หนังสือ The Knowledge Illusionn : The Myth of Individual Thought and the Power of Collective Wisdom (2017) เขียนโดย Steven Solomon & Philip Fernbach บอกว่าปัญญาไม่ใช่มีแค่มิติปัญญาของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ปัญญาที่มีพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษย์ เป็น ปัญญารวมหมู่
ผู้เขียนคือ Steven Solomon เป็นศาสตราจารย์ด้าน cognitive linguistics, Brown University และเป็นบรรณาธิการของวารสาร Cognition ส่วน Philip Fernbach เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาด มหาวิทยาลัย โคโลราโด้
เรามักจะได้รับการบอกเล่า ว่าการก้าวกระโดดของวิทยาการเกิดจากบุคคลที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านปัญญา เช่น เซอร์ ไอแซค นิวตัน, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ชาร์ลส ดาร์วิน เป็นต้น ซึ่งเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน เบื้องหลังการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นั้นๆ ยังมี “ปัญญารวมหมู่” อยู่เบื้องหลัง
มายาคติอย่างหนึ่งคือ คนเรามักคิดว่าตนรู้มากกว่าที่เป็นจริง กล่าวใหม่ว่า คนเรารู้น้อยกว่าที่ตนเองคิดว่าตนรู้ มายานี้เรียกว่า IoED (Illusion of Explanatory Depth) มีตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความรู้ความเข้าใจว่ารถจักรยานทำงานอย่างไร นักจิตวิทยาเอาร่างรูปรถจักรยานที่มีส่วนประกอบไม่ครบ ให้ตัวอย่างผู้ถูกทดลองวาดเติมให้ครบ พบว่าคนส่วนใหญ่เติมได้ไม่ครบชิ้นส่วนสำคัญ
สมองมนุษย์ไม่ได้มีไว้ทำหน้าที่คลังความรู้ ฟังดูแปลก มีคนหาวิธีคำนวณว่า หากสมองมนุษย์เป็นคล้ายคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลความรู้ ใช้วิธีคำนวณหลายวิธี ผลออกมาตรงกันว่าสมองมีความจุเพียงประมาณ 1 gigabyte เรื่องราวต่างๆ ในโลกมีมากมายและซับซ้อนเกินสมองมนุษย์จดจำ
ถ้าเช่นนั้น สมองมนุษย์วิวัฒนาการมาเพื่อทำอะไร
คำตอบคือ สมองมนุษย์วิวัฒนาการมาทำหน้าที่ปฏิบัติการ (action) โดยมีลักษณะจำเพาะต่างจากสมองสัตว์อื่นที่การทำหน้าที่วินิจฉัยเหตุผล (diagnostic reasoning) คือการคิดจากผลไปหาเหตุ ซึ่งทำได้ยากกว่าการคิดจากเหตุไปหาผล
การคิดเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกับความสามารถในการเล่าเรื่อง (storytelling) ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ที่มนุษย์ใช้สร้างความหมายของสิ่งต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะความหมายของอดีต และใช้สร้างความหมายของอนาคต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนิยายหรือเรื่องในจินตนาการ นี่คือความสามารถพิเศษของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์คิดระบอบประชาธิปไตยขึ้นได้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และทำให้มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้
มนุษย์เราใช้เหตุผลสองแบบ คือแบบใช้ปัญญาญาณ (intuition) กับแบบใช้การปรึกษาหารือใคร่ครวญอย่างรอบคอบ (deliberation) การคิดแบบใช้ปัญาญาณเป็นการคิดคนเดียว ใช้ปัญญาส่วนตน แต่การคิดอย่างปรึกษาหารือใคร่ครวญเป็นการคิดแบบใช้ปัญญาของคนอื่นด้วย แม้จะใคร่ครวญไตร่ตรองคนเดียว เราก็คุยกับตัวเองคล้ายคุยกับคนอื่น ซึ่งเป็นวิธีดึงเอาความคิดภายในออกไปภายนอกตัว เพื่อช่วยการคิด
ซึ่งหมายความว่า มนุษย์เราคิดด้วยร่างกายและโลกรอบตัวด้วย ไม่ใช่แค่ใช้สมอง ตัวอย่างหนึ่งคือ embodiment ซึ่งหมายถึงเราใช้การออกท่าทางช่วยการคิด ดังกรณีเรานับจำนวนโดยนับนิ้ว หรือสะกดคำโดยใช้กระดาษและดินสอช่วย เราจดจำสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เคยชินไว้ ช่วยลดภาระการคิดลงไปได้มากมาย เปรียบเสมือนเราใช้โลกหรือสภาพแวดล้อมรอบตัวช่วยการคิด
นอกจากนั้น เรายังใช้อารมณ์เป็นดั่งคลังความจำ เราไม่ต้องคิดหลีกเลี่ยงเลยเมื่อเผชิญสิ่งอันตรายหรือน่าขยะแขยง
มนุษย์เรามีความสามารถคิดร่วมกัน และร่วมมือกัน ตามทฤษฎี social brain hypothesis การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ทำให้สมองวิวัฒน์สู่ความซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งทำให้สังคมมนุษย์ซับซ้อนขึ้น กระตุ้นให้สมองยิ่งซับซ้อนขึ้น เป็นวงจรสร้างความซับซ้อนของสมองและของสังคมมนุษย์ นำไปสู่การแบ่งงานกันทำ แบ่งภาระการคิดกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะคนในชุมชนหรือสังคมเดียวกันมีเป้าหมายเดียวกัน ลักษณะพิเศษ ๒ ประการ คือการแบ่งงานกันคิด และการมีเป้าหมายร่วมกัน นำไปสู่การบรรลุสิ่งที่มนุษย์ไม่น่าจะทำได้เช่นการประดิษฐ์สมาร์ทโฟน และการสำรวจอวกาศ ลักษณะพิเศษสองประการของมนุษย์นี้ คอมพิวเตอร์ที่ฉลาดที่สุดไม่มี
แต่มนุษย์ก็มีจุดอ่อนที่ group think ซึ่งนักจิตวิทยาสังคมอธิบายว่า เป็นปรากฏการณ์ที่ “พวกมากลากไป” ดังกรณีประชาชนสนับสนุนฮิตเล่อร์ สตาลิน และเหมาเจ๋อตง และในกรณีฟองสบู่การเงินในประเทศไทยช่วงปี ๒๕๓๖ - ๒๕๔๐ (อันนี้ผมเติมเอง)
นักการเมือง และคนบางจำพวกเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้าง group think คนเราจึงต้องรู้เท่าทัน โดยการฝึกทักษะการคิดเชิงเหตุ-ผล
หนังสือเสนอให้นิยามความฉลาดเสียใหม่ จากการวัดไอคิว เป็นการวัดความสามารถ และความถนัดในการทำงานร่วมกันเป็นทีม และต้องจัดการศึกษาที่ฝึกความสามารถด้านความร่วมมือ โดยเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้จากการฟังการบรรยาย เป็นเรียนโดยการทำกิจกรรม เน้นกิจกรรมที่ทำเป็นทีม เพื่อฝึกทักษะการคิดร่วมกัน
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ต.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น