บางกลุ่มถูกไหว้วานไปช่วยทหารทำกับข้าวและลำเลียงแจกจ่าย ขณะที่อากาศก็ร้อนอบอ้าว ผู้คนก็เนืองแน่น อะไรๆ ก็รุกเร้าท้าทายที่จะบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจอยู่ตลอดเวลา แต่เราและเราก็ยังหนักแน่นต่อภารกิจแห่งใจของการ “กราบพ่อ” และการ “ทำความดีเพื่อพ่อ”
ก่อนอื่นต้องขอบอกกล่าวว่า เรื่องนี้ผมเขียนไว้ร่วมปีแล้ว แต่ยังไม่ได้นำมาลงไว้ใน Gotoknow.org จวบจนทำหนังสืออีกเล่ม จึงตัดสินใจนำมาลงไว้ เพราะจะได้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของการสืบค้นในภายหน้า อย่างน้อยก็ในวิถีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ผมคุ้นชินนี่แหละ
วันที่ 16-17 มกราคม 2560 ผมพร้อมด้วยทีมงานและนิสิตในราว 40 คนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เนื่องในโครงการ “มมส จิตอาสาทำดีเพื่อพ่อหลวง” เพื่อเป็นอาสาสมัครบริการประชาชนและเข้ากราบสักการะพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ณ ท้องสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนการส่งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่พี่น้องชาวใต้ที่ประสบอุทกภัยผ่านศูนย์ประสานงานเครือข่ายจิตอาสาฯ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
กิจกรรมทั้งปวงนี้ หลักๆ แล้วคือการบำเพ็ญประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นหัวใจหลัก
ผม พร้อมด้วยทีมงานและนิสิตเดินทางถึงท้องสนามหลวงในเวลาประมาณเกือบๆ จะ 5 โมงเย็นของวันที่ 16 มกราคม 2560 ตลอดการเดินทางผมติดต่อกับส่วนกลางในเรื่องของการเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร หรือแม้แต่การเข้าพักอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ติดต่อลำบากมาก เรียกได้ว่าติดต่อแทบไม่ได้เลยก็ไม่ผิด
แต่นั่นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายใดๆ ซึ่งผมพยากรณ์ล่วงหน้าอยู่แล้วและได้ชี้แจงกับนิสิตมาชัดเจนแล้วว่าการงานครั้งนี้จะยุ่งยาก ไม่มีความสะดวกสบาย ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว ทุกอย่างต้องพร้อมที่จะปรับตัวและปรับเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ ก่อนเข้าย่านรังสิต เราทั้งหมดจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดลำลองมาเป็น “ชุดนิสิต” เพื่อเตรียมเกราบสักการะพระบรมศพ-
ทันทีที่ถึงท้องสนามหลวง นิสิตทุกคนเดินทางเข้าสู่การเข้าคิวเพื่อกราบสักการะพระบรมศพ ผมเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ตามเข้าไปดุแลนิสิต เจ้าหน้าที่ที่เหลืออีก 3 คนยังไม่สะดวกเข้ากราบพระบรมศพในวันนี้ ผมจึงฝากให้ดูแลรถบัสรอเราทุกคนอยู่ด้านนอกใกล้ๆ กองสลากกินแบ่งฯ
ผมเพียงคนเดียวกับภารกิจดูแลนิสิตอีก 40 คนในสถานการณ์เช่นนั้น ยอมรับว่าลำบากมาก แต่ก็เอาใจสู้เสือ ทั้งแบกกล้อง ทั้งสอดส่วยสายตาดูนิสิตเป็นระยะๆ พร้อมๆ กับฝากเหล่านายกองค์การนิสิตและนายกสโมสรนิสิตช่วยดูแลนิสิตที่กระจัดกระจายอยู่ในแต่ละส่วนอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่รู้ หรือไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับกิจกรรมนี้เลย คนทุกคนที่มาต่างล้วนเป็นครั้งแรกที่มา “กราบพ่อ” เหมือนกัน
ผมจำได้แม่นยำมากในบรรยากาศของวันนั้น เคลื่อนมหาชนหลั่งไหลเข้ากราบสักการะพระบรมศพอย่างเนืองแน่น ผู้คนถูกเคลื่อนขยับเป็นจังหวะๆ ในบางครั้งมีอาสาสมัครนำอาหารเครื่องดื่มมาแจก ขณะที่บางคนก็ลุกออกไปเข้าห้องน้ำห้องท่า เฉกเช่นกับกลุ่มอาสาสมัครก็หมุนเปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่ไม่ขาดสาย ทั้งเก็บขยะ แจกยาดมยาหม่อง แจกของที่ระลึก ฯลฯ
ในห่วงเวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม แทนที่นิสิตของเราจะนั่งรอเข้าสู่กระบวนการเพียงอย่างเดียว กลับกลายเป็นว่าส่วนหนึ่งลุกขึ้นมาช่วยเก็บขยะในเต็นท์ต่างๆ อย่างไม่อิดออด เป็นการเก็บขยะในชุดนิสิตอย่างแสนสง่า เป็นการลุกขึ้นมาทำหน้าที่โดยที่ผมไม่ต้องสั่งการณ์ใดๆ นั่นคือความดีงามและงดงามที่ติดตราตรึงใจผมอย่างที่สุด
จินดารัตน์ ประนนท์
และในราวเกือบๆ จะ 5 ทุ่ม ปรากฏการณ์อันน่ารักก็เกิดขึ้นอีกรอบ คราวนี้เกิดในภาพกว้างกว่าการเก็บขยะทั่วไป นิสิตลุกออกจากที่นั่งเดินข้ามฝั่งไปยัง
อีกเต็นท์หนึ่งที่ร้างคนนั่ง ตอนแรกผมเข้าใจว่าจะไปห้องน้ำกัน ซึ่งผมก็กังวลไปด้วย เพราะกลัวจะกลับเข้ามาไม่ทัน เนื่องจากช่วงนั้นการเคลื่อนตัวได้เคลื่อนเข้าใกล้จุดที่แตกแถว หรือกลับเข้า-ออกจากแถวไม่ได้แล้วนั่นเอง
ที่ไหนได้ นิสิตเพียงคนเดียว (นส.จินดารัตน์ ประนนท์) นายกสโมสรนิสิตคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมได้ลุกไปจัดเก็บเก้าอี้ที่ระเกะระกะอยู่อีกเต็นท์ช่วยแม่บ้าน เท่านั้นละครับ อึดใจเดียวจริงๆ นิสิตของเราแตกฮืออกจากที่นั่งตรงดิ่งไปช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง
ใช้เวลาในไม่กี่อึดใจ เก้าอี้จำนวนหลักพันๆ ตัวถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบระเบียบ ขยะเกลื่อนพื้นถูกจัดเก็บอย่างรวดเร็ว จนผู้คนแสดงความชื่นชมและถามทักว่าเป็น “นิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอะไร” และทันทีที่ถึงคิวอันเป็นแถวของนิสิตที่จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ตัวพระบรมมหาราชวัง นิสิตก็กลับสู่แถวและที่นั่งของตนเองอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบอย่างมหัศจรรย์
ที่สุดแล้วค่ำคืนนั้นเราเสร็จสิ้นการเข้ากราบพ่อในราวเที่ยงคืน พอเสร็จนั้นก็แตกฮือออกมาขึ้นรถเมล์กลับมายังกองสลากฯ ตอนนี้ยิ่งทำให้ผมวิตก เพราะไม่รู้ใครจะขึ้นรถคันไหน จะลงป้ายถูกไหม จะพลัดหลงกันหรือเปล่า –
ทุกอย่างรุงรังในหัวสมองของผม มันเป็นความห่วงใยมากกว่าคิดว่าเป็นภาระ จึงได้แต่ฝากฝังแกนนำให้ดูแลกันและกันอย่างดียิ่ง ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เข้าที่พักได้ในรายเกือบ จะตีสอง ไม่มีโรงแรมใดๆ เป็นพิเศษ เราทุกคนเข้านอนที่โรงยิมฯ ของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น)
นั่นคือคืนแรกที่เราเข้าพักในสถานที่แห่งนั้น แม้จะไม่ได้สะดวกสบายอะไร แต่ก็มิใช่ประเด็นหลักของเรา เพราะเรายืนยันกันชัดเจนแล้วว่า “เรามากราบพ่อด้วยใจ”
ใช่ครับ – มาด้วยใจ ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ไม่มีโรงแรมหรูๆ ให้เข้าพัก ไม่มีชั่วโมงจิตอาสา กยศ.-กรอ. ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจาก “ใจนำพาศรัทธานำทาง” ล้วนๆ
วันที่ 17 มกราคม 2560 ผม พร้อมด้วยนิสิตเข้าสู่ท้องสนามหลวงในราว 9 นาฬิกา ยอมรับว่าการเข้าสู่พื้นที่รงนั้นยากลำบากมาก เพราะผู้คนเนืองแน่น รถราก็เยอะแยะ จราจรก็ติดขัดยุ่งเหยิง
เราบริหารเวลาแบบดิบด่วน แบ่งหน้าที่กันบนรถอีกรอบ กลุ่มแรกในราว 10 คนพร้อมเจ้าหน้าที่ 3 คนนำข้าวของไปบริจาคช่วยพี่น้องชาวใต้ผ่านศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ปะสบภัยน้ำท่วมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เหลือทั้งหมดนำข้าวของไปปักหมุดในสนามหลวงเพื่อตั้งจุดบริการประชาชนในนาม “มมส ทำความดีเพื่อพ่อ” ซึ่งมีทั้งที่ปักหลักในศูนย์ตัวเอง ส่วนหนึ่งตระเวนแจกตามเต็นท์ต่างๆ อีกกลุ่มไปช่วยงานศูนย์อาสาสมัครด้วยการแจกน้ำดื่ม
โดยหลักๆแล้วเรามีข้าวของไปแจกค่อนข้างมาก ทั้งที่เป็นน้ำดื่ม ลูกอม ขนม ยาดมยาหม่อง กระดาษชำระ ผ้าเย็น น้ำดื่มสมุนไพรตรีผลาจากคณะเภสัชศาสตร์ ฯลฯ
นอกจากนั้นก็ส่งมอบน้ำดื่ม กาแฟ โอวัลตินให้กับกองอำนวยการ เพื่อให้พิจารณาใช้ประโยชน์ต่อประชาชนตามเห็นสมควร ซึ่งวันนี้เราทั้งหมดไม่ได้ใส่ชุดนิสิต หากแต่ใส่เสื้อยึดสีดำเป็นยูนิฟอร์มเดียวกัน และนั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครๆ รู้จักเรามากขึ้นว่าเราคือนิสิตอาสาสมัครที่มาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
จะว่าไปแล้วมองอย่างผิวเผิน อาจรู้สึกว่าเป็นงานง่ายๆ ไม่เหนื่อยไม่ล้าก็ว่าได้ แต่ในความเป็นจริงเราทำงานกันแทบไม่ได้หยุดพัก แต่ละคนเดินแจกของไม่รู้กี่หลายร้อยรอบ ข้าวเช้าข้าวเที่ยงก็ไม่ได้ทาน
บางกลุ่มถูกไหว้วานไปช่วยทหารทำกับข้าวและลำเลียงแจกจ่าย ขณะที่อากาศก็ร้อนอบอ้าว ผู้คนก็เนืองแน่น อะไรๆ ก็รุกเร้าท้าทายที่จะบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจอยู่ตลอดเวลา แต่เราและเราก็ยังหนักแน่นต่อภารกิจแห่งใจของการ “กราบพ่อ” และการ “ทำความดีเพื่อพ่อ”
และวันนั้นเราต่างทุ่มกายใจทำหน้าที่ “อาสาสมัครเพื่อพ่อ” อย่างเต็มที่ ก่อนตัดสินใจยุติบทบาทลงในราวบ่ายสามเศษๆ จากนั้นจึงกลับมารวมตัวสรุปงานอย่างสั้นๆ ที่ศูนย์ประสานงานที่เราติดตั้งเป็นการชั่วคราว ซึ่งมีมติตรงกันคือใช้เวลาที่เหลือให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ด้วยการทัศนศึกษาสถานที่สำคัญๆ รายรอบสนามหลวง
เอาตรงๆ เลยว่า ถึงวินาทีนี้ผมก็ยังพะว้าพะวงอยู่ดี เพราะมีหลายกลุ่มที่แยกย้ายกันไปทัศนศึกษาตามอัธยาศัย ผมไม่รู้จะ “แยกร่าง” ตามดูแลยังไง แต่ก็เชื่อว่าพวกเขาจะดูแลตัวเองได้
ในอีกอารมณ์ผมก็มองว่านี่ คือโอกาสที่ “คนภูมิภาค” จะได้ “ใช้ชีวิต” ใน “เมืองหลวง” ด้วยตนเอง จึงควรให้เขาได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเองบ้างก็น่าจะดี ยกเว้นกลุ่มที่ไม่รู้จะไปไหนดี ผมจึงต้องดูแลกลุ่มนี้ด้วยตนเอง เป็นต้นว่า พาลัดเลาะเข้าเยี่ยมชม “เรือพระราชพิธี” ก่อนกลับมาขึ้นรถบัสกลับที่พักพร้อมกันในราว 2 ทุ่ม
และเดินทางกลับสู่มหาวิทยาลัยในเช้ารุ่งของวันที่ 18 มกราคม 2560
พาหัวใจเดินทางไกลมากราบพ่อ
มาสานต่อความดีที่พ่อให้
มาเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มาด้วยใจเปี่ยมรักเปี่ยมศรัทธา
พ่อเสด็จกลับฟ้า
ก้มกราบด้วยน้ำตา
คืนเทวดาสู่สวรรคาลัย
....