นับเป็นวลียอดฮิตที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อย ในช่วงทศวรรษนี้ นำไปใช้ในวงสนทนาได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงการเมืองในระดับประเทศ..
ไม่สามารถสืบค้นได้ว่าใครใช้วลีนี้เป็นคนแรก ในต่างประเทศก็ใช้กัน วันก่อนดูหนังฮอลลีวู๊ดพากษ์ไทย ในหนังพูดแบบนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร?
เท่าที่ผมวิเคราะห์คนที่พูดว่า..มาถึงจุดนี้ได้ยังไง? มักจะพูดกันระหว่างบุรุษที่ ๑ กับ ๒ คือฉันกับเธอ คุณกับผม..จะไม่ค่อยใช้กับบุรุษที่ ๓ หรือคนที่เรากล่าวถึง
แล้วก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน พูดวลีนี้ออกไปแล้ว เหมือนจะตั้งประเด็นคำถาม แต่คนพูดอาจไม่ต้องการคำตอบ เพียงแค่รำพึง และผู้ฟังไม่ต้องแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมก็ได้
มาถึงจุดนี้ได้ยังไง? แท้ที่จริงผู้พูดรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่า กว่าจะถึงวันนี้ ได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง มันถึงต้องเป็นแบบนี้..การที่ต้องพูดออกไปอาจเป็นเพราะว่านึกไม่ถึงหรือนึกอะไรไม่ออก....
ใครเคยสังเกตไหม?มาถึงจุดนี้ได้ยังไง..ไม่มีความเป็นกลางๆสักเท่าไหร่ คนพูดจะเห็นภาพเชิงประจักษ์ ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่หน้าก็หลัง ไม่สูงสุดก็ต่ำสุด และไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง จะไม่ค่อยเป็นเรื่องที่พอเหมาะพอดีแน่นอน..
ดังนั้น..มาถึงจุดนี้ได้ยังไง เป็นได้ทั้งเรื่องภูมิใจให้พลัง ที่จะไปต่อ เพื่อความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามก็เป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องที่ต้องแน่วแน่แก้ไขให้สถานการณ์มันดีขึ้น
ข้อแนะนำอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต..ควรเหลียวหลังแลหน้า หมั่นตรวจสอบและทบทวนว่าได้ทำอะไรลงไป รอบคอบและใช้เหตุใช้ผลมากน้อยแค่ไหน? จะได้ไม่ต้องสงสัยหรือเสียใจที่อุตส่าห์เดินไปไกลได้ถึงจุดนั้น
บางคน ถึงกับลองผิดลองถูก ค่อยเป็นค่อยไปและแก้ไขเส้นทางชีวิตและงานระหว่างทาง ยึดคติ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” ถึงเป้าหมายช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ในทางบริหารจัดการ ก็ถือว่า “มาถึงจุดนี้ได้ยังไง” เป็นวลีที่เชื่อมโยงให้เห็นมุมมองของศาสตร์เล็กๆ ที่เกี่ยวกับการจัดการความรู้ อาจเขียนเป็น “เรื่องเล่าเร้าพลัง”ก็ได้ เล่าถึงเส้นทางสู่ความสำเร็จ..ที่เดินทางมาถึงจุดนี้
หรือ..เดินผิดทาง..บังเกิดความผิดพลาดก็สามารถเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไว้เป็นบทเรียน..ที่ล้ำค่าของชีวิต
“มาถึงจุดนี้ได้ยังไง” เป็นข้อสงสัยธรรมดา แต่เมื่อ “ถอดบทเรียน”ออกมา อาจได้วิธีปฏิบัติที่ดี(Best Practices) ที่ช่วยสานฝันให้ใครอีกหลายคน และถ้าถอดบทเรียนเพื่อการปรับปรุงแก้ไข ก็ย่อมจะไม่มีใครอยากเดินทางที่ซ้ำรอยเดิม..
ผมไม่ค่อยจะได้พูดหรือใช้วลีดังกล่าว เนื่องจากชีวิตการทำงานไม่มีอะไรแปลกแหวกแนว..แบบว่าลำบากจนชิน พบเจอแต่อุปสรรคและความขาดแคลน จึงต้องอดทน ยอมขมแล้วขมอีก..พอผ่านอะไรหนักๆไปได้ ก็เลยไม่ค่อยแปลกใจ..
วันนี้..ยืนดูอาคารเรียนหลังใหม่ ผมอยู่คนเดียวจึงไม่ได้พูดแต่คิด..”มาถึงจุดนี้ได้ยังไง?”...ได้อาคารเรียนที่สวยงามในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี..
เพราะพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ทรงอาคารดูแปลกดีครับ ;)…
รู้สึกดีใจและภูมิใจ ในความพยามจนประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง ของ ท่าน ผอ.ครับ