ผมมีความเชื่อว่าการบ่มเพาะเรื่อง “จิตอาสา” หรือ “จิตสาธารณะ” สมควรที่จะเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวของเรานี่แหละ ในฐานะของคนที่เฝ้าดูและมีส่วนหนุนเสริมการเรียนรู้ดังกล่าว ผมจึงพยายามส่งเสริมและสนับสนุนให้นิสิตได้ “ลงมือทำ” จากเรื่องใกล้ๆ ตัว และย้ำเน้นถึงการทำในแบบ “เป็นทีม”
แนวคิดยังกล่าวนี้ เป็นความโชคดีที่มี “เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม” (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) และเครือข่ายนิสิต “๙ ต่อBefore After” ทำหน้าที่เป็นทั้งระบบและกลไกช่วยขับเคลื่อนการบ่มเพาะดังกล่าว –
หลักๆ แล้วเรื่องใกล้ตัวที่ผ่านมาก็ทำอยู่ไม่กี่อย่าง และทุกอย่างที่ทำก็เน้นเป็นเรื่องภายในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ เช่น บริจาคโลหิต เก็บขยะ ตีเส้นจราจร รื้อผักตบ ฉีดพ่นจุลินทรีบำบัดน้ำเสียและกลิ่นเน่าเหม็น พร้อมๆ กับการผูกโยงกิจกรรมกับกระแสหลัก หรือเหตุการณ์ทางสังคมตามครรลองของการจัดกิจกรรมอันเป็นแนวคิด “ฮีต 12 คองกิจกรรม-ฮีต 12 คองสังคม-ฮีต 12 คองมหาวิทยาลัย”
มีความหมายในในการเก็บขยะ
ระยะหลังนิสิตปลุกเร้าให้พี่ๆ น้องๆ ลุกขึ้นมาช่วยกันเก็บขยะในมหาวิทยาลัยถี่ครั้ง อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง หรือไม่ก็เก็บขยะในกิจกรรมสำคัญๆ เช่น การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยรอบคัดเลือก โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เดือนตุลาคม 2561) และพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2560-2561 เมื่อวันที่ 2 และ 4 ธันวาคม 2561
ครับ-ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมสร้างสรรค์แบบง่ายๆ จากเรื่องใกล้ตัว
ในด้านกระบวนการนั้น มีการเปิดรับสมัครคนเข้ามาร่วมเป็นอาสาสมัคร เรียกได้ว่าคิดบนฐาน “ใจ” (ใจนำพาศรัทธานำทาง) ใจล้วนๆ อย่างเดียวไม่พอ ว่าด้วยการเก็บขยะก็มีการเติมเต็มความรู้ว่าด้วยขยะไปตัว อาทิ ประเภทขยะ การคัดแลกขยะ การจัดเก็บขยะ การนำไปแปรรูป
และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเก็บขยะในกระแสหลัก หรือกิจกรรมที่ว่านั้น ย่อมให้นิสิตจิตอาสาได้เรียนรู้ว่า “บ้านเรามีงานอะไร” แม้ตัวเองจะไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬา แม้ตัวเองจะไม่ใช่คนรับปริญญา หรือช่วยงานในงานนั้นๆ ก็เถอะ แต่การลุกมาช่วยกันเก็บขยะเช่นนี้ก็ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องที่ว่านั้นไปโดยปริยาย พอๆ กับการเรียนรู้เรื่องราวของมหาวิทยาลัยไปในตัว
ครับ-เรียกได้ว่าได้เรียนรู้เรื่องจิตอาสาคู่ไปกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์อันเป็นกิจกรรมนั้นๆ พอๆ กับการเรียนรู้ที่จะ “รักมหาวิทยาลัย”และแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ มิใช่เก็บตัวเงียบเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” ในแบบ “ธุระไม่ใช่”
หรือปล่อยให้เวลาว่างเป็นเวลาเลื่อนลอยไร้หมุดหมายต่อการเรียนรู้ไปซะงั้น
ขณะที่กลุ่มแกนนำก็ไม่ใช่แค่เรียนรู้เรื่องการจัดการขยะเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังได้ฝึกทักษะของการเป็นผู้นำไปในตัว อาทิ การออกแบบกิจกรรม การกำหนดพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย การวางแผนการดำเนินงาน การติดต่อประสานงานกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์กิจกรรม การใช้สื่อและผลิตสื่อ การจัดหาอุปกรณ์และทรัพยากร การกำกับดูแลการทำกิจกรรม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การมอบหมายงาน-กำกับงาน การทำงานเป็นทีม การทำงานเชิงเครือข่าย การประเมินผลกิจกรรม การประเมินผลการเรียนรู้ ทั้งในรายบุคคลและภาพรวมของทีม
ใช่ครับ- สิ่งเหล่านี้คือ “ทักษะที่ผู้นำนิสิต” ต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้มีในตัวตน ซึ่งเราเรียกว่า Soft skills
นี่คือการเรียนรู้เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ใช่คิดอะไรไม่ออกก็บอกสี (ทาสี) หรือคิดอะไรไม่ออกก็บอกขยะ (เก็บขยะ) เสียทั้งหมดหรอกนะครับ จริงๆ ก็คือการชวนให้นิสิตได้ลุกมาทำกิจกรรมจิตอาสาง่ายๆ ใช้เวลาว่างสู่กิจกรรมนอกหลักสูตรจากเรื่องใกล้ตัวและผูกโยงเข้าสู่กิจกรรมหลัก เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้กิจกรรมเนื่องในวาระนั้นๆ
โดยส่วนตัวของผมแล้ว แอบหวังลึกๆ ว่าทำกิจกรรมเหล่านี้ในแต่ละครั้ง นิสิตจะเกิดภาวะของการตระหนักรู้เรื่องบทบาทหน้าที่ของตนเอง ผสมผสานไปกับการทำหน้าที่พลเมืองของสังคมไปตัว หรือกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” มิใช่รอแต่จะเป็น “ผู้ตาม” อยู่ร่ำไป จนในที่สุดผู้ตามก็ล้นบ้านล้นเมือง
และที่ผมอยากจะย้ำอีกรอบว่า เรื่องการบ่มเพาะจิตอาสา-จิตสาธารณะนั้น บางทีก็สมควรสร้างจากเรื่องง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ ไม่เห็นจำเป็นต้องกระทำการณ์บนฐานของโครงการและงบประมาณอันใหญ่โตก็ได้ ค่อยๆ ทำในบาทบาทและสถานะของตนเอง ทำไปเรียนรู้ไปอย่างต่อเนื่อง ที่สุดแล้วย่อมนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ต่อตัวเองและสังคม
นั่นคือสิ่งที่ผมแอบหวัง และเชื่อมั่นเสมอมา
แต่ที่แน่ ในอนาคต ผมยังอยากให้นิสิตเหล่านี้ได้ยกระดับการเรียนรู้เชิงวิชาการในเรื่อง "ขยะ" ให้มากขึ้น ทั้งสถานะการณ์ของขยะในมหาวิทยาลัย ปริมาณขยะและการจัดการขยะในจังหวัดมหาสารคาม รวมถึงระดับท้องถิ่น ภูมิภาค -ประเทศชาติ ฯลฯ
หากแต่วันนี้ ก็เริ่มต้นจากการเรียนรู้เรื่องจิตอาสาผ่านการลงมือทำ (เก็บขยะ-คัดแยกขยะ) ไปพรางๆ เสียก่อน
ภาพ : เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม/๙ ต่อBefore After/พนัส ปรีวาสนา
เขียน : อังคารที่ 11 ธันวาคม 2561
-สวัสดีครับอาจารย์-ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างพลังใจเสริมพลังความคิดแบบทางบวกเสมอนะครับ-บทบาททางสังคมของคนเราย่อมแตกต่างกันออกไปแต่ผมเชื่อว่าจุดหมายปลายทางคงไม่แตกต่างกัน ในแง่ของการดำรงชีพบนโลกใบนี้ก็เช่นกันนะขอรับ-ด้วยความระลึกถึงคำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่านที่ได้กรุณาพร่ำสอน-นี่คือความสำเร็จของการ”การศึกษา”ที่บางทีก็มิได้อาจวัดได้ด้วยหลักการใดๆ -ขอบคุณโครงการดี ดี ที่ช่วยให้นิสิตกลุ่มนี้จะได้พัฒนาตัวเองให้เป็นเด็ก 3 D ต่อไปนะครับ-ด้วยจิตคารวะอาจารย์แผ่นดินขอรับ..
สวัสดีครับ อ.เพชรน้ำหนึ่ง
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับ เพราะนิสิต เรียนรู้ปตามสถานะของเขา ทำตาม “หน้าตัก” อันหมายถึงบทบาทและหน้าที่ของเขา เสมือนเตรียมความพร้อมก่อนออกไปใช้ชีวิตจริงเมื่อจบการศึกษา การงานในทำนองนี้ จึงไม่จำเป็นต้องถึงขั้นวัดด้วยความยิ่งใหญ่เป็นรูปธรรม เหมือนคนทั่วไป แต่หากการงานของเขามีพลังพอต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และคนรอบข้างได้บ้าง ผมว่านั่นก็วิเศษสุดแล้วครับ
ขอบพระคณครับ
เก็บขยะ.. นั้นเก็บไม่หมด.. ถ้าทุกคนไม่ร่วมใจ.. สุดท้าย.. คือความเหนื่อยล้า…หากทุกคน.. ร่วใจกัน.. ไม่ผลิต ขยะ.. ประเภท.. ถาวร..ทำลาย.. ยาก.. งานจะน้อยลง.. จนไม่มี.. ขยะ.. ถาวร.. (.. เป็นจิตอาสา.. หาต้นเหตุ)…..
ครับ คุณยายธี
การเก็บ ไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุทว่า งานนี้ ยังไงเสียขยะก็มากมายเหลือเกินภายในมหาวิทยาลัย รณรงค์เรื่องนี้ชัดมากแต่บรรดาร้านรวงข้างนอก และญาติที่จับจ่ายใช้สอยถือเข้ามาในบริเวณงาน คือข้อจำกัด
งานนี้ จึงจำต้องเก็บและใช้สภาวะ -สถาการณ์นี้ให้นิสิตได้เรียนรู้ไปในตัว ครับ