รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ๑-๒๕๖๑ (๔) "การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน"


การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม คือ หัวเรื่องที่นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามทุกคนต้องเรียน เรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เป็นกลไกหลักในการจัดการเรียนรู้เพื่อเป้าหมายการเรียนรู้ดังต่อไปนี้ 

ผลลัพธ์ทางการเรียนที่คาดหวัง (Learning Outcome, LO)

LO ในบทเรียนนี้กำหนดไว้เพียง ๒ ประการหลัก ได้แก่ 
  • นิสิตสามารถเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาชุมชนได้
  • นิสิตสามารถใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นในการเรียนรู้ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมได้ 
ผลลัพธ์การเรียนรู้โดยละเอียดกำหนดไว้ใน มคอ.๓ (ดาวน์โหลดได้ที่นี่) LO ทั้งสองข้อกำหนดไว้กว้างๆ โดยเน้นไปที่การเรียนรู้ร่วมกันและการใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนพื้นฐานเบื้องต้นในการเรียนรู้ชุมชนอย่างมีส่วนร่วมเท่านั้น  นิสิตที่จะสามารถศึกษาและบรรลุผลตามนี้ ควรจะมีความรู้และสมรรถนะ ดังต่อไปนี้ 
  • สามารถบอกได้ว่า "ชุมชน" คืออะไร และเนื่องจากชุมชนมีความหมายกว้างขวางมาก จึงเจาะจงลงไปที่ "ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน" 
  • สามารถยกตัวอย่าง "ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนได้"
  • สามารถบอกถึงปรัชญาและหลักการในการศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนได้  
  • สามารถบอกได้ว่า เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นที่จำเป็นมีอะไรบ้าง 
  • สามารถอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือศึกษาชุมชนเบื้องต้นที่จำเป็นได้ 
  • สามารถอภิปรายวิธีนำองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือศึกษาชุมชนไปใช้ได้ 
  • สามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจในการศึกษาชุมชนได้อย่างเหมาะสม 
  • สามารถประเมินความสำเร็จของการศึกษาพื่อพัฒนาชุมชนได้

เนื้อหา
(ถอดบทเรียนจากการบรรยายของอาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ประธานสาขาวิชาพัฒนาชุมชน

ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)


๑) ความหมายของชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน

“ชุมชน” มีความหมายที่หลากหลายมากแตกต่างไปตามสภาพของสังคม การดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะสังคมในยุคโลกาภวัตน์ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชิง การนิยามความหมายมาจากหลายศาสตร์ได้แก่ ภูมิศาสตร์  คือ มีอาณาเขตอาณาบริเวณ พื้นที่ สังคมวิทยา คือ ความสัมพันธ์ของคน วัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบแผนการดำเนินชีวิต มานุษยวิทยา คือ อุดมการณ์ จิตวิญญาณและเป้าหมายในการพัฒนาร่วมกัน และจิตวิทยา คือ การมีสำนึกร่วมกัน มีความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องกันเช่น

ศาสตราจารย์สัญญา วิวัฒน์ นักสังคมวิทยาอาวุโสของสังคมไทย ได้ให้ความหมายของชุมชนไว้ว่า "องค์การทางสังคมอย่างหนึ่งที่มีอาณาเขตครอบคลุมท้องถิ่นหนึ่งที่ปวงสมาชิกสามารถบรรลุถึงความต้องการพื้นฐานส่วนใหญ่และสามารถแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ในชุมชนของตนเองได้"

ศาตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสของสังคมไทย ได้ให้ความหมายว่า "การที่คนจำนวนหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันมีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความพยายามทำอะไรร่วมกันมีการรับรู้ร่วมกันซึ่งรวมถึงการติดต่อสื่อสารกัน”

รายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนเป็นรายวิชาที่จัดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างหลักสูตรทำให้ลักษณะของชุมชนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของสาขาหรือหลักสูตรแตกต่างกันมากดังนั้น ความหมายของชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนจึงควรกำหนดให้ครอบคลุมความหมายทั้งหมดที่กล่าวมา และมีความยืดหยุ่นเพื่อส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งผู้เรียนและชุมชนดังนี้

ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนหมายถึง กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันหรือกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกันหรือองค์กรทางสังคมที่มีการใช้กฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบร่วมกันที่สมาชิกมีปฏิสัมพันธ์กันหรือความสัมพันธ์กันหรือมีการรับรู้ร่วมกันมีการสื่อสารเพื่อทำอะไรร่วมกัน

ชุมชนในบริบทของรายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนจึงเป็นชุมชนที่แตกต่างหลากหลายไปตามธรรมชาติทางวิชาการของแต่ละหลักสูตร เช่นชุมชนเชิงพื้นที่ (กำหนดอาณาบริเวณ) เช่น หมู่บ้าน เทศบาล ฯลฯ ชุมชนที่เป็นกลุ่มคน(มีความสนใจเดียวกัน) เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้เลี้ยงปลา กลุ่มทำฟาร์มเห็ด สมาคมครูสอนสาระวิชาเดียวกัน ฯลฯ ชุมชนสถาบันทางสังคม เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัดฯลฯ ชุมชนนักปฏิบัติ (Coperative Community; CoP) หรือชุมชนทางวิชาชีพ(Professional Learning Community) เช่น ครู อาจารย์ช่างยนต์ มัคคุเทศก์ ฯลฯ หรืออาจเป็นชุมชนเชิงเศรษฐกิจซึ่งครอบคลุมถึงการซื้อขายออนไลน์ด้วย เช่น ตลาดนัด ตลาดนัดออนไลน์  ฯลฯ

๒) ความหมายของการพัฒนาชุมชน

คำว่า "พัฒนา" หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปยังอีกสภาพหนึ่งในทางที่ดีขึ้นการพัฒนาอาจแยกได้เป็น ๒ แบบ คือ การริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ เช่น การประดิษฐ์คิดค้นฯลฯ และการปรับปรุงพัฒนาสิ่งเดิมให้ดีขึ้นการพัฒนาต้องพิจารณาให้ครอบคลุมทั้งด้านวัตถุและจิตใจไปพร้อมๆ กัน


การพัฒนาชุมชนจึงหมายถึงการพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น ด้วยวิธีการ (Method) ขบวนการ (Movement)และกระบวนการ (Process) ที่กำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อให้ชุมชนส่วนรวมดีขึ้นโดยให้สมาชิกของชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ  จุดมุ่งหมายหลักของการพัฒนาชุมชน  ๓ ประการ ได้แก่ ชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนอยู่ดีมีสุข และชุมชนน่าอยู่

ชุมชนเข้มแข็ง หมายถึงคนมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ปัญหาของตนเองและชุมชนได้สมาชิกแต่ละคนนำความสามารถของตนเองออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์และที่สำคัญคือสมาชิกในชุมชนให้ความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน มีความสามัคคีกัน 

ชุมชนอยู่ดีมีสุข หมายถึง คนในชุมชนคุณภาพชีวิตที่ดีมีฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชนดีขึ้น ชุมชนน่าอยู่ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีผู้คนมีจิตใจดี เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจมีสิทธิและอิสรภาพตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


๓) กระบวนการพัฒนาชุมชน


กระบวนการพัฒนาชุมชนมีอย่างน้อย ๖ ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาชุมชน การวิเคราะห์ชุมชนจัดลำดับปัญหาและความต้องการของชุมชน การวางแผนพัฒนาในลักษณะโครงการ การดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนการประเมินผลความสำเร็จของโครงการ และการทบทวนปัญหาและอุปสรรค์


การศึกษาชุมชน คือการเข้าไปศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ของชุมชน ทั้งทางด้านกายภาพสังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ศึกษา 


วัตถุประสงค์ของการศึกษาชุมชนหลักๆ ที่สำคัญ ได้แก่ เพื่อหาข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ๒) เพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่หรือเพิ่มเติมองค์ความรู้เดิมเกี่ยวกับชุมชนเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และ ๓) เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอื่นๆ ตามความต้องการของผู้ศึกษา 


๔) วิธีการและเครื่องมืิอในการศึกษาชุมชน

(เรียบเรียงโดย ผศ.ดร.กนกพร รัตนสุธีระกุล ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)

การศึกษาชุมชนที่จะทำความเข้าใจบริบทของชุมชนทำเป็นต้องอาศัยการใช้เครื่องมือที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การศึกษาในมิติต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อและเที่ยงตรงโดยปกติแล้วกระบวนการศึกษาชุมชนจะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เป็นสภาพทั่วไปทุนของชุมชน ปัญหาและความต้องการของชุมชนเพื่อใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการนำทางไปสู่การวางแผนเพื่อพัฒนาชุมชนโดยมีเครื่องมือที่สำคัญๆ ๓ ประการ ได้แก่ การสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focusgroup) ดังมีรายละเอียดดังนี้


๔.๑) การสังเกต (Observation)

ความหมาย

การสังเกตคือ กระบวนการการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นหรือปรากฏการณ์โดยใช้ โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น หรือผิวกายสัมผัส อย่างเอาใจใส่อย่างมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ๆกับบริบทรอบข้าง วัตถุประสงค์หลักของการสังเกตคือการทำความเข้าใจลักษณะธรรมชาติและปรากฏการณ์ของชุมชนและพฤติกรรมของผู้คนในชุมชน

ประเภทของการสังเกต

โดยปกติแล้วการสังเกตมี 2 ประเภทได้แก่

     ๑) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation/Field observation) คือกระบวนการที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนหรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ทำการศึกษาทำกิจกรรมร่วมกันและทำให้คนในชุมชนยอมรับ

     ๒) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participan Observation) เป็นกระบวนการสังเกตที่ผู้สังเกตเฝ้าอยู่วงนอกไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มที่ทำการศึกษาเป็นเพียงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นเท่านั้นทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยเป็น ภายใต้การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมยังจำแนกออกเป็น

               ๒.๑) การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structure Observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่เป็นระบบผู้ศึกษาทราบถึงวัตถุประสงค์ของการสังเกตการณ์มีการเตรียมการสิ่งที่ต้องการสังเกตไว้ล่วงหน้า ข้อที่ต้องศึกษาและวิธีการวิเคราะห์ทำให้สามารถที่จะสังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ

               ๒.๒) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Observation) เป็นการสังเกตการณ์ที่ผู้ศึกษาได้เตรียมวัตถุประสงค์ของการสังเกตไว้ล่วงหน้าเนื่องจากการสังเกตแบบนี้เป็นการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงตามธรรมชาติตามปกติวิสัย และพฤติกรรมที่แสดงออกจึงเป็นไปตามเงื่อนไขของบุคคลนั้นผู้ศึกษาไม่อาจจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้


ข้อดีของการสังเกต

  • สามารถสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรมได้ทันที่ที่เกิดขึ้นทำให้สามารถจดบันทึก เรียบเรียงสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว
  • ได้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงตรงกับสภาวการณ์จริงของพฤติกรรมนั้นโดยปราศจากอคติ ความลำเอียง หรือตีความไปในประเด็นที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

ข้อจำกัดของการสังเกต

  • ไม่สามารถที่จะทำนายได้อย่างแน่ชัดว่าเหตุการณ์ๆหนึ่งจะเกิดตามธรรมชาติเมื่อใด จึงสังเกตการณ์ได้ทัน
  • มีสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิดมาก่อน
เทคนิคเบื้องต้นของการสังเกต

  • เทคนิคในการสังเกตมีหลากหลาย ไม่ตายตัวนิสิตอาจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายๆ วีธีในการสังเกต
  • สังเกตและจดบันทึกทุกอย่างที่มองเห็นในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
  • รอให้มีเหตุการณ์ ที่สะดุดตา สะดุดใจแล้วจึงเริ่มการสังเกตในประเด็นที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้สังเกต
  • สังเกตสิ่งที่เห็นว่าเป็นความขัดแย้งเป็นปัญหา เริ่มสังเกตจากสิ่งที่ชาวบ้านมองว่าเป็นปัญหา

ในขณะเดียวกันในการบันทึกข้อมูลที่สังเกตเห็นจะต้องรีบจดบันทึกสั้นๆเพื่อกันลืมแล้วขยายใจความทีหลัง อาจวาดภาพ แผนผังประกอบการบันทึกในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงด้วยว่าในขณะที่บันทึกผู้สังเกตจะต้องดูบรรยากาศเหตุการณ์ว่าอำนวยในการบันทึกหรือไม่

๔.๒) การสัมภาษณ์ (Interview)

ความหมายของการสัมภาษณ์ 

การสัมภาษณ์ คือการสนทนาซักถามอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องการข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จะช่วยอธิบายสิ่งที่พบเห็นหรือสังเกตได้ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างของคำถามและสามารถควบคุมทิศทางโครงสร้างของเนื้อหาให้เป็นเรื่องที่ต้องการทราบหรือปัญหาในการศึกษา(มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2540)โดยมีจุดสนใจของการสัมภาษณ์ คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎ ระเบียบหรือระบบความหมายที่เหตุการณ์หรือปรากฎการณ์สังคมหนึ่งๆ มีอยู่

องค์ประกอบของการสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์จะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทำหรือความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างผู้ถูก(ให้)สัมภาษณ์และผู้สัมภาษณ์  โดยหลักของการสัมภาษณ์ที่ดีควรต้องคำนึงทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ดังนี้
  • ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลที่แท้จริงในประเด็นที่ต้องการศึกษาซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์สามารถที่จะแสดงออกในการตอบคำถาม ตามความคิดเห็นของตนเอง
  • ผู้สัมภาษณ์อาจจะเป็นผู้ศึกษา และ หรือ บุคคลอื่นที่ผู้ศึกษาได้คัดเลือกให้เป็นผู้สัมภาษณ์ซึ่งต้องได้รับการฝึกฝนวิธีการสัมภาษณ์ในขณะเดียวกันผู้สัมภาษณ์จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะทำการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้สามารถซักถามผู้ให้สัมภาษณ์ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์

ประเภทของการสัมภาษณ์ 

การสัมภาษณ์สามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้๓ ประเภท ได้แก่
  • การสัมภาษณ์แบบเจาะจง (Focus GroupInterview) เป็นการสัมภาษณ์ที่เจาะจงหัวข้อเรื่องที่ต้องการข้อมูลเช่น การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่ง เช่นการบริหารกองทุนหมู่บ้าน
  • การสัมภาษณ์ที่ไม่กำหนดคำตอบล่วงหน้า (Non-DirectiveInterview)เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการ เช่นการสัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาต่อผู้ป่วย
  • การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-deptInterview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ซึ่งต้องการรายละเอียดมากที่สุดในเรื่องที่ผู้ศึกษาต้องการและผู้ศึกษาเองก็ต้องมีกระบวนการเตรียมข้อมูลเพื่อที่จะสัมภาษณ์เช่น การสัมภาษณ์ชีวประวัติบุคคล

แบ่งตามเทคนิคการสัมภาษณ์แบ่งได้ ๓ ประเภท ได้แก่

  • การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (StructuredInterview)เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ถามคำถามต่างๆที่มีไว้ในแบบสัมภาษณ์โดยไม่สามารถที่จะดัดแปลงเป็นคำถามอื่นๆได้เป็นการสร้างมาตรฐานเดียวกันกับการสัมภาษณ์บุคคลอื่นๆด้วยเช่นกัน
  •  การสัมภาษณ์อย่างไม่มีโครงสร้าง (UnstructuredInterview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีกรอบในคำถามของการสัมภาษณ์ที่แน่นอนชัดเจน เป็นเพียงแนวทางกว้างๆในการสัมภาษณ์ (Interview guide)ซึ่งสร้างขึ้นเป็นประด็นหรือหัวข้อในการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการโดยผู้สัมภาษณ์จะต้องกำหนดว่าต้องการสัมภาษณ์ในประเด็นอะไร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อคำถามได้อย่างเปิดกว้าง
  • การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structureInterview)เป็นการสัมภาษณ์ที่ประกอบด้วยคำถามต่างๆในแบบสอบถามแต่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนของคำตอบ

หลักการสัมภาษณ์

     การสัมภาษณ์เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือเที่ยงตรงจะต้องมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  • การแนะนำตัวเอง (Introduction)ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตัวเองเสียก่อนเพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ทราบและคุ้นเคยและจะต้องสังเกตในขณะเดียวกันว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์หรือไม่โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของระยะเวลาและสถานที่
  • หลักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (GoodRelationship) เป็นขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่จะต้องสร้างความคุ้นเคยมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้ให้สัมภาษณ์
  • การเข้าใจวัตถุประสงค์ (Objective) โดยผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์ของคำถามที่กำหนดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในการซักถามและควรจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้แก่ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกครั้งเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วม
  • การจดบันทึก (Take note) ในทุกกระบวนการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องเตรียมการจดบันทึกในขณะที่ทำการสัมภาษณ์การจดบันทึกเพื่อให้ได้คำตอบที่ได้โดยเป็นการบันทึกลงในแบบสัมภาษณ์ที่กำหนดไว้ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความตั้งใจ ในการเก็บประเด็นการสัมภาษณ์เพื่อให้ข้อมูลที่สมบูรณ์
  • เทคนิคที่สำคัญในระหว่างการสัมภาษณ์ประกอบไปด้วย
    • การสังเกตกริยา พฤติกรรมสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศรอบๆของผู้ให้สัมภาษณ์ 
    • การฟัง (listening) ผู้สัมภาษณ์จะต้องตั้งใจฟังยอมรับบทสนทนาของผู้ให้สัมภาษณ์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา 
    • การซักถาม (Questioning)ผู้สัมภาษณ์จะต้อมีทักษะในการรู้จักตั้งคำถามเพื่อให้เข้าใจง่ายและไม่ชี้นำในการตอบคำถาม 
    • การถามซ้ำ (probling)การถามซ้ำจะดำเนินในกรณีที่ต้องการกระตุ้นคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็นหรือเพื่อสร้างความชัดเจนในคำตอบ หรือเพื่อให้ได้ภาพรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง (channelprobe) หรือเพื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของผู้ให้สัมภาษณ์
  • การกล่าวขอบคุณเป็นกระบวนการสุดท้ายของการสัมภาษณ์ โดยเมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ผู้สัมภาษณ์จะต้องกล่าวขอบคุณแก่ผู้ให้สัมภาษณ์ ที่เสียสละเวลาในการให้สัมภาษณ์โดยปกติการสัมภาษณ์ที่ดีไม่ควรใช้เวลาเกิน ๑ ชั่วโมง การสัมภาษณ์ที่เหมาะสมควรอยู่ในระหว่าง ๓๐-๔๕ นาที
ข้อดีของการสัมภาษณ์
  • ผู้สัมภาษณ์เป็นการติดต่อโดยตรงระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ (two waycommunication) ซึ่งสามารถทำความเข้าใจในข้อมูลได้ตรงกันได้คำตอบที่ต้องการอย่างสมบูรณ์ และสามารถอธิบายข้อสงสัยต่างๆให้ผู้ตอบได้
  • สามารถเก็บข้อมูลได้กับกลุ่มเป้าหมายทุกระดับไม่ใช่เฉพาะผู้ที่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น
  • สามารถสังเกตบริบทสภาพแวดล้อมในระหว่างการสัมภาษณ์ได้
ข้อจำกัดของการสัมภาษณ์


  • ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผู้สัมภาษณ์ให้ความร่วมมือและผู้สัมภาษณ์มีเทคนิคและทักษะในการสัมภาษณ์และการตั้งคำถามเพื่อตอบให้ได้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
  • การสัมภาษณ์บางครั้งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทันทีของผู้ให้สัมภาษณ์อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้
  • สิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่ายและแรงงาน

๔.๓) เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus Group)

ความหมายของการสนทนากลุ่ม

การสนทนากลุ่มเป็นวิธีการศึกษาชุมชนที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาพรวม เช่น ทัศนคติความคิดเห็นซึ่งมักจะเริ่มจากการเลือกบุคคลที่มีคุณลักษณะทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน(Homogeneous group) มารวมกลุ่มเพื่อสนทนากันโดยจะมีผู้นำการสนทนา ที่เรียกว่า Moderator ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการนำประเด็นการสนทนาและมีทักษะในการควบคุมสถานการณ์ในการสนทนาได้เป็นอย่างดีโดยปกติแล้วการสนทนากลุ่มจะต้องเลือกสถานที่ที่มีบรรยากาศที่สงบปราศจากเสียงรบกวนหรือมีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวน


รูปแบบการสนทนากลุ่มจะเป็นการนั่งพูดคุยสนทนาระหว่างคนมากกว่า ๒ คน แต่ไม่เกิน ๑๒ คน หรือการเป็นพูดคุยกลุ่มเล็กโดยมีผู้ดำเนินการสนทนาและมีผู้คอยจดประเด็นการพูดคุยของสมาชกในกลุ่มชัดจูงให้ผู้ร่วมสนทนาให้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นที่ยกขึ้นมาเพื่อเปิดกว้างให้ผู้เข้าร่วมสนทนาร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นร่วมกัน และหาข้อสรุป

องค์ประกอบของการสนทนากลุ่ม

บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • ผู้ดำเนินการสนทนา (Moderator) ผู้ดำเนินการสนทนาจะต้องเป้นผู้ที่สื่อสารภาษาถิ่นได้ถูกต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรู้ ความเข้าใจต่อวัตถุประสงค์การศึกษาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะสามารถตั้งประเด็นการสนทนาได้
  • ผู้จดบันทึกการสนทนา (Notetaker) ทำหน้าที่ในการจดบันทึกตามประเด็นที่ผู้ร่วมสนทนาได้แสดงความคิดเห็นและเชื่อมโยงประเด็นเข้าสู่ข้อมูลที่ต้องการศึกษา
  • ผู้ช่วย (Assistant)ผู้ช่วยทำหน้าที่ช่วยเหลือในการประชุมการสนทนากลุ่มเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย
ขั้นตอนการสนทนากลุ่ม

ขั้นตอนในการสนทนากลุ่มประกอบด้วย

  • การเลือกบุคคลที่จะเข้าร่วมการสนทนากลุ่มจำนวน ๖-๑๒ คน
  • นำผู้เข้าร่วมกันสนทนามาพบกันที่จุดหมาย
  • ผู้ดำเนินการสนทนาแนะนำตัวเองอธิบายวัตถุประสงค์ของการสนทนา สร้างบรรยากาศความเป็นกันเองขอความยินยอมจากผู้เข้าร่วมสนทนาหากต้องการบันทึกเสียง
  • เริ่มการสนทนาตามแนวทางการสนทนาที่ได้ดำเนินการเตรียมประเด็นคำถามไว้
  • สรปุประเด็นเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการสนทนาซักถาม และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
  • กล่าวขอบคุณ
๕) เทคนิคการเรียนรู้ในชุมชน 

๕.๑) การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าพื้นที่ศึกษาชุมชน

ปรัชญาหรือกระบวนทัศน์ที่ถูกต้อง

ก่อนที่จะเข้าศึกษาชุมชน ผู้ปฏิบัติงานพัฒนาจะต้องมีฐานคิดสำคัญต่อการมองภาพของชุมชน๔ ประการ ดังนี้
  • ชุมชนไม่ใช่ภาชนะที่ว่างเปล่า การมองชุมชน“เปรียบเสมือนกับภาชนะว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลยจะเกิดการเข้าไปกำหนดทุกอย่าง โดยไม่ได้ดูว่าชุมชนมีศักยภาพหรือทุนทางสังคมอะไรอยู่บ้างทำให้ชุมชนต้องเป็นฝ่ายรอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ หรือองค์กรภายนอกที่จะนำความรู้ เทคโนโลยีอุปกรณ์ เครื่องมือ และระเบียบวิธีการจัดการต่างๆเข้าไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดในการพัฒนาชุมชน
  • ชุมชนไม่ได้อยู่แบบแยกส่วนในแต่ละมิติหากแต่ชุมชนคือองค์รวม และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งในมิติของประวัติศาสตร์โครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี  ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานไม่ควรมองชุมชนแบบขาดการเชื่อมโยงเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องแยกเป็นส่วนๆ โดยไม่มองปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลเชื่อมโยงถึงกัน
  • ชุมชนไม่ได้มีองค์กรเดียวเมื่อลงไปเกี่ยวข้องกับองค์กรชุมชน เรามักจะนึกถึงองค์กรผู้นำที่เป็นทางการอย่างเดียวเช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ใหญ่บ้าน (ผญ.บ.)กรรมการหมู่บ้าน (กม.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)ในขณะที่องค์กรหรือผู้นำธรรมชาติอื่นๆ นั้นเรามักไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ในวิถีชีวิตจริงของชาวบ้านมักมีกลุ่มที่รวมตัวกันเองตามธรรมชาติเช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ถือศีลอยู่ในวัดช่วงเข้าพรรษา กลุ่มคนเลี้ยงวัว กลุ่มแม่บ้านที่รวมตัวกันไปปลูกแตงในฤดูแล้งกลุ่มพ่อบ้านที่รวมตัวกันไปทำงานต่างถิ่น หรือแม้แต่คณะกรรมการผ้าป่า กลุ่มศรัทธาวัดหรือกลุ่มเล่นแชร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรชุมชนลักษณะหนึ่ง แต่เรามักไม่ได้ให้ความสนใจกับองค์กรที่ไม่เป็นทางการเหล่านี้ทำให้เราเห็นศักยภาพของชุมชนอย่างจำกัด (โกมาตร, ๒๕๕๐)
  • ชุมชนทุกชุมชนไม่เหมือนกันหมดหากนักพัฒนามีฐานมาจากความคิดที่ว่าหากแผนงานโครงการหนึ่งทำสำเร็จในที่หนึ่งก็สามารถขยายผลไปทำในที่อื่นๆ ได้ทั่วประเทศอาจจะไม่ใช่ข้อสรุป เพราะชุมชนแต่ละชุมชนมีบริบท สภาพแวดล้อมทุนทางสังคม ปัจจัย เงื่อนไข ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำงานพัฒนาชุมชน จะต้องให้ความสำคัญต่อการศึกษาชุมชนเพื่อนำไปสู่การวางแผนที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน(real need)

ทำความเข้าใจหลักการศึกษาชุมชน

หลักในการศึกษาชุมชนสำคัญๆ มีดังต่อไปนี้ 
  • คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของสมาชิกชุมชน โดยต้องคำนึงถึงเสมอว่าชุมชนมีความหลากหลายและอาจขัดแย้งได้
  • ควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการศึกษา ชุมชน/ท้องถิ่น ตนเองเพื่อพัฒนาจิตสำนึก ประเด็นปัญหา เช่น บุคคลประเภทใดและใครที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาพัฒนา
  • วิธีการศึกษา ได้แก่การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม ให้สมาชิกชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล สรุปข้อมูล ทำให้เกิดความตระหนักด้วยตนเองการลงไปชุมชนแล้ววิจัยเฉยๆ ไม่เห็นผล ต้องมีการปฏิบัติการด้วย
  • สิ่งที่ควรพิจารณาในการศึกษาชุมชนเพื่อการพัฒนาคือ ความไม่เท่าเทียมกันของศักยภาพของกลุ่มบุคคลต่างๆ ความตั้งใจ เวลา ความรู้ ความร่วมมือ ทรัพยากรอื่นๆ เช่น เงิน วัตถุวัฒนธรรม สถานที่ นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายของคนที่สนใจแต่ละกลุ่มสนใจงานพัฒนาไม่เหมือนกัน จุดมุ่งหมายต่างกัน
  • มองบริบทของชุมชน เช่นลักษณะสภาวะและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน บทบาทองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นปัญหาสำคัญของชุมชน ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมสำคัญของชุมชน

การเตรียมตัวเข้าชมุชน

ในกระบวนการเก็บข้อมูลชุมชน คำว่าสนาม หมายถึง พื้นที่ หรือ ปรากฏการณ์ทางสังคม ชุมชน ที่เราจะศึกษา สนาม อาจจะเป็นหมู่บ้านในชนบทชุมชนแออัดในเมืองดังนั้นการเตรียมตัวทำงานภาคสนามจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการปูพื้นฐานเพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของแต่ละชุมชนที่นักพัฒนาลงไปปฏิบัติงานต้องวางแผนการเข้าพื้นที่โดยคำนึงถึงความผสมกลมกลืนที่และดูเป็นธรรมชาติมากสุด  (สุภางค์ จันทวานิช, ๒๕๔๖) เช่น
  • การแต่งกายที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ 
  • การวางตัวที่เหมาะสม เช่นไม่ควรดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่ควรเกี่ยวพาราสีหญิงสาวในชุมชน ควรวางตัวให้เรียบร้อยเพื่อให้สอดคล้องกับแบบแผนประเพณีของแต่ละท้องถิ่น
  • การเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นในการปฏิบัติงานภาคสนามเช่น กล้องถ่ายภาพ เทปบันทึกเสียง
  • การใช้ภาษาที่เหมาะสม สุภาพ และเป็นกันเอง
  • การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นก่อนลงศึกษาภาคสนามเช่น การศึกษาค้นคว้าข้อมูลของชุมชนจากเอกสาร
การแนะนำตัว

การเข้าไปในชุมชนแม้จะไม่ใช่เรื่องยากแต่การเข้าไปแล้วจะนักพัฒนาจะเป็นที่ยอมรับเสมือนหนึ่งเป็นลูกหลานเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัย เทคนิคกระบวนการที่หลากหลาย และเทคนิคขั้นแรกที่สำคัญคือการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ (First impression) ดังนั้นเทคนิคการแนะนำตัวมีหลายวิธีการได้แก่

ให้คนที่" “ชุมชนรู้จักดีช่วยเป็นผู้แนะนำเข้าพื้นที่

  • แนะนำตนเองในบทบาทที"ชาวบ้านรู้จักได้ง่ายรู้จักเลือกบอกบทบาทที่คิดว่าชาวบ้านรู้จักได้ง่ายจะเหมาะสมกว่า เช่น แนะนำตนเองในบทบาทนิสิตซึ่งเป็นสถานภาพที่รู้จักกันโดยทั่ว ไปอยู่แล้วช่วยให้ชาวบ้านรู้ได้ถึงความเป็นลูกหลาน
  • อาจมีจดหมายนำส่งจากหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ที่ไปปฏิบัติงานในชุมชน
  • แนะนำตน ผ่านผู้นำชุมชน

สิ่งที่ควรตระหนักตามมาในการแนะนำตัวคือการชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าพื้นที่ และบอกระยะเวลาของการเข้าศึกษาชุมชน ตลอดจนอาจขอความอนุเคราะห์จากผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน

เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน

เทคนิคพื้นฐานของการเข้าพื้นที่ชุมชนคือ เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคแรกและเป็นเทคนิคที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนการสร้างความสัมพันธ์ ความศัรทธา และความไว้เนื้อเชื้อใจจากชุมชน มีเทคนิคดังนี้
  • สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ
  • แสดงความสงบเสงี่ยม
  • หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ทำให้อึดอัด
  • ไม่ทำตัวทัดเทียมผู้นำชุมชน
  • พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชน
  • ควรมีผู้เริ่มแนะนำที่ชาวบ้านยอมรับ
  • เมื่ออึดอัดอย่างท้อถอย
  • ถือว่าการทำงานในสนาม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องงาน
  • ต้องเข้าใจว่า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอาจต้องใช้เวลา
  • เป็นมิตรกับทุกคน
  • เคารพถึงความแตกต่างและหลากหลายภายในชุมชน
  • อย่าด่วนสรุปหรือตีความ
  • เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
  • ให้เด็กเป็นสื่อสานสัมพันธ์ชุมชน
  • เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
  • เที่ยวตลาดชุมชนเพื่อเห็นถึงหลากหลายสินค้า ผู้คน และเรื่องราวของชุมชน
  • ไปร่วมกิจกรรมกับวัดในชุมชน

การปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในชุมชน

ทุกคนที่จะเข้าพื้นที่ศึกษาชุมชนต้องเรียนรู้เพื่อการปรับตัวร่วมกับชุมชนให้ได้เช่น
  • คำนึงถึงค่านิยมของชุมชน
  • ระมัดระวัง ข้อห้าม หรือ สิ่งต้องห้ามในชุมชน
  • ตัวเป็นผู้เรียนรู้ ไม่ควรทำตัวเป็นผู้รู้
  • คงไว้ซึ่งความเป็นคนนอกชุมชน (out-sider)
  • เรียนรู้ภาษาถิ่น
  • เรียนรู้วัฒนธรรมการกินการอยู่
  • การดำรังชีวิตของชุมชน
  • เรียนรู้กิจกรรมชุมชนทุกครั้งที่มีโอกาส
  • เรียนรู้การใช้ชีวิตในชุมชน

ข้อพึงระวังในการเข้าพื้นที่ชุมชน

  • ควรรู้จักและคำนึงถึงกาลเทศะหรือความเหมาะสมของเวลาและสถานที่เช่น ควรรู้ว่าสถานที่ใดถ่ายภาพได้หรือไม่ได้ บริเวณใดที่เป็นที่ห้ามเข้า
  • การวางตัวที่เหมาะสมของเพศชายและเพศหญิงที่แสดงออกถึงความสนิทสนมมากเกินไปแต่ต้องคำนึงถึงบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ
  • ไม่ควรสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกับคนต่างเพศซึ่งอาจถูก
  • เข้าใจผิดไปในทางชู้สาวได้
  • การใช้คำพูดภาษาที่มีความแตกต่างวัฒนธรรม คำบางคำอาจใช้กันอย่างปกติในวัฒนธรรมหนึ่ง แต่อาจเป็นคำที่เป็นไปในทางลบของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง
  • การทำตัวเด่นเกินไปเป็นเรื่องที่ควรระวังให้มาก การเข้าชุมชนนั้นควรวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นนักศึกษา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่คุยโวโอ้อวดและทำตัวเด่นเกินจำเป็น
  • หากพบความขัดแย้งในพื้นที่จะต้องไม่เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้วางตัวเป็นกลาง

การออกจากชุมชน


การออกจากชุมชนดูเหมือนจะเป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายแต่ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติงานชุมชนมักละเลยให้ความสำคัญหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่องานเสร็จก็ออกไปจากชุมชนโดยไม่มีเทคนิคที่เหมาะสมซึ่งในความเป็นจริงผู้ปฏิบัติงานจะต้องรักษาความสัมพันธ์เดิมกับชุมชนไว้ หลักการที่สำคัญของการออกจากชุมชนคือ ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการออกจากชุมชน กล่าวลาในที่ประชุมของหมู่บ้านจะทำให้การออกจากชุมชนมีความนุ่มนวล เหมาะสม ตามหลัก ไปลา มาไหว้ และสง่างาม 


มีเครืื่องมือศึกษาชุมชนที่กำหนดให้นิสิตได้เลือกใช้เพิ่มเติมอีก ๗ ชิ้น ที่คิดค้นโดย นพ.โกมาตร จึงสเถียรทรัพย์  จะขอนำมาให้ศึกษาในบันทึกต่อไป (หรืออาจสืบค้นได้ทั่วไปไม่ยากเลย)

เอกสารอ้างอิง

โกมาตรจึงเสถียรทรัพย์และคณะ. (๒๕๔๕). วิถีชุมชน. กรมการพัฒนาชุมชน  คู่มือการปฏิบัติงานพัฒนาชุมชนสำหรับการพัฒนา  หน้า ๘๑

ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลเพื่อเข้าใจสภาวะและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน”  คู่มือการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่องานพัฒนา. ขอนแก่น: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น

สัญญา สัญญาวิวัฒน์. (๒๕๒๕) การพัฒนาชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช

สุภางค์ จันทวานิช. (๒๕๓๖) “วิธีการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ.” ใน คู่มือการวิจัยเชิง กรุงเทพฯ: สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา 

หมายเลขบันทึก: 653665เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2018 14:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กันยายน 2018 21:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท