- สามารถสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรมได้ทันที่ที่เกิดขึ้นทำให้สามารถจดบันทึก เรียบเรียงสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว
- ได้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงตรงกับสภาวการณ์จริงของพฤติกรรมนั้นโดยปราศจากอคติ ความลำเอียง หรือตีความไปในประเด็นที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ข้อจำกัดของการสังเกต
- ไม่สามารถที่จะทำนายได้อย่างแน่ชัดว่าเหตุการณ์ๆหนึ่งจะเกิดตามธรรมชาติเมื่อใด จึงสังเกตการณ์ได้ทัน
- มีสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดมาก่อน
เทคนิคเบื้องต้นของการสังเกต
- เทคนิคในการสังเกตมีหลากหลาย ไม่ตายตัวนิสิตอาจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายๆ วีธีในการสังเกต
- สังเกตและจดบันทึกทุกอย่างที่มองเห็นในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
- รอให้มีเหตุการณ์ ที่สะดุดตา สะดุดใจแล้วจึงเริ่มการสังเกตในประเด็นที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้สังเกต
- สังเกตสิ่งที่เห็นว่าเป็นความขัดแย้งเป็นปัญหา เริ่มสังเกตจากสิ่งที่ชาวบ้านมองว่าเป็นปัญหา
ในขณะเดียวกันในการบันทึกข้อมูลที่สังเกตเห็นจะต้องรีบจดบันทึกสั้นๆเพื่อกันลืมแล้วขยายใจความทีหลัง อาจวาดภาพ แผนผังประกอบการบันทึกในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงด้วยว่าในขณะที่บันทึกผู้สังเกตจะต้องดูบรรยากาศเหตุการณ์ว่าอำนวยในการบันทึกหรือไม่
๔.๒) การสัมภาษณ์ (Interview)
ความหมายของการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ คือการสนทนาซักถามอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องการข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จะช่วยอธิบายสิ่งที่พบเห็นหรือสังเกตได้ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างของคำถามและสามารถควบคุมทิศทางโครงสร้างของเนื้อหาให้เป็นเรื่องที่ต้องการทราบหรือปัญหาในการศึกษา(มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2540)โดยมีจุดสนใจของการสัมภาษณ์ คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎ ระเบียบหรือระบบความหมายที่เหตุการณ์หรือปรากฎการณ์สังคมหนึ่งๆ มีอยู่
องค์ประกอบของการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์จะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทำหรือความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างผู้ถูก(ให้)สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์ โดยหลักของการสัมภาษณ์ที่ดีควรต้องคำนึงทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ดังนี้
- ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลที่แท้จริงในประเด็นที่ต้องการศึกษาซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์สามารถที่จะแสดงออกในการตอบคำถาม ตามความคิดเห็นของตนเอง
- ผู้สัมภาษณ์อาจจะเป็นผู้ศึกษา และ หรือ บุคคลอื่นที่ผู้ศึกษาได้คัดเลือกให้เป็นผู้สัมภาษณ์ซึ่งต้องได้รับการฝึกฝนวิธีการสัมภาษณ์ในขณะเดียวกันผู้สัมภาษณ์จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะทำการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้สามารถซักถามผู้ให้สัมภาษณ์ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์
ประเภทของการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์สามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้๓ ประเภท ได้แก่
- การสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Focus GroupInterview) เป็นการสัมภาษณ์ที่เจาะจงหัวข้อเรื่องที่ต้องการข้อมูลเช่น การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่ง เช่นการบริหารกองทุนหมู่บ้าน
- การสัมภาษณ์ที่ไม่กำหนดคำตอบล่วงหน้า (Non-DirectiveInterview)เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการ เช่นการสัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาต่อผู้ป่วย
- การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-deptInterview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ซึ่งต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการและผู้ศึกษาเองก็ต้องมีกระบวนการเตรียมข้อมูลเพื่อที่จะสัมภาษณ์เช่น การสัมภาษณ์ชีวประวัติบุคคล
แบ่งตามเทคนิคการสัมภาษณ์แบ่งได้ ๓ ประเภท ได้แก่
- การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (StructuredInterview)เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ถามคำถามต่างๆที่มีไว้ในแบบสัมภาษณ์โดยไม่สามารถที่จะดัดแปลงเป็นคำถามอื่นๆได้เป็นการสร้างมาตรฐานเดียวกันกับการสัมภาษณ์บุคคลอื่นๆด้วยเช่นกัน
- การสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (UnstructuredInterview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีกรอบในคำถามของการสัมภาษณ์ที่แน่นอนชัดเจน เป็นเพียงแนวทางกว้างๆในการสัมภาษณ์ (Interview guide)ซึ่งสร้างขึ้นเป็นประด็นหรือหัวข้อในการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการโดยผู้สัมภาษณ์จะต้องกำหนดว่าต้องการสัมภาษณ์ในประเด็นอะไร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อคำถามได้อย่างเปิดกว้าง
- การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structureInterview)เป็นการสัมภาษณ์ที่ประกอบด้วยคำถามต่างๆในแบบสอบถามแต่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนของคำตอบ
หลักการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือเที่ยงตรงจะต้องมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
- การแนะนำตัวเอง (Introduction)ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตัวเองเสียก่อนเพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ทราบและคุ้นเคยและจะต้องสังเกตในขณะเดียวกันว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์หรือไม่โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของระยะเวลาและสถานที่
- หลักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (GoodRelationship) เป็นขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่จะต้องสร้างความคุ้นเคยมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้ให้สัมภาษณ์
- การเข้าใจวัตถุประสงค์ (Objective) โดยผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์ของคำถามที่กำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในการซักถามและควรจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้แก่ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกครั้งเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วม
- การจดบันทึก (Take note) ในทุกกระบวนการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องเตรียมการจดบันทึกในขณะที่ทำการสัมภาษณ์การจดบันทึกเพื่อให้ได้คำตอบที่ได้โดยเป็นการบันทึกลงในแบบสัมภาษณ์ที่กำหนดไว้ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความตั้งใจ ในการเก็บประเด็นการสัมภาษณ์เพื่อให้ข้อมูลที่สมบูรณ์
- เทคนิคที่สำคัญในระหว่างการสัมภาษณ์ประกอบไปด้วย
- การสังเกตกริยา พฤติกรรมสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศรอบๆของผู้ให้สัมภาษณ์
-
การฟัง (listening) ผู้สัมภาษณ์จะต้องตั้งใจฟังยอมรับบทสนทนาของผู้ให้สัมภาษณ์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
-
การซักถาม (Questioning)ผู้สัมภาษณ์จะต้อมีทักษะในการรู้จักตั้งคำถามเพื่อให้เข้าใจง่ายและไม่ชี้นำในการตอบคำถาม
-
การถามซ้ำ (probling)การถามซ้ำจะดำเนินในกรณีที่ต้องการกระตุ้นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็นหรือเพื่อสร้างความชัดเจนในคำตอบ หรือเพื่อให้ได้ภาพรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง (channelprobe) หรือเพื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของผู้ให้สัมภาษณ์
- การกล่าวขอบคุณเป็นกระบวนการสุดท้ายของการสัมภาษณ์ โดยเมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ผู้สัมภาษณ์จะต้องกล่าวขอบคุณแก่ผู้ให้สัมภาษณ์ ที่เสียสละเวลาในการให้สัมภาษณ์โดยปกติการสัมภาษณ์ที่ดีไม่ควรใช้เวลาเกิน ๑ ชั่วโมง การสัมภาษณ์ที่เหมาะสมควรอยู่ในระหว่าง ๓๐-๔๕ นาที
ข้อดีของการสัมภาษณ์
- ผู้สัมภาษณ์เป็นการติดต่อโดยตรงระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ (two waycommunication) ซึ่งสามารถทำความเข้าใจในข้อมูลได้ตรงกันได้คำตอบที่ต้องการอย่างสมบูรณ์ และสามารถอธิบายข้อสงสัยต่างๆให้ผู้ตอบได้
- สามารถเก็บข้อมูลได้กับกลุ่มเป้าหมายทุกระดับไม่ใช่เฉพาะผู้ที่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น
- สามารถสังเกตบริบทสภาพแวดล้อมในระหว่างการสัมภาษณ์ได้
ข้อจำกัดของการสัมภาษณ์
- ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผู้สัมภาษณ์ให้ความร่วมมือและผู้สัมภาษณ์มีเทคนิคและทักษะในการสัมภาษณ์และการตั้งคำถามเพื่อตอบให้ได้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
- การสัมภาษณ์บางครั้งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทันทีของผู้ให้สัมภาษณ์อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้
- สิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่ายและแรงงาน
๔.๓) เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus Group)
ความหมายของการสนทนากลุ่ม
การสนทนากลุ่มเป็นวิธีการศึกษาชุมชนที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาพรวม เช่น ทัศนคติความคิดเห็นซึ่งมักจะเริ่มจากการเลือกบุคคลที่มีคุณลักษณะทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน(Homogeneous group)
มารวมกลุ่มเพื่อสนทนากันโดยจะมีผู้นำการสนทนา ที่เรียกว่า Moderator
ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการนำประเด็นการสนทนาและมีทักษะในการควบคุมสถานการณ์ในการสนทนาได้เป็นอย่างดีโดยปกติแล้วการสนทนากลุ่มจะต้องเลือกสถานที่ที่มีบรรยากาศที่สงบปราศจากเสียงรบกวนหรือมีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวน
รูปแบบการสนทนากลุ่มจะเป็นการนั่งพูดคุยสนทนาระหว่างคนมากกว่า ๒ คน แต่ไม่เกิน ๑๒ คน หรือการเป็นพูดคุยกลุ่มเล็กโดยมีผู้ดำเนินการสนทนาและมีผู้คอยจดประเด็นการพูดคุยของสมาชกในกลุ่มชัดจูงให้ผู้ร่วมสนทนาให้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นที่ยกขึ้นมาเพื่อเปิดกว้างให้ผู้เข้าร่วมสนทนาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นร่วมกัน และหาข้อสรุป
องค์ประกอบของการสนทนากลุ่ม
บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- ผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องเป้นผู้ที่สื่อสารภาษาถิ่นได้ถูกต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์การศึกษาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะสามารถตั้งประเด็นการสนทนาได้
- ผู้จดบันทึกการสนทนา (Notetaker) ทำหน้าที่ในการจดบันทึกตามประเด็นที่ผู้ร่วมสนทนาได้แสดงความคิดเห็นและเชื่อมโยงประเด็นเข้าสู่ข้อมูลที่ต้องการศึกษา
- ผู้ช่วย (Assistant)ผู้ช่วยทำหน้าที่ช่วยเหลือในการประชุมการสนทนากลุ่มเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย
ขั้นตอนการสนทนากลุ่ม
ขั้นตอนในการสนทนากลุ่มประกอบด้วย
- การเลือกบุคคลที่จะเข้าร่วมการสนทนากลุ่มจำนวน ๖-๑๒ คน
- นำผู้เข้าร่วมกันสนทนามาพบกันที่จุดหมาย
- ผู้ดำเนินการสนทนาแนะนำตัวเองอธิบายวัตถุประสงค์ของการสนทนา สร้างบรรยากาศความเป็นกันเองขอความยินยอมจากผู้เข้าร่วมสนทนาหากต้องการบันทึกเสียง
- เริ่มการสนทนาตามแนวทางการสนทนาที่ได้ดำเนินการเตรียมประเด็นคำถามไว้
- สรปุประเด็นเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการสนทนาซักถาม และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
- กล่าวขอบคุณ
๕) เทคนิคการเรียนรู้ในชุมชน
๕.๑) การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าพื้นที่ศึกษาชุมชน
ปรัชญาหรือกระบวนทัศน์ที่ถูกต้อง
ก่อนที่จะเข้าศึกษาชุมชน ผู้ปฏิบัติงานพัฒนาจะต้องมีฐานคิดสำคัญต่อการมองภาพของชุมชน๔ ประการ ดังนี้
-
ชุมชนไม่ใช่ภาชนะที่ว่างเปล่า การมองชุมชน“เปรียบเสมือนกับภาชนะว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย” จะเกิดการเข้าไปกำหนดทุกอย่าง โดยไม่ได้ดูว่าชุมชนมีศักยภาพหรือทุนทางสังคมอะไรอยู่บ้างทำให้ชุมชนต้องเป็นฝ่ายรอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ หรือองค์กรภายนอกที่จะนำความรู้ เทคโนโลยีอุปกรณ์ เครื่องมือ และระเบียบวิธีการจัดการต่างๆเข้าไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดในการพัฒนาชุมชน
-
ชุมชนไม่ได้อยู่แบบแยกส่วนในแต่ละมิติหากแต่ชุมชนคือองค์รวม และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งในมิติของประวัติศาสตร์โครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานไม่ควรมองชุมชนแบบขาดการเชื่อมโยงเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องแยกเป็นส่วนๆ โดยไม่มองปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลเชื่อมโยงถึงกัน
-
ชุมชนไม่ได้มีองค์กรเดียวเมื่อลงไปเกี่ยวข้องกับองค์กรชุมชน เรามักจะนึกถึงองค์กรผู้นำที่เป็นทางการอย่างเดียวเช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ใหญ่บ้าน (ผญ.บ.)กรรมการหมู่บ้าน (กม.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)ในขณะที่องค์กรหรือผู้นำธรรมชาติอื่นๆ นั้นเรามักไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ในวิถีชีวิตจริงของชาวบ้านมักมีกลุ่มที่รวมตัวกันเองตามธรรมชาติเช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ถือศีลอยู่ในวัดช่วงเข้าพรรษา กลุ่มคนเลี้ยงวัว กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันไปปลูกแตงในฤดูแล้งกลุ่มพ่อบ้านที่รวมตัวกันไปทำงานต่างถิ่น หรือแม้แต่คณะกรรมการผ้าป่า กลุ่มศรัทธาวัดหรือกลุ่มเล่นแชร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรชุมชนลักษณะหนึ่ง แต่เรามักไม่ได้ให้ความสนใจกับองค์กรที่ไม่เป็นทางการเหล่านี้ทำให้เราเห็นศักยภาพของชุมชนอย่างจำกัด (โกมาตร, ๒๕๕๐)
-
ชุมชนทุกชุมชนไม่เหมือนกันหมดหากนักพัฒนามีฐานมาจากความคิดที่ว่า “หากแผนงานโครงการหนึ่งทำสำเร็จในที่หนึ่งก็สามารถขยายผลไปทำในที่อื่นๆ ได้ทั่วประเทศ”อาจจะไม่ใช่ข้อสรุป เพราะชุมชนแต่ละชุมชนมีบริบท สภาพแวดล้อมทุนทางสังคม ปัจจัย เงื่อนไข ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำงานพัฒนาชุมชน จะต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษาชุมชนเพื่อนำไปสู่การวางแผนที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน(real need)
ทำความเข้าใจหลักการศึกษาชุมชน
หลักในการศึกษาชุมชนสำคัญๆ มีดังต่อไปนี้
- คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของสมาชิกชุมชน โดยต้องคำนึงถึงเสมอว่าชุมชนมีความหลากหลายและอาจขัดแย้งได้
- ควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการศึกษา ชุมชน/ท้องถิ่น ตนเองเพื่อพัฒนาจิตสำนึก ประเด็นปัญหา เช่น บุคคลประเภทใดและใครที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาพัฒนา
- วิธีการศึกษา ได้แก่การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ให้สมาชิกชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล สรุปข้อมูล ทำให้เกิดความตระหนักด้วยตนเองการลงไปชุมชนแล้ววิจัยเฉยๆ ไม่เห็นผล ต้องมีการปฏิบัติการด้วย
- สิ่งที่ควรพิจารณาในการศึกษาชุมชนเพื่อการพัฒนาคือ ความไม่เท่าเทียมกันของศักยภาพของกลุ่มบุคคลต่างๆ ความตั้งใจ เวลา ความรู้ ความร่วมมือ ทรัพยากรอื่นๆ เช่น เงิน วัตถุวัฒนธรรม สถานที่ นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายของคนที่สนใจแต่ละกลุ่มสนใจงานพัฒนาไม่เหมือนกัน จุดมุ่งหมายต่างกัน
- มองบริบทของชุมชน เช่นลักษณะสภาวะและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน บทบาทองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นปัญหาสำคัญของชุมชน ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมสำคัญของชุมชน
การเตรียมตัวเข้าชมุชน
ในกระบวนการเก็บข้อมูลชุมชน คำว่าสนาม หมายถึง พื้นที่ หรือ ปรากฏการณ์ทางสังคม ชุมชน ที่เราจะศึกษา สนาม อาจจะเป็นหมู่บ้านในชนบทชุมชนแออัดในเมืองดังนั้นการเตรียมตัวทำงานภาคสนามจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปูพื้นฐานเพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของแต่ละชุมชนที่นักพัฒนาลงไปปฏิบัติงานต้องวางแผนการเข้าพื้นที่โดยคำนึงถึงความผสมกลมกลืนที่และดูเป็นธรรมชาติมากสุด (สุภางค์ จันทวานิช, ๒๕๔๖) เช่น
- การแต่งกายที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่
- การวางตัวที่เหมาะสม เช่นไม่ควรดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่ควรเกี่ยวพาราสีหญิงสาวในชุมชน ควรวางตัวให้เรียบร้อยเพื่อให้สอดคล้องกับแบบแผนประเพณีของแต่ละท้องถิ่น
- การเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นในการปฏิบัติงานภาคสนามเช่น กล้องถ่ายภาพ เทปบันทึกเสียง
- การใช้ภาษาที่เหมาะสม สุภาพ และเป็นกันเอง
- การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนลงศึกษาภาคสนามเช่น การศึกษาค้นคว้าข้อมูลของชุมชนจากเอกสาร
การแนะนำตัว
การเข้าไปในชุมชนแม้จะไม่ใช่เรื่องยากแต่การเข้าไปแล้วจะนักพัฒนาจะเป็นที่ยอมรับเสมือนหนึ่งเป็นลูกหลานเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัย เทคนิคกระบวนการที่หลากหลาย และเทคนิคขั้นแรกที่สำคัญคือการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ (First impression) ดังนั้นเทคนิคการแนะนำตัวมีหลายวิธีการได้แก่
ให้คนที่" “
ชุมชนรู้จักดี”
ช่วยเป็นผู้แนะนำเข้าพื้นที่
-
แนะนำตนเองใน “บทบาทที"ชาวบ้านรู้จักได้ง่าย” รู้จักเลือกบอกบทบาทที่คิดว่าชาวบ้านรู้จักได้ง่ายจะเหมาะสมกว่า เช่น แนะนำตนเองในบทบาท “นิสิต” ซึ่งเป็นสถานภาพที่รู้จักกันโดยทั่ว ไปอยู่แล้วช่วยให้ชาวบ้านรู้ได้ถึงความเป็นลูกหลาน
- อาจมีจดหมายนำส่งจากหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ที่ไปปฏิบัติงานในชุมชน
-
แนะนำตน ผ่าน “ผู้นำชุมชน”
สิ่งที่ควรตระหนักตามมาในการแนะนำตัวคือการชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าพื้นที่ และบอกระยะเวลาของการเข้าศึกษาชุมชน ตลอดจนอาจขอความอนุเคราะห์จากผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน
เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน
เทคนิคพื้นฐานของการเข้าพื้นที่ชุมชนคือ เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคแรกและเป็นเทคนิคที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนการสร้างความสัมพันธ์ ความศัรทธา และความไว้เนื้อเชื้อใจจากชุมชน มีเทคนิคดังนี้
- สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ
- แสดงความสงบเสงี่ยม
- หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ทำให้อึดอัด
- ไม่ทำตัวทัดเทียมผู้นำชุมชน
- พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชน
- ควรมีผู้เริ่มแนะนำที่ชาวบ้านยอมรับ
- เมื่ออึดอัดอย่างท้อถอย
- ถือว่าการทำงานในสนาม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องงาน
- ต้องเข้าใจว่า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอาจต้องใช้เวลา
- เป็นมิตรกับทุกคน
- เคารพถึงความแตกต่างและหลากหลายภายในชุมชน
- อย่าด่วนสรุปหรือตีความ
- เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
- ให้ “เด็ก” เป็นสื่อสานสัมพันธ์ชุมชน
- เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
- เที่ยว “ตลาดชุมชน” เพื่อเห็นถึงหลากหลายสินค้า ผู้คน และเรื่องราวของชุมชน
- ไปร่วมกิจกรรมกับ “วัด” ในชุมชน
การปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในชุมชน
ทุกคนที่จะเข้าพื้นที่ศึกษาชุมชนต้องเรียนรู้เพื่อการปรับตัวร่วมกับชุมชนให้ได้เช่น
- คำนึงถึงค่านิยมของชุมชน
- ระมัดระวัง ข้อห้าม หรือ สิ่งต้องห้ามในชุมชน
- ตัวเป็นผู้เรียนรู้ ไม่ควรทำตัวเป็นผู้รู้
- คงไว้ซึ่งความเป็นคนนอกชุมชน (out-sider)
- เรียนรู้ภาษาถิ่น
- เรียนรู้วัฒนธรรมการกินการอยู่
- การดำรังชีวิตของชุมชน
- เรียนรู้กิจกรรมชุมชนทุกครั้งที่มีโอกาส
- เรียนรู้การใช้ชีวิตในชุมชน
ข้อพึงระวังในการเข้าพื้นที่ชุมชน
- ควรรู้จักและคำนึงถึงกาลเทศะหรือความเหมาะสมของเวลาและสถานที่เช่น ควรรู้ว่าสถานที่ใดถ่ายภาพได้หรือไม่ได้ บริเวณใดที่เป็นที่ห้ามเข้า
- การวางตัวที่เหมาะสมของเพศชายและเพศหญิงที่แสดงออกถึงความสนิทสนมมากเกินไปแต่ต้องคำนึงถึงบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ
- ไม่ควรสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกับคนต่างเพศซึ่งอาจถูก
- เข้าใจผิดไปในทางชู้สาวได้
- การใช้คำพูดภาษาที่มีความแตกต่างวัฒนธรรม คำบางคำอาจใช้กันอย่างปกติในวัฒนธรรมหนึ่ง แต่อาจเป็นคำที่เป็นไปในทางลบของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง
- การทำตัวเด่นเกินไปเป็นเรื่องที่ควรระวังให้มาก การเข้าชุมชนนั้นควรวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นนักศึกษา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่คุยโวโอ้อวดและทำตัวเด่นเกินจำเป็น
- หากพบความขัดแย้งในพื้นที่จะต้องไม่เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้วางตัวเป็นกลาง
การออกจากชุมชน
การออกจากชุมชนดูเหมือนจะเป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายแต่ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติงานชุมชนมักละเลยให้ความสำคัญหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่องานเสร็จก็ออกไปจากชุมชนโดยไม่มีเทคนิคที่เหมาะสมซึ่งในความเป็นจริงผู้ปฏิบัติงานจะต้องรักษาความสัมพันธ์เดิมกับชุมชนไว้ หลักการที่สำคัญของการออกจากชุมชนคือ ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการออกจากชุมชน กล่าวลาในที่ประชุมของหมู่บ้านจะทำให้การออกจากชุมชนมีความนุ่มนวล เหมาะสม ตามหลัก ไปลา มาไหว้ และสง่างาม
มีเครืื่องมือศึกษาชุมชนที่กำหนดให้นิสิตได้เลือกใช้เพิ่มเติมอีก ๗ ชิ้น ที่คิดค้นโดย นพ.โกมาตร จึงสเถียรทรัพย์ จะขอนำมาให้ศึกษาในบันทึกต่อไป (หรืออาจสืบค้นได้ทั่วไปไม่ยากเลย)
เอกสารอ้างอิง
โกมาตรจึงเสถียรทรัพย์และคณะ. (๒๕๔๕). วิถีชุมชน. กรมการพัฒนาชุมชน คู่มือการปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนสำหรับการพัฒนา หน้า ๘๑
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลเพื่อเข้าใจสภาวะและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน” คู่มือการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่องานพัฒนา. ขอนแก่น: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สัญญา สัญญาวิวัฒน์. (๒๕๒๕) การพัฒนาชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช
สุภางค์ จันทวานิช. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ.” ใน คู่มือการวิจัยเชิง กรุงเทพฯ: สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา