วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561) ผมจัดเวทีพบปะกับแกนนำนิสิตเพียงไม่กี่คน หลักๆ แล้วคือกลุ่มแกนนำที่กำลังขับเคลื่อนกิจกรรม 2 กลุ่ม นั่นคือ เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) และกลุ่ม ๙ ต่อ Before After
ห้องที่ใช้ประชุม คือ ห้องนิทรรศการของกองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะอยากให้เป็นบรรยากาศของการพบปะพูดคุย-โสเหล่แบบไม่เป็นทางการ เป็นการนั่งพื้นเหมือน “คนบ้านเดียวกัน” กำลังนั่งคุยกัน
รวมถึงเจตนาให้เขาได้เห็นสื่อต่างๆ ในห้องนี้ เผื่อจะมีแรงบันดาลใจในการศึกษาเรื่องราวกิจกรรมนอกหลักสูตรและการใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมายให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
นอกจากนิสิตแกนนำจาก 2 กลุ่มข้างต้น ผมเชิญเจ้าหน้าที่กลุ่มงานกิจกรรมนิสิตเข้ามาร่วมพบปะด้วย แต่เน้นการเชื้อเชิญมากกว่าการ “สั่งการ” เพียงเพราะนั่นคือการพบปะหลังเวลาทำงาน (17.00 น.) อีกทั้งต้องการ “วัดใจ” คนทำงานไปในตัว ว่าใครจะเข้ามาพบปะในเวทีนี้ด้วย
สรุปว่า มีเพียงคุณสุริยะ สอนสุระ (หัวหน้างานกิจกรรมนิสิต) เท่านั้นที่ว่างและสะดวกเข้ามา –
หลักๆ ของวันนี้ มีเรื่องสำคัญเพียงสองเรื่องที่ต้องพูดคุย ประกอบด้วย
ทบทวนการเติบโตองค์กร : ทบทวนตัวเอง สื่อสารเพื่อนร่วมทีม
เบื้องต้น ผมพานิสิตและเจ้าหน้าที่ทบทวนกระบวนการเกิดของกลุ่มทำงานจิตอาสาในสังกัดกิจกรรมนอกหลักสูตร โดยเริ่มตั้งแต่การตั้งกลุ่มเฉพาะกิจขึ้นมาทำงานช่วยชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งกลุ่มแรกส่วนใหญ่เป็นผู้นำชมรมต่างๆ เน้นรับบริจาคสิ่งของ-เงินทอง เพื่อส่งมอบไปยังชุมชน รวมถึงผ่องถ่ายข้าวของไปยังองค์กรนิสิต เพื่อนำไปออกค่ายอาสาพัฒนาในรูปแบบต่างๆ
ส่วนกลุ่มที่สองมาจากกลุ่มที่ทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยพี่น้องชาวใต้ที่ประสบอุทกภัยและการเดินทางไปเป็นอาสาสมัครที่ท้องสนามหลวง เมื่อคราวที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต จนในที่สุดก็ผลิบานอย่างเป็นรูปธรรมในชื่อใหม่ว่า “เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม” (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อสังคม)
หรือกระทั่งกลุ่มล่าสุดที่แตกตัวออกมาทำงานจิตอาสาในชื่อ “๙ ต่อ Before After”
ผมใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการพูดถึงข้อเท็จจริงเพื่อให้เห็นวิวัฒนาการเหล่านี้ เพราะเชื่อว่า ก่อนการเดินทางครั้งใหม่ นิสิตกลุ่มนี้จำต้องรู้เรื่องราวของตนเองให้มากที่สุด จะได้รู้ว่าตนเองคือใคร มาจากที่ใด และจะทำอะไร – อะไรคือหมุดหมายของการขับเคลื่อนงาน
โดยเฉพาะการเจาะลึกลงสู่การทำงานของกลุ่ม ๙ ต่อ Before After ที่เป็น “น้องใหม่” ซึ่งมีพันธกิจของการงานที่ต้องแยกแยะว่างานไหนงานหลัก งานไหนงานรอง หรือในแต่ละเดือนต้องมีกิจกรรมของตนเองอย่างไรบ้าง พร้อมๆ กับการผูกโยงถึงเครือข่ายการทำงานกับองค์กรอื่นๆ เช่น ชมรมยุวกาชาด
ทั้งนี้ผมใช้การประชุมกึ่งกระบวนการไปในตัว ให้แต่ละคนแนะนำตัวเองสั้นๆ หรือเปิดเปลือยตัวเอง ทบทวนตัวเองไม่เกินหนึ่งนาที
แต่มิได้ให้บอกเล่าแบบวิชาการ เคร่งขรึม หากแต่เน้นย้ำ ให้บอกเล่าแบบไม่เป็นทางการ เหมือนการเล่าสู่กันฟัง และเน้นแบบสบายๆ ฮาๆ ...
เอาจริงๆ เลยนะ ผมเจตนาชัดเจนว่านี่คือกระบวนการให้แต่ละคนทบทวนตัวเองนั่นแหละ -
เป็นกระบวนการชำระตัวเอง ฝึกวิเคราะห์ตัวเอง ฝึกความคิดรวบยอดด้วยการนิยามความเป็นตัวเอง และฝึกการสื่อสารต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่กำลังร่วมชะตากรรมเป็น “ทีม” เดียวกัน
ใช่ครับ-จริงๆ ก็คือ “รู้เขา รู้เรา รู้ทีม”
หรือจะเรียกว่าเป็นกิจกรรม "รู้จักฉันรู้จักเธอ" ในอีกเวอร์ชั่นก็ว่าได้ และเป็นเวอร์ชั่นที่ยังยึดมั่นในแบบ "บันเทิงเริงปัญญา"
เช่นเดียวกับการต้องการวิเคราะห์ว่าแต่ละคนมีทักษะความสามารถใดๆ มีนิสัยอย่างไร จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไร ทำงานร่วมกันอย่างไร – จะต้องมอบหมายงานให้ตรงกับความสนใจและความสามารถของกันและกันอย่างไร นั่นเอง
ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก กล่าวคือ เป็นคนพูดน้อย แต่ทำงานจริงจัง ทุ่มเท หรือแม้แต่ส่วนหนึ่งก็บอกว่าตนเองเป็นคนอัธยาศัยดี มองโลกในแง่บวก ฯลฯ
บัตรคำ : ทบทวนชีวิตและการทำงาน
อีกหนึ่งกระบวนการที่ผมนำมาใช้ในการประชุมครั้งนี้ก็คือ “บัตรคำ”
บัตรคำที่ผมนำมาใช้ ผมได้รับความอนุเคราะห์และเมตตาจากผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งที่อยู่ไกลถึงกรุงเทพฯ ด้วยหมายใจว่าผมจะใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือของการพัฒนาตนเอง และพัฒนาคนในสาระบบของผมได้บ้าง –
บัตรคำที่ผมหยิบมาใช้ในวันนี้เป็นบัตรคำว่าด้วย “สำนวน สุภาษิต คำพังเผย” ในแบบไทยๆ ซึ่งผมให้ทุกคนทบทวนเรื่องราวการทำงานร่วมกันในหลายๆ กิจกรรมที่ผ่านมาว่า ...
ใช่ครับ-เน้นให้ทบทวนเรื่องราวกิจกรรมเสียก่อน จากนั้นก็ให้เลือกบัตรคำที่ตรงกับประเด็นคำถาม
ผมไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น ครั้นพอเลือกเสร็จก็ให้วิเคราะห์ภาพและสุภาษิตอีกครั้ง จากนั้นก็ให้แต่ละคนเล่าสู่กันฟัง เป็นการเล่าในแบบผ่อนคลายๆ เล่าโดยมิให้มีการซักถามใดๆ จะว่าสื่อสารทางเดียวก็ไม่ผิด
ในบรรดาบัตรคำที่แต่ละคนเลือกมานั้น มีหลายสำนวน เช่น
การเล่าของแต่ละคน หลักๆ คือให้แต่ละคนเล่าถึงสาเหตุของการเลือกบัตรคำนั้นๆ แต่ไม่บังคับว่าต้องเล่าหยั่งลึกลงถึงขนาดกรณีเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยง แต่ก็มีบางคนพยายามยกตัวอย่างในแบบกรายๆ ว่ามาจากเรื่องใด –กรณีใด
ครับ-เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะทำกระบวนการนี้ เพราะผมมองว่าเป็นการชวนแต่ละคนทบทวนพฤติกรรมการทำงานร่วมกันในองค์กรนั่นเอง เป็นการทบทวนและเปิดใจกรายๆ ในตัวเอง มิได้หยั่งลึกสู่การคลี่ปมและคลี่คลายร่วมกัน ส่วนหนึ่งเพราะผมเน้นกระบวนการภายในเวลาอันน้อยนิด เพื่อให้พวกเขาได้ทบทวนแล้วสื่อสารออกมา เสมือนการสำรวจข้อมูลกว้างๆ ไว้ก่อน มีเวลาค่อยกลับมายกระดับกระบวนการให้ลึกลงไป เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรร่วมกัน
หรือปล่อยให้พวกเขานำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับพฤติกรรมกันเอง ทั้งปรับส่วนบุคคลและการปรับแต่งในรูปของทีม
แต่ที่แน่ๆ กระบนการนี้ ผมเชื่อว่าเป็นการสะท้อนทัศนคติของแต่ละคน และการสะท้อนปมประเด็นการทำงานในองค์กรไปในตัวด้วยเช่นกัน
นี่คืออีกหนึ่งกระบวนการที่ผมนำมาใช้กับการ “ประชุม”
เป็นการประชุมในแบบกระบวนการ มิใช่นั่งบรรยาย โสเหล่แบบทางการ แต่เน้นการละลายพฤติกรรมทางความคิดร่วมกันไปในตัวแบบนุ่มๆ เนียนๆ โดยใช้การเล่าเรื่องและบัตรนำเป็นเครื่องมือ
ส่วนเรื่องประเด็นการพูดคุยนั้น – ไว้มีโอกาส ผมจะมาเล่าสู่กันฟังอีกรอบก็แล้วกัน นะครับ
หมายเหตุ
เขียน : อาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561
ภาพ : สุริยะ สอนสุระ/ธัญวรัตม์ มีชาติ
คุ้น ๆ นะครับ การ์ดชุดนี้ ;)…
ครับ อ.Wasawat Deemarnคุ้นๆ เหมือนเคยใช้ที่แม่ฮ่องสอนหรือเปล่าน้อ….เอ ว่าแต่ที่ทักมา ผมค้างบันทึกใดๆ หรือเปล่าครับ 555
มิมีครับ ผมต่างหากที่ค้างงานอยู่ 555
เก็บ ๆ ๆ ๆ เก็บกระบวนการไว้ในคลังกิจกรรม เลือกใช้ในเวลาจังหวะที่เหมาะสม
มิสงวนลิขสิทธิ์ ใช่ไหมคะ … รวบรัด ขอบคุณนะคะ ๕ ๕ ๕ ^_,^
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
ผมมีประเด็นต้องเขียนถึงกระบวนการที่แม่ฮ่องสอนอีกเรื่องสองเรื่องนะครับ รอสักครู่ ช่วงนี้วุ่นวนเหลือเกิน 555
สวัสดีครับ พี่หมอ ธิ
ผมพินิจพิเคราะห์แล้วว่าจะประชุมในเชิงกระบวนการครับ เน้นการสังเคราะห์ตนเองและทบทวนการทำงาน หรือการใช้ชีวิตร่วมกันของนิสิตกลุ่มแกนนำ เวลาที่มีในวันนั้นเล็ดเสร็จ 1 ชั่วโมง ผมใช้กระบวนการในราวๆ ครึ่งชั่วโมง ที่เหลือก็ประชุมหารือ มอบหลักการ และให้นิสิตได้โสเหล่กันต่อด้วยตนเองครับ