i am that 56


56. เมื่อความรู้ตัวก่อเกิดขึ้น โลกก็เกิดขึ้น


ถาม  เมื่อคนธรรมดาตาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา?

ตอบ  ตามความเชื่อของเขา การตายเกิดขึ้น

ชีวิตก่อนการตายเป็นแค่จินตนาการ ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน

ความฝันดำเนินต่อไป

 

ถาม  แล้วท่านผู้บรรลุแล้ว (jnani )ล่ะ 

ตอบ  ท่านไม่ตาย เพราะท่านไม่เคยเกิดมา

 

ถาม  แต่ในสายตาของคนอื่นๆ ท่านเกิดมา

ตอบ  ตัวท่านเองไม่คิดเช่นนั้น ในตัวท่าน ท่านเป็นอิสระจากสรรพสิ่ง – ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและสิ่งที่เป็นนามธรรม

 

ถาม  แต่ถึงยังไงท่านก็ต้องรู้สภาวะของคนที่ตายไปแล้ว

อย่างน้อยที่สุดก็จากชาติก่อนๆของท่าน

ตอบ  ก่อนที่ฉันจะพบคุรุของฉัน ฉันรู้อะไรๆมากมาย

ตอนนี้ฉันไม่รู้อะไรเลย เพราะความรู้ทั้งหมดอยู่ในความฝันเท่านั้น และเป็นเรื่องไม่จริง

ฉันรู้จักตัวเอง และฉันไม่พบชีวิตหรือความตายภายในฉัน มีเพียงการมีอยู่เป็นอยู่ที่บริสุทธิ์ – ไม่ใช่เป็นนี่หรือเป็นนั่น แค่ เป็น

แต่ทันทีที่ใจ ดึงความทรงจำที่มันสะสมอยู่ออกมา และเริ่มจินตนาการ มันสร้างวัตถุ และเวลา และเหตุการณ์ออกมาจนเต็มที่ว่าง

ในเมื่อฉันไม่รู้แม้กระทั่งการเกิดในครั้งนี้ แล้วฉันจะรู้การเกิดในชาติที่แล้วได้อย่างไร

ใจนั่นแหละ ที่เคลื่อนไหว และเห็นทุกสิ่งเคลื่อนไหว และสร้างเวลาขึ้นมา พร้อมกับความกังวลเกี่ยวกับอดีตและอนาคต

จักรวาลทั้งหมด อยู่ในอ้อมอกของการรู้ตัว (maha tattva) ซึ่งเกิดมีขึ้นเมื่อมีการจัดเรียงลำดับและความกลมกลืนที่สมบูรณ์ (maha sattva)

คลื่นทั้งหมดอยู่ในมหาสมุทรฉันใด สรรพสิ่งทั้งรูปและนามก็อยู่ในการรู้ตัวฉันนั้น

ดังนั้น ความตระหนักรู้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายในมัน

จงขยายความตระหนักรู้ของเธอให้กว่างออกไปอีก ให้ลึกลงไปอีก แล้วการอำนวยพรทั้งหมดก็จะหลั่งไหลออกมา

เธอไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรเลย ทุกสิ่งจะเข้ามาหาเธออย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และไร้ความพยายามใดๆ

 

ประสาทสัมผัสทั้งห้า และหน้าที่สี่อย่างของใจ – ความทรงจำ ความคิด ความเข้าใจ และความเป็นตัวตน

ธาตุทั้งห้า – ดิน น้ำ ลม ไฟ และอีเทอร์

แง่มุมทั้งสองของการสรรค์สร้าง – สสารและจิตวิญญาณ

ทั้งหมดล้วนอยู่ภายในความตระหนักรู้

 

ถาม  แต่ท่านก็ต้องเชื่อในการเคยมีชีวิตอยู่ในภพชาติก่อน

ตอบ  คัมภีร์ทั้งหลายกล่าวไว้เช่นนั้น แต่ฉันไม่รู้เรื่องนั้นเลย

ฉันรู้จักตัวเองอย่างที่ฉันเป็น การเป็นอย่างที่ฉันปรากฏอยู่ในขณะนี้ หรือจะปรากฏขึ้นในอนาคต ไม่ได้อยู่ภายในประสบการณ์ของฉัน

มันไม่ใช่ว่าฉันจำไม่ได้

อันที่จริง มันไม่มีอะไรต้องจำ

การกลับมาเกิดใหม่ หมายรวมว่าต้องมีตัวตนที่กลับมาเกิด

มันไม่มีตัวตนที่กลับมาเกิดอีก

กลุ่มของความทรงจำและความหวัง ที่เรียกว่า “ฉัน” จินตนาการว่าตัวมันเองมีอยู่อย่างไม่สิ้นสุด และสร้างเวลาขึ้นมา เพื่อรองรับความเป็นนิรันดร์ปลอมๆนี้

ฉันแค่ เป็น ฉันจึงไม่ต้องการอดีตหรืออนาคต

ประสบการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นจากจินตนาการ

แต่ฉันไม่จินตนาการ ดังนั้นการเกิดและการตายจึงไม่เกิดขึ้นกับฉัน

มีเพียงผู้ที่คิดว่าตนเองเกิดมีขึ้นเท่านั้น ที่คิดว่าตนจะกลับมาเกิดอีก

เธอกล่าวหาว่าฉันเกิดมา – ฉันขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้

ทุกสิ่งล้วนมีอยู่ภายในความตระหนักรู้

ความตระหนักรู้ไม่ตายและไม่กลับมาเกิดใหม่

ตัวมันเองคือความจริงแท้ที่ไร้การเปลี่ยนแปลง

จักรวาลแห่งประสบการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นภายในร่างกาย และตายไปกับร่างกาย มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงภายในความตระหนักรู้

แต่ความตระหนักรู้ไม่รู้จักการเริ่มต้นหรือสิ้นสุด

ถ้าเธอคิดเรื่องนี้อย่างใส่ใจและใคร่ครวญเป็นเวลานานมากพอ เธอจะเริ่มมองเห็นแสงสว่างแห่งความตระหนักรู้ด้วยความใสสว่างทั้งหมดของมัน และโลกจะเลือนรางไปจากการเห็นของเธอ

มันเหมือนการมองดูธูปที่กำลังไหม้ ตอนแรกเธอมองเห็นก้านธูปกลุ่มควันก่อน เมื่อเธอสังเกตเป็นปลายที่ลุกแดง เธอตระหนักว่ามันมีพลังที่จะเผาภูเขาแห่งธูปทั้งหมด และทำให้กลุ่มควันขยายเต็มทั้งจักรวาล

ตัวตนที่แท้ตระหนักถึงตัวมันเองโดยไร้กาลเวลา โดยไม่หยุดยั้งความเป็นไปได้อันไร้สิ้นสุดของมัน

ก้านธูป เปรียบเหมือนร่างกาย และควันเปรียบเหมือนใจ

ตราบใดที่ใจยังวุ่นวายอยู่กับการบิดเบือนของมัน มันไม่สามารถรับรู้แหล่งกำเนิดของมันเอง

คุรุจะช่วยหันความสนใจของเธอไปที่ประกายไฟภายใน

โดยธรรมชาติ ใจจะหันมองออกไปภายนอกเสมอ มันมักจะแสวงหาแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่งในท่ามกลางสรรพสิ่ง

การถูกบอกให้หันมองเข้ามาภายในเพื่อค้นหาแหล่งกำเนิด คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่

ความตระหนักรู้จะเข้ามาแทนที่ความรู้ตัว

ภายในความรู้ตัวมี “ฉัน” ทำหน้าที่รู้ตัว

แต่ความตระหนักรู้นั้นไร้การแบ่งแยก ความตระหนักรู้จะตระหนักรู้ตัวมันเอง

สภาวะ “ฉันเป็น” คือความคิด ในขณะที่ความตระหนักรู้ไม่ใช่ความคิด

ไม่มีคำว่า “ฉันตระหนักรู้” ในความตระหนักรู้

ความรู้ตัว เป็นคุณลักษณะ แต่ความตระหนักรู้ไม่ใช่คุณลักษณะ

บุคคลอาจตระหนักรู้ว่ากำลังรู้ตัว แต่จะไม่สามารถรู้ตัวว่ากำลังตระหนักรู้

พระเจ้าคือจำนวนทั้งสิ้นของความรู้ตัว แต่ความตระหนักรู้นั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง – ทั้งที่มีอยู่และไม่มีอยู่

 

ถาม  ผมได้เริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับสภาพของบุคคลหลังการตาย

เมื่อร่างกายของเขาถูกทำลาย เกิดอะไรขึ้นกับความรู้ตัวของเขา

เขาจะนำเอาประสาทสัมผัสต่างๆ ทั้งการเห็น การได้ยิน ไปด้วยหรือเปล่า หรือเขาทิ้งมันไว้ข้างหลัง

และถ้าเขาสูญเสียประสาทสัมผัส จะเกิดอะไรขึ้นกับความรู้ตัวของเขา

ตอบ  ประสาทสัมผัสเป็นแค่รูปแบบการรับรู้

เมื่อความรู้ตัวที่หยาบกว่าสิ้นสุดลง ความรู้ตัวที่ละเอียดกว่าจะเกิดมีขึ้น

 

ถาม  ภายหลังความตาย จะไม่มีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นความตระหนักรู้หรอกหรือ

ตอบ  การเปลี่ยนผ่านจากความรู้ตัวไปเป็นความตระหนักรู้นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะความตระหนักรู้ไม่ใช่รูปแบบของความรู้ตัว

ความรู้ตัวจะสามารถเพียงแค่ละเอียดมากขึ้นและถูกขัดเกลามากขึ้น และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตาย

เมื่อพาหนะต่างๆของบุคคลตายไป โหมดของความรู้ตัวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นโดยรูปแบบเหล่านั้นก็จางหายไปเช่นกัน

 

ถาม  จางหายไปจนเหลือแต่ความไม่รู้ตัว อย่างนั้นหรือเปล่า

ตอบ  ดูเธอสิ พูดถึงความไม่รู้ตัวในลักษณะว่ามันเป็นสิ่งที่มาแล้วไป

ใครล่ะที่อยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะรู้ตัวถึงความไม่รู้ตัว

ตราบใดที่หน้าต่างเปิดอยู่ ภายในห้องย่อมมีแสงสว่าง

ถ้าหน้าต่างถูกปิด ดวงอาทิตย์ยังมีอยู่ แต่มันจะมองเห็นความมืดภายในห้องหรือเปล่า

ในดวงอาทิตย์มีสิ่งที่เรียกว่าความมืดหรือ

สิ่งที่เรียกว่า ความไม่รู้ตัว นั้น ไม่มีหรอก

เพราะความไม่รู้ตัวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้

เราอนุมานความไม่รู้ตัว เมื่อมีช่วงว่างขึ้นภายในความทรงจำหรือการสื่อสาร

ถ้าฉันหยุดโต้ตอบ เธอจะบอกว่าฉันไม่รู้ตัว

ในความเป็นจริง ฉันอาจรู้ตัวอย่างยิ่ง เพียงแต่ไม่สามารถสื่อสารหรือจดจำได้

 

ถาม  ผมขอถามคำถามง่ายๆ ประชากรโลกมีประมาณสี่พันล้านคน และทุกคนต้องตาย

ภายหลังการตาย พวกเขาจะเป็นอย่างไร – ไม่ใช่ทางกาย แต่เป็นทางจิตใจ

ความรู้ตัวของเขาจะมีอยู่ต่อเนื่องหรือเปล่า

และถ้ามันมีอยู่ จะอยู่ในรูปแบบใด

อย่าบอกว่า ผมถามคำถามที่ไม่ถูกต้อง หรือบอกว่าท่านไม่รู้คำตอบ หรือบอกว่าในโลกของท่าน คำถามของผมไม่มีความหมาย

เวลาท่านพูดว่าโลกของท่านแตกต่างจากโลกของผม และเทียบกันไม่ได้ ท่านได้สร้างกำแพงระหว่างเรา

เราควรต้องอยู่ในโลกเดียวกัน ไม่เช่นนั้น ประสบการณ์ของท่านก็ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเรา

ตอบ  แน่นอนว่าเราอยู่ในโลกเดียวกัน เพียงแต่ฉันเห็นมันอย่างที่มันเป็น แต่เธอไม่

เธอเห็นตัวเองอยู่ในโลก แต่ฉันเห็นโลกอยู่ในตัวฉัน

สำหรับเธอ เธอมีการเกิดและตาย แต่สำหรับฉัน มีเพียงแค่การเกิดขึ้นและดับไปของโลก

โลกของเรานั้นจริง แต่มุมมองที่เธอมีต่อโลกนั้นไม่จริง

ระหว่างเราไม่มีกำแพงกั้น ยกเว้นกำแพงที่เธอสร้างขึ้น

มันไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับประสาทสัมผัส จินตนาการของเธอต่างหากที่ทำให้เธอหลงทาง

จินตนาการนั้นปิดกั้นโลกอย่างที่มันเป็น ด้วยสิ่งที่เธอจินตนาการเอาเอง – ว่าโลกเป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่โดยไม่ขึ้นกับเธอ แต่ก็เป็นไปอย่างใกล้ชิดตามรูปแบบที่เธอได้รับหรือสืบทอดมา

มันมีความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งในทัศนคติของเธอ ซึ่งเธอไม่เห็น และทำให้เกิดความโศกเศร้า

เธอยึดเกาะอยู่กับแนวคิดว่าเธอเกิดมีขึ้นในโลกแห่งความเจ็บปวดและความโศกเศร้า

แต่ฉันรู้ว่าโลกคือบุตรแห่งความรัก มีจุดเริ่มต้น เติบโต และบรรลุเป้าหมาย ภายในความรัก

แต่ฉันก็อยู่เหนือแม้แต่ความรักนั้น

 

ถาม  ท่านบอกว่าโลกถูกสร้างขึ้นจากความรัก ทำไมมันจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ตอบ  เธอพูดถูก – ถ้ามองจากมุมมองของร่างกาย

แต่เธอไม่ใช่ร่างกาย

เธอคือความไม่มีขอบเขตและความไม่สิ้นสุดของความรู้ตัว

อย่าตั้งสมมติฐานจากสิ่งที่ไม่จริง แล้วเธอจะเห็นสรรพสิ่งอย่างที่ฉันเห็น

ความเจ็บปวดและความเพลิดเพลิน ดีและชั่ว ถูกและผิด เหล่านี้เป็นคำที่ใช้ในเชิงสัมพัทธ์ และต้องไม่ถือเอาเป็นสิ่งแน่นอน

มันเป็นของที่มีขีดจำกัด และเป็นของชั่วคราว

 

ถาม  ในธรรมเนียมของชาวพุทธ มีผู้กล่าวว่า นิพพาน (Nirvani) หรือพุทธะผู้ตรัสรู้ มีอิสระของจักรวาล

พระองค์สามารถรู้และมีประสบการณ์ด้วยพระองค์เอง ถึงทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่

พระองค์สามารถบังคับ แทรกแซง ธรรมชาติ ด้วยสายโซ่ปฏิจจสมุปบาท เปลี่ยนแปลงลำดับของเหตุการณ์ และแม้กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตได้

โลกยังคงอยู่กับพระองค์ แต่พระองค์เป็นอิสระจากโลก

ตอบ  สิ่งที่เธอพูดถึงคือพระเจ้า

แน่นอน เมื่อมีจักรวาล ก็ต้องมีของคู่กัน ซึ่งก็คือพระเจ้า

แต่ฉันอยู่เหนือจากทั้งสองอย่างนั้น

มีอาณาจักร ที่แสวงหากษัตริย์

พวกเขาพบชายที่เหมาะสม และแต่งตั้งให้เขาเป็นกษัตริย์

นั่นไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป

เขาแค่ได้รับยศศักดิ์ ได้สิทธิ และอำนาจหน้าที่ของกษัตริย์

เหล่านี้ไม่มีผลต่อธรรมชาติแท้จริงของเขา แค่กิจกรรมของเขาเท่านั้นที่เปลี่ยน

ในทำนองเดียวกันกับบุคคลที่บรรลุธรรม เนื้อหาของความรู้ตัวของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง

แต่เขาจะไม่หลงทาง เพราะเขาได้รู้จักแล้วซึ่งสิ่งที่ไร้การเปลี่ยนแปลง

 

ถาม  สิ่งไร้การเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถมีความรู้ตัว

ความรู้ตัว มีการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วยเสมอ

สิ่งไร้การเปลี่ยนแปลง จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในความรู้ตัว

ตอบ  ใช่และไม่ใช่ กระดาษไม่ได้เขียน แต่มันรองรับการเขียน

หมึกไม่ใช่ข่าวสาร ใจของผู้อ่านก็ไม่ใช่ข่าวสาร – แต่ทั้งสองอย่างรวมกันทำให้ข่าวสารเกิดขึ้นได้

 

ถาม  ความรู้ตัว เกิดขึ้นจากความจริงแท้ หรือมันเป็นแค่คุณลักษณะของสสาร

ตอบ  ความรู้ตัว เป็นของละเอียดอ่อนที่คู่กันกับสสาร

ความเฉื่อย (tamas) และพลังงาน (rajas) เป็นคุณลักษณะของสสาร

ความกลมกลืน (sattva) แสดงตัวเองออกมาในรูปของความรู้ตัว

เธออาจมองได้ว่ามันเป็นรูปแบบของพลังงานละเอียด

ที่ใดที่สสารจัดระเบียบตัวมันเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่เสถียร ความรู้ตัวก็จะเกิดขึ้นโดยทันที

เมื่อสิ่งมีชีวิตถูกทำลาย ความรู้ตัวก็สลายไป

 

ถาม  จากนั้น อะไรที่เหลือรอดอยู่ได้

ตอบ  สิ่งที่เหลืออยู่ คือสิ่งหนึ่งซึ่งสสารและความรู้ตัวเป็นแค่แง่มุมหนึ่งของมัน สิ่งหนึ่งซึ่งไม่เกิดและไม่ตาย

 

ถาม  ถ้าสิ่งนั้นอยู่เหนือสสารและความรู้ตัว แล้วจะรู้ถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร

ตอบ  เรารู้ถึงสิ่งนั้นโดยผลกระทบของมันที่มีต่อสสารและความรู้ตัว จงมองหามันในความงามและในความสุข

แต่เธอจะไม่สามารถเข้าใจร่างกายและความรู้ตัว ถ้าเธอไม่ไปให้เหนือทั้งสองอย่างนี้

 

ถาม  กรุณาบอกเราอย่างตรงไปตรงมา ท่านรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว

ตอบ  ผู้บรรลุธรรม (jnani) จะอยู่เหนือความรู้ตัวและไม่รู้ตัว

แต่ในสภาวะบรรลุธรรมของท่าน (jnana) ทุกสิ่งอยู่ภายในนั้น

ความตระหนักรู้เป็นที่บรรจุของทุกประสบการณ์

ท่านผู้ตระหนักรู้ จะอยู่เหนือทุกประสบการณ์

ท่านอยู่เหนือความตระหนักรู้ด้วยซ้ำไป

 

ถาม  มันมีพื้นหลังของประสบการณ์ เราเรียกมันว่า สสาร

และมีผู้มีประสบการณ์ เรียกว่า ใจ

อะไรคือสะพานเชื่อมโยงของสสารและใจ

ตอบ  ช่องว่างระหว่างสสารและใจนั้นแหละ คือสะพาน

สิ่งหนึ่งซึ่งที่ปลายด้านหนึ่ง มองดูเหมือนสสาร และที่ปลายอีกด้านหนึ่ง มองดูเหมือนใจ สิ่งนั้นแหละคือสะพาน

อย่าแบ่งแยกความจริงแท้ออกเป็นใจและกาย แล้วเธอจะไม่จำเป็นต้องมีสะพาน

เมื่อความรู้ตัวเกิดขึ้น โลกก็เกิดขึ้น

เมื่อเธอพิจารณาถึงปัญญาและความงามของโลก เธอเรียกมันว่า พระเจ้า

จงทำความรู้จักแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง ซึ่งมีอยู่ภายในตัวเธอ แล้วเธอจะพบคำตอบของทุกคำถาม

 

ถาม  ผู้เห็นและสิ่งถูกเห็น เป็นหนึ่งสิ่งหรือสองสิ่ง

ตอบ  มันมีเพียงการเห็น ทั้งผู้เห็นและสิ่งถูกเห็น ถูกบรรจุอยู่ในการเห็น

อย่าสร้างความแบ่งแยก ในเมื่อมันไม่มีความแบ่งแยก

 

ถาม  ผมเริ่มคำถามเกี่ยวกับคนที่ตายไป

ท่านบอกว่าประสบการณ์ของเขาจะก่อรูปร่างขึ้นมาตามความคาดหวังและความเชื่อของเขา

ตอบ  ก่อนที่เธอจะเกิดขึ้นมา เธอคาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ตามแผน ซึ่งเธอเองเป็นผู้วางไว้

เจตจำนงของเธอนั่นแหละ คือแก่นกลางของชะตาชีวิตของเธอ

 

ถาม  แน่นอน กรรม (karma) เข้ามาแทรกแซง

ตอบ  กรรม (karma) สร้างสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมา แต่ทัศนคติ คือสิ่งที่เป็นของเธอ

ในท้ายที่สุด บุคลิกลักษณะของเธอจะสร้างรูปแบบชีวิตของเธอ และเธอเท่านั้นที่สามารถสร้างรูปแบบของบุคลิกลักษณะ

 

ถาม  เราจะสร้างรูปแบบบุคลิกลักษณะของเราได้อย่างไร

ตอบ  โดยการมองเห็นมันอย่างที่มันเป็น และด้วยการแสดงความเสียใจอย่างจริงใจ

การเห็นและการรู้สึกที่ประสานกันนี้ จะทำให้เกิดสิ่งมห้ศจรรย์

มันเหมือนการหล่อรูปด้วยทองบรอนซ์ โลหะเพียงอย่างเดียว หรือไฟเพียงอย่างเดียว จะทำไม่ได้ แบบที่ใช้หล่อ ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน

เธอต้องหลอมโลหะด้วยความร้อนของไฟและขึ้นรูปมันในแบบที่ใช้หล่อ

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

 

 

หมายเลขบันทึก: 647049เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2018 18:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2018 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท