ครั้งหนึ่ง พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า หากมีนักบวชลัทธิอื่นมาถามถึงธรรมทั้งปวงด้วยคำถามเช่นนี้ๆ จะพึงตอบเขาว่าอย่างไร เนื้อความของคำถามและคำตอบที่ทรงสอนภิกษุ มีดังนี้
ภิกษุทั้งหลายถ้านักบวชลัทธิอื่นพึงถามเธออย่างนี้ว่า
“ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูลราก
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นแดนเกิด
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นสมุทัย (เครื่องก่อให้ตั้งขึ้น)
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นที่ประชุมลง
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นประมุข
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นอธิบดี
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นอันดับสูงสุด
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นแก่น
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นที่หยั่งลง
ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นที่สุดจบ”
ให้พวกเธอพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า
“ธรรมทั้งปวงมีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูลราก
ธรรมทั้งปวงมีมนสิการ (การกระทำไว้ในใจ) เป็นแดนเกิด
ธรรมทั้งปวงมีผัสสะ (การกระทบแห่งอายตนะ) เป็นสมุทัย (เครื่องก่อให้ตั้งขึ้น)
ธรรมทั้งปวงมีเวทนาเป็นที่ประชุมลง
ธรรมทั้งปวงมีสมาธิเป็นประมุข (หัวหน้า)
ธรรมทั้งปวงมีสติเป็นอธิบดี
ธรรมทั้งปวงมีปัญญาเป็นอันดับสูงสุด
ธรรมทั้งปวงมีวิมุตติเป็นแก่น
ธรรมทั้งปวงมีอมตะ (ความไม่ตาย) เป็นที่หยั่งลง
ธรรมทั้งปวงมีนิพพานเป็นที่สุดจบ”
นี้คือใจความอันลึกซึ้งของอริยสัจ ๔ อีกแง่มุมหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ ซึ่งนำมาจากหนังสืออริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย โดยท่านพุทธทาสฯ ท่านผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือเล่มดังกล่าว
ไม่มีความเห็น