร้อน กินฟังฟังพ่อหมอสมุนไพรพูดไปเรื่องสมุนไพรในป่ารักษาโรค นิสิตล้อมวงกินข้าว กินเสร็จก็นัดหมายจากพี่ๆผู้ดูแลกิจกรรมเพื่อแบ่งกลุ่มนั่งรถซิ่งชมนวัตวิถีชุมชนคันละ 5-6 คน พอรถซิ่งออกสถานที่แรกขับเรียงรายเป็นขบวนนำมาซึ่งความตื่นฉงนเพราะอาจจะเป็นครั้งแรกๆของทุกคนที่ได้สัมผัสบรรยากาศบ้านป่ากลางภูกลางเขา ชาวบ้านลูกเด้กเล็กแดงสองข้างทางประกอบกิจการงานตามปกติระหว่างที่เรานั่งรถผ่านไปช้าๆมีการโบกมือทักทาย บางบ้านก็ทำกับข้าว นั่งผิงไฟ ทำไร่ ทำสวนปกติ ต่างจากคนค่ายมอบไออุ่น ที่ดูตื่นเต้นเร้าใจพิเศษๆหน่อย จนเข้าสู่อุโองค์ป่าไปเพื่อเข้าไปยังน้ำตก แต่เพราะเคราะห์กรรมหรือว่าธรรมชาติแกล้งหรืออื่นใด ลดได้ผลัดฝูงต่อดำจำนวนนึงประมาณสิบกว่าตัวบินมาต่อยรถคันที่ผมนั่ง ทำเอาอกสั่นขวัญหายแต่ก็โชคยังดีที่ไม่ได้ต่อยใครต่อยแค่ผมห้าตัว กับน้องที่นั่งมาด้วยกันสองตัว ชาวบ้านรีบนำรถพยาบาลเพื่อไปรักษาอาการเบื้องต้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนคนค่ายคนอื่นๆก็ไปเยี่ยมชมน้ำตกต่ออย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมสั่งเสียคนดูแลค่ายว่าให้ดำเนินกิจกรรมต่อไม่ให้ทุกคนตื่นตนก ไม่ต้องคิดมากหรอก ก็ปล่อยไปตามสิ่งที่เป็น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็แปลกใจที่ผมปฏิเสธการฉีดยาจากหมอ แต่ให้หัวหน้าชุมชนพาไปยังวัดทวีวิหารเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอขมาบอกกล่าว เพื่อเปิดทางให้กิจกรรมสำเร็จจุดธูปเทียนเสร็จลมผลัดมาเย็นๆชวนขนลุกก็เลิกยกขึ้นเสี่ยงเซี่ยมซีอธิฐานปรากฎว่าได้ใบที่สิบสี่เคราะห์ที่มีจะหมด อนาคตจะราบรื่น โรคภัยจะหาย ก็อดยิ้มดีใจไม่ได้หลวงพ่อหลวงปู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี้คงจะรู้และอวยพร เพราะรถซิ่งมีสิบคันแต่ทำไมฝูงต่อเจาะจงมาที่รถที่ผมนั่งนั่นเองคงเป็นลางบอกเหตุทักทายทักทวงให้คงรับรู้ คนค่ายคนอื่นๆก็เดินชมสวนดอกไม้ ไร่กาแฟ ไร่มะขาม ฝูงหมูป่า โดยมีปราชญ์ชาวบ้านคอยให้ความรู้เป็นฐานๆทั้งไม้หวาดดอกหญ้า ผ้าฝ้าย ไม้ไผ่เข็งปลาทู ครบครันขยันหาขยันทำขยันเก็บแบบวิถีเพิ่มๆมานามาเพิ่มเลยก็ว่ากัน

           ตะวันบ่ายกลายเป็นตะวันตกเย็นท้องฟ้าเริ่มมืด ภูเขาบดบังแสงอาทิตย์ ทุกคนค่ายกลับจากการเรียนรู้นวัตวิถีมานั่งเพื่อจัดเตรียมผ้าห่มกันหนาว อุปกรณ์การเรียน อาหารมื้อเย็น ชาวบ้านอุ้มลูกเด็กเล็กแดงมานั่งต่อเป็นแถว ทีมครูอังกฤษจากมมส ทำหน้าที่ถือไมค์พูดคุยสร้างความคุ้นเคยและแจกขนมเด็กที่มากับผู้ปกครองเพื่อรองท้องตอนเย็นทำกิจกรรมเด็กคือเด็กน้อ พี่ๆก็อยากเล่นกับน้องๆน้องบางคนก็ติดพ่อแม่ไม่ยอมห่างร้องไห้ฟูมฟาย แต่ผ่านไปสักนิดกับสนิทนสนมถึงขั้นมานั่งตักพี่ๆเล่นหยอกล้อถ่ายรูปกัน เมื่อช่วงพิธีการมาถึงก็ได้รับเกียติจากท่านนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเพิ่มมากล่าวต้อนรับ และนายต๊ะ(ประธานค่าย)เป็นผู้กล่าวรายงาน ก็บอกว่าที่มาครั้งนี้เพื่อศึกษาแหล่งเรียนรู้นวัตวถี และมอบผ้าห่มกันหนาวอุปกรณ์การเรียนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เด็กๆ และพาอาสาสมัครคนค่ายบริการรับใช้สังคมพร้อมเรียนรู้คู่บริการตามสมควร ก็มอบผ้าห่มอุปกรณ์การเรียน และล้อมวงรับประธานอาหารร่วมกัน ชาวบ้าน คนค่าย เด็กๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสฟังเสียงดนตรีบรรเลง เวลาผ่านไปก็ช่วยกันทำความสะอาดจานชาม และมาล้อมวงแบ่งกลุ่มพูดถึงความรู้สึก ปัญหาอุปสสรคการทำงาน พร้อมแบ่งกลุ่มเตรียมซ้อมละครในคืนถัดไป จากนั้นจึงเข้านอนท่ามกลางบบรยากาศหนาวเย็นเยือกจับใจแบบ 14 องศา กลางป่าถึงแม้ว่าสัญญาณโทรศัพท์จะมีแต่ทีนี้กลับทำให้เงียบเหงาแบบวังเวง ทุกคนเข้านอนดับไฟมืดหลังจากที่สวดมนต์เสร็จ ไม่เล่นมือถือแต่คงมีโทรจิตที่คิดถึงใครสักคนนั่นเอง หลับไปด้วยความเมื่อยเพลียหมดแรง

           ตีห้ากว่าๆวันใหม่(23 ธ.ค.2561) ได้ยินเสียงแผนกครัว โป๊กๆสับๆ ฟู่ๆ บางคนก็รีบตื่นมาอาบน้ำ กลัวจะเสียเวลาเพราะห้องน้ำมีไม่กี่ห้องและน้ำไหลเบามาก 6 โมงเช้าทุกคนพร้อมกันหน้าโรงเรียน เดินทางไปวัดกลางหมู่บ้านเพื่อตักบาตรร่วมกันกับพ่อแม่ผู้ใฝ่ในกุศลผลบุญ ท่ามกลางหมอกตอนเช้าปกคลุมภูบ้านเพิ่ม เข้าไปจัดแจงถวายภัตตาหารหลวงพ่อเทศนา รับพร ทานข้าวเช้าแล้วก็พากันบำเพ็ญประโยชน์ที่วัด แล้วรีบกลับมาจัดแจงสัมภาระที่เหลืออยู่ของตัวเอง เอาขึ้นรถหกล้อ ทำความสะอาดศูนย์พันาเด็กเล็กให้สะอาดกว่าที่เข้ามา ทีมผู้ดูแลคนค่ายก็พาตีกลองร้องเต้นสันทนาการกับคนค่ายอย่างสนุกสนานมีเด็กที่กล้าแสดงออกด่อมๆมองๆและเข้ามาร่วมแจมด้วย และรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม ถึงอุทยานหัวหน้าส่วนพักแรมก็มาพบปะ กล่าวต้อนรับแนะนำสถานที่ ทำข้อตกลงเรื่องการประกอบอาหารทานตามกลุ่ม โดยผู้ดูแลค่ายทีมครัวได้แบ่งเป็นห้ากลุ่มย่อย จัดเตรียมวัตถุดิบให้ โดยให้ตัวแทนออกมารับวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารรับประทานเอง ตอนแรกก็มีปัญหาพอสมควร เสียงกรู่ดังขึ้นเพราะเถียงกันเรื่องหุงข้าวให้ หรือจะทำอาหารเอง ผู้ดูแลครัวจึงรับปากว่าจะหุงข้าวให้ แต่ให้ประกอบอาหารทานเอง ทุกคนโอแค่แฮปปี้ฮ่าๆ เหตุที่ไม่อยากหุงข้าวทานเองคงด้วยสาเหตุที่หุงไม่เป็นหรือกลัวไม่ได้กินข้าวละมั้ง ทุกคนแยกย้ายจัดแจงกางเต้นท์ มีธารน้ำภูเขาไหลผ่าน มารับหมู ไก่ ลูกชิ้น หมูยอ ผัก ไข่ไก่ ทยอยทำอาหาร บางกลุ่มก็ควันขโมง บางกลุ่มก็หอมจนคนรอบๆไอจามฉุนจมูก เวลาผ่านไปเดินเยี่ยมชมอาหารโอโห้ ทำไมได้เมนูที่น่ารับประทานมากๆเลยมาทั้งต้ม ทอด ผัด แกง นึง ปิ้ง ย่าง มาหมด ทุกคนต่างช่วยกันทำ สามัคคีร่วมแรง คนนั้นหานั่น คนนี้จัดนี่ก็ร่วมกันรับประทานอาหารมื้อเย็น พร้อมกับให้เวลาทำภาระกิจส่วนตัว ก่อนจะมีกิจกรรมกรรมรอบกองไฟ

โอ้เมื่อมีไฟ ไฟ ไฟ ลุกขึ้นแจ่มจ้า สุขอุราเมื่อเรามา พร้อมหน้ากันคืนวันนี้มีสุขปลดเปลื้องทุกข์รับความสำราญเธอกับฉันนั้นมาเล่นรอบกองไฟ

            หัวหน้าอุทยานส่วนพักแรมประธานในพิธีเปิดรอบกองไฟ รำรอบกองไฟ มีนางรำถือพุ่มฉลากออกมาให้จับและร้องเพลงกับคนค่ายมอบไออุ่นสู่อีสาน มีการแสดงของแต่ละกลุ่ม หัวเราะ ซึ้งใจ แฝงแง่คิด ขนบธรรมเนียมประเพณี บางกลุ่มก็เล่นละครล้อเลียนการเมือง ล้อเลียนกระแสสังคม ความรัก บ้างเรียกเสียงฮาจากฉากต่างๆได้อย่างครบเครื่อง ทุกคนมีบทบาทประจำตัว จนเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้ยื่นไมค์ล้อมวงกล่าวความรู้สึก อีกคืนนึงก่อนจะจากกันไป หากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมจะสร้างแรงบรรดาลใจให้กับทุกคนได้ทำความดี พร้อมนัดหมายตื่นขึ้นดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแดง ต้องเดินเท้ากว่าหนึ่งกิโล เข้าเต้นนอนท่ามกลางธรรมชาติมีลำธารไหลผ่าน

          ตีห้าฟ้ามืดเพราะเป็นฤดูหนาวทุกคนตื่นมาเดินแถวขึ้นสู่ผาหมอกบ่วาย ผาแดง ชมทะเลหมอก ตลอดทางมีเจ้าหน้าที่อุทยานดูและและบรรยายให้ความรู้การอนุรักษ์ รักษ์ษาต้นน้ำ ผืนป่าของไทย คนค่ายก็เดินหอบแฮกๆพักเป็นระยะๆเพราะว่าไกลและชันพอสมควร แต่เมื่อถึงยอดภูผาแดงแล้ว ก็ทำให้ทุกคนหายเหนื่อยพอสมควรกับหมอก และลมเย็นๆผัดมาหวิวใส่ตัว ก่อนจะลงก็พากันถ่ายรูปหมู่และเดินเก็บขยะระหว่างทางลงที่มีผู้คนมาท่องเที่ยวแล้วเอาพลาสติกไปทิ้งแบบไม่มีความรับผิดชอบ แต่พวกเราก็ช่วยกันคนละชิ้นสองชิ้นเพื่อลงมา อีกอย่างอุทยานยังให้ใช้ถุงผ้าอีกต่างห่าง สิ่งที่แตกต่างจากค่ายอื่นคือเป็นค่ายที่เรามีขยะน้อยที่สดก็ว่าได้ ทั้งเศษอาหาร ถุงพลาสติก ขวดน้ำ น่าจะเพราะจิตสำนึกของคนค่าย และการประชาสัมพันธ์คัดแยกของผู้ดูแลค่ายเลยที่เดียว ลงมาก็ทานข้าวเช้าจัดแจงเก็บสัมภาระ หัวหน้าอุทยานส่วนก็มาพาทำกิจกรรมสันทนาการสร้างความสุข บนรอยยิ้ม และเล่าเรื่องราวอุดมการณ์ผู้พิทักป์ป่าไม้ไทย มีคนค่ายของเราออกไปช่วยตีกลอง ตีฉิ่ง ฉาบ ถือไมค์ ร้องเต้น และกล่าวปิด ให้คนค่ายของเราพูดถึงสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมที่มาทำที่นี่ ครูอิ้ง มือกลอง ก็พูดด้วยความเต็มใจและร้อยยิ้ม พร้อมฟังนิทานคติสอนใจ และแกฝากบทกลอนไว้ว่า                                                

เป็นผู้นำควรต้องมองมุมกว้าง                

มองจุดหมายปลายทางอย่างถ้วนถี่                                                                        

ใช้ความรู้คู่ปัญญาสามัคคี                                        

แม้ไม่ดีผลออกมาก็พอทน                            

หากมุ่งแต่คิดเองทำเองไซร้                                     

เป็นผู้นำทำไม...ไม่เป็นผล                            

เป็นผู้นำมีผู้ตามอีกหลายคน                                     

จะต้องคิดต้องค้นร่วมมือกัน                            

มีอำนาจมิใช่....ไว้ข่มขู่                                           

จะต้องรู้ใช้อย่างสร้างและสรรค์                            

งานจะเดินงานจะดีที่สำคัญ                                       

ต้องมี " ขวัญ..กำลังใจ " ให้ทุกคน

พร้อมกล่าวชื่นชมคณะเตรียมงานกิจกรรม ร่วมร้องเพลงมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และสามัคคีชุมนุม ขึ้นรถเดินทางกลับด้วยใจรักและผู้พันธ์ ไปที่นี่มีแต่ป่ามีแต่เขา แต่ก็ยังมีเราๆชาวค่ายให้คิดถึง สังคมชุมชนเราคำนึง เรานึกถึงผลประโยชน์เพื่อส่วนรวม เพราะเราแบกความเป็นสถาบัน ไปสร้างฝัน แสวงหา พาจุดหมาย...ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนครับ 



งานเขียนครั้งนี้ผู้เขียนได้เขียนในมิติที่ตัวเองสัมผัสได้เท่านั้น แน่นอนยังมีอีกหลายมุมหลายเรื่องที่ไม่ได้บันทึกไว้ ถ้าคนค่ายท่านใดผ่านมาเห็นสามรถติดต่อและเพิ่มเรื่องราวมุมของท่านได้ตามอัธยาศัย ติดต่อที่ผู้เขียนโดยตรงที่ Facebook : อาโน สนุกเกอร์ 

หมายเลขบันทึก: 659316เขียนเมื่อ 16 มกราคม 2019 15:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มกราคม 2019 15:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท