ปัญหาระบบกระดูกในผู้สูงอายุ
อ.สายฝน อินศรีชื่น
ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายระบบ ทั้งลักษณะและการทำหน้าที่ของร่างกายที่เสื่อมลง ส่งผลให้ความสามารถในการเคลื่อนไหว และการทำกิจกรรมต่างๆของผู้สูงอายุลดลง การวางแผนดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระดูกอย่างถูกต้อง และการช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมได้ ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิต และมีความพึงพอใจในชีวิตตามศักยภาพของแต่ละคนได้
สาเหตุของการเกิดปัญหาของระบบกระดูก มีได้หลายสาเหตุ ที่พบได้บ่อย ได้แก่
2. อุบัติเหตุต่างๆ เช่น การใช้รถใช้ถนน การกีฬา การลื่นล้มในบ้าน แม้แต่การนอนบนเตียงหากมีภาวะกระดูกพรุนการเคลื่อนย้านที่ผิดวิธีก็ส่งผลทำให้กระดูกหัก โดยกระดูกชิ้นที่พบเกิดการหักได้บ่อย คือ กระดูกข้อมือ กระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก
3. ภาวะขาดอาหาร โดยเฉพาะอาหารโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ดี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกระดูก
4.การติดเชื้อโรค โดยมักเป็นผลข้างเคียงตามมาจากกระดูกหัก หรือการมีบาดแผลในเนื้อเยื่อที่ติดกับกระดูก เช่น การติดเชื้อกระดูกกรามจากโรคเหงือกอักเสบ หรือเกิดร่วมกับภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต
อาการโรคกระดูก
2. อาการข้อติดแข็ง โดยพบอาการในช่วงเช้าเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง และจะมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง
3. ความผิดปกติของการเดิน และการทรงตัว
4. รูปร่างกระดูกผิดรูป
การวินิจฉัยโรคกระดูก
แพทย์วินิจฉัยโรคกระดูกจาก ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพกระดูกตำแหน่งเกิดอาการด้วยเอกซเรย์กระดูก และ/หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ/หรือเอมอาร์ไอ การตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก (Bone density scan, DEXA) การตรวจเลือดดูค่าฮอร์โมนต่างๆ เมื่อสงสัยโรคของต่อมใต้สมอง และอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาเมื่อมีก้อนเนื้อ
ความรุนแรงของโรคกระดูกขึ้นกับสาเหตุ เช่น โรคกระดูกพรุนไม่ทำให้เสียชีวิต แต่โรคมะเร็งกระดูก หรือโรคมะเร็งที่แพร่กระจายมากระดูก มีความรุนแรงสูงเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้ ผลข้างเคียงจากโรคกระดูกทุกสาเหตุ คือ การเสียคุณภาพชีวิตจากอาการปวด การไม่สามารถเคลื่อนไหวใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เสี่ยงต่อการเกิดการพลัดตกหกล้ม และเกิดอุบัติเหตุ
การดูแล
1.รับประทานแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อให้กระดูกคงสภาพที่ดีและลดความเสี่ยงต่อกระดูกหัก
- ปริมาณแคลเซี่ยมที่ร่างกายของผู้ที่มีอายุ มากกว่า 50 ปี ต้องการ เท่ากับ 1,200 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า บร็อคโคลี่ นมและผลิตภัณฑ์ของนม ปลาซาร์ดีนพร้อมกระดูก ปลาตัวเล็กๆพร้อมกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง งาดำ กะปิ
- วิตามินดี มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม โดยร่างกายต้องการ วิตามินดี วันละ 200-600 หน่วย ซึ่งในนม 1 แก้ว จะมีวิตามินดี 100 หน่วย และมีแคลเซียม 300 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินสามารถรับจากแสงแดดอ่อนตอนเช้าได้ด้วย
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ จะทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นๆ มีความแข็งแรง และช่วย
ผ่อนแรงกระแทกที่กระทบกับข้อโดยตรง ยังช่วยทำให้ข้อสึกช้าลง หรือช่วยควบคุมแนวการรับน้ำหนักของข้อนั้น
ๆ ให้อยู่ในแนวที่ตรงขึ้น ทำให้ข้อรับน้ำหนักน้อยลง การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ยังช่วยทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
3. การลดน้ำหนัก หรือการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดเพราะน้ำหนักเกินเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และทำให้การดำเนินโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เนื่องจากข้อต่างๆ ของร่างกายต้องรับแรงมากกว่าปกติ
ไม่มีความเห็น