Dong hoi ตอนที่ 2 Bong lai village ถ้ำฟองญา และ mural village


แม้จะเป็นทริปสั้นๆ แต่ความสนุกและความประทับใจ ยังคงอยู่มิรู้เลือน ลองเปลี่ยนเป็นเที่ยวธรรมชาติบ้าง เพราะโลกยังคงเป็นที่ที่อบอุ่น โดยเฉพาะที่นี่ Dong hoi...

Dong hoi Trip 13-16 Apr 2018 

เคยไปไหม ดองฮอย... ตอนที่ 2

ตื่นกันแต่เช้าวันนี้ มากิน breakfast ที่บ้านพักจัดไว้ให้ พร้อมกับกาแฟเวียดนามต้นตำรับ  และวิวริมแม่น้ำยามเช้าที่มีฝนพรำๆ

อิ่มกันแล้วก็ check out เพราะที่นี่เค้าให้เรา check out ก่อน 9 โมงเช้า เอากระเป๋าออกมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์  พอมอไซค์ 2 คันที่เช่าไว้มาพร้อมก็ห้อปุเลงกันออกมา  อ้อ ลืมรายงานสภาพอากาศ ฝนตกเจ้าค่ะ ตกแบบปรอยๆ ไม่ได้ตกโครมๆ เหมือนบ้านเรา ประมาณสถานการณ์กันแล้วสามารถที่จะไปได้ มอไซค์ 2 คัน กับ 4 คน ก็ฝ่าสายฝนออกมากัน แต่ว่า ต้องเติมน้ำมันกันก่อนน่ะสิ  ขับไปตามทางตาก็มองหาปั๊ม นั่นไง เจอปั๊มหลอด ก็เลยวกเข้าไปขอเติมน้ำมัน ถามเด็กปั๊มว่า ไป Bon lai valley นี่เติม 5000 ดอง พอไหม น้องบอก ไม่พอ ต้องเติมประมาณ 7500 ดอง ถึงจะพอ รวม 2 คันก็จัดไป 15000 ดอง

ตอนแรกก็เป็นถนนลาดยางอยู่ดีๆ ต่อมาเริ่มมีดินแดงแฉะๆ และในที่สุดก็กลายเป็นถนนลูกรังเต็มรูปแบบ คือ เรา 2 คัน ขับตามกันมาเรื่อยๆ เหมือนมอไซค์วิบากยังไงยังงั้นเลย ถนนลูกรังที่โดนฝนเล็กน้อย มันก็จะลื่นหน่อย ยางรถก็จะปะแล็ดไปมา จะล้มซะก็หลายครา แต่สุดท้ายก็ประคับประคองกันไปได้เรื่อยๆ

ระหว่างทางเจอกับฟาร์มเป็ด เราก็เลยจอดรถหน้าฟาร์ม แล้วก็มี 2 คนนี้โผล่ออกมา เสมือนเป็นคนเฝ้าฟาร์ม

แต่พวกเราก็ไม่ได้เข้าไป  ถ่ายรูปอยู่แต่ด้านนอก  

เห็นชาวเวียดนามแซวคุณคนนี้แล้วก็ขำดี 

ลุยกันต่อ ขับไปตามทางเรื่อยๆ ตาม Google map ไป อยากจะถอดใจกลับหลังหันก็หลายครา แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ต้องไปให้ถึงจุดหมายสิน่า

และแล้วก็มาถึง สะพานแขวนอันนี้ ที่เราเห็นจาก google picture ว่าเป็น land mark ของหมู่บ้าน Bong lai แสดงว่าไม่ผิดทางแน่แล้ว แวะเลยที่เชิงสะพาน

คือสวยและแปลกมาก  โบราณดี ตอนแรกก็เดินเล่นข้ามสะพานกันก่อน รถจอดทิ้งไว้  จากนั้นก็ไปขับเอารถมอไซค์ข้ามมา  ขับชมหมู่บ้านกันก่อน  ความเป็นอยู่ที่นี่ก็ดูสงบมาก เด็กๆ ก็มาทักทายนักท่องเที่ยว ดูเป็นมิตรจริงๆ มีโบสถ์เล็กๆ ไม่ได้เข้าไปข้างใน


วนอยู่ในหมู่บ้านแล้วก็กลับออกมาทางเดิม ข้ามสะพานแขวนอีกครา จากนั้นเราขับกันต่อเพื่อไปยัง Bong lai farm stay ซึ่งไกลออกไปอีก  

ขับไปเรื่อยๆ ตาม Google map จนมาถึงทางเข้าที่ไม่มีใครอยู่แล้ว พวกเราก็ทำการเดินลงไปเปิดรั้ว แล้วขับตามทางเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะมีร้านอาหาร วิวหลักล้านอยู่ สวยจริงๆ อ้อ ฝนยังคงตกพรำๆ ฮำหัวเราอยู่

ว่าแล้วก็สั่งกาแฟมากิน กาแฟร้อนๆ ขมๆ เวียดนามแต้ๆ ราคาแก้วละ 20000 ดอง อยู่ชมวิวสักพักก็ชวนกันกลับเพราะทัวร์นัดมารับพวกเราจากที่พัก 12.30 น. ว่าแล้วก็จ่ายเงินแล้วก็ขับออกมาทางเดิม เปิดประตูรั้วเอง แล้วก็ปิดให้เค้าด้วย

ขับกลับด้วยเส้นทางเดิม แต่รู้สึกว่า ขากลับนี่จะไวมาก แป้ปเดียวก็ถึงปากทางละ ระหว่างทางกลับ พวกเราแวะถ่ายรูปกับป้ายนี้ซะหน่อย เป็น land mark ที่ใครๆ เขาก็มาถ่ายกันค่ะ

ถึงเวลาตามนัดทัวร์ก็มาถึง ทัวร์เพิ่งไปรับฝรั่งกลุ่มนึงมาจากสนามบิน เค้าเล่าว่า กลุ่มของเค้าบินมาจากชิคาโก นั่งเครื่องมายาวนานมาก และจะมาเที่ยวเวียดนามประมาณ 10 วัน และกลุ่มนี้ก็ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับเรา หลังจากินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทัวร์ก็พาไปขึ้นเรือเพื่อไปยังถ้ำฟองญา  ซึ่งท่าเรือก็อยู่ตรงที่เรากินอาหารกลางวันนั่นเแหละ

เข้าไปนั่งด้านใน สวมเสื้อชูชีพให้เรียบร้อย เป็นเรือที่แล่นโดยเครื่องยนต์

เรือก็จะแล่นผ่านด้านหลังที่พักของเรานั่นเอง  แม่น้ำซัน (Son River) ฝนตกปรอยๆ ได้บรรยากาศยิ่งนัก ตรงนี้เป็นที่พักของเราเมื่อคืน

ริมฝั่งก็จะมีความเป็นธรรมชาติสุดๆ 

เรืออหาปลาก็ออกมากัน เป็นมุมนึงของวิธีชีวิตของคนที่นี่

เรือแล่นด้วยเครื่องยนต์ไปประมาณ 45 นาที ก็ถึงถ้ำฟองญา  พอถึงบริเวณทางเข้าถ้ำ ซึ่งเป็น ถ้าที่มีน้ำไหลผ่านหรือ River cave เรือก็ดับเครื่องยนต์ และทำการยกหลังคาเรือออก เพื่อให้ผู้โดยสารได้มองผ่านหลังคาขึ้นไปชมความงามของถ้ำได้ และเปลียนเป็นการพายเรือด้วยคนแทนเครื่องยนต์  บรรยากาศก็จะมีเสียงพายกระทบน้ำ  

เรือแล่นผ่านไปเรื่อยๆ มีหินงอกหินย้อยตระการตาเช่นเคย  

จนกระทั่งเรือเลี้ยวกลับ ไกด์บอกว่า หากเราต้องการที่จะสำรวจถ้ำต่อก็จะมีทัวร์ที่รับไปอีกทอดแต่เราต้องจองมาก่อน โดยทั่วไปก็จะชมถ้ำแค่ประมาณนี้  ก็พอได้ไอเดียแล้ว  จากนั้นเรือก็จะเอามาจอดที่ท่าและให้ลงเดินในบริเวณที่สามารถเดินได้  บรรยากาศในถ้ำก็คล้ายๆ กันกับ Paradise cave  

เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เจอฝรั่งกลุ่มที่กินข้าวด้วยกัน ก็ช่วยกันถ่ายรูปให้

ตรงนี้เป็นปากถ้ำ ที่เราเข้ามาตอนแรก

จนใกล้เวลานัดเราพากันเดินก็กลับมายังจุดนัดพบ  เพื่อขึ้นเรือกลับไปยังที่เดิม  

หันมาดูปากถ้ำอีกที ไม่น่าเชื่อเลยเราเข้าไปด้านในมาแล้ว

ขากลับเรือก็จะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีในการแล่นกับเช่นเคย ฝนยังคงตกพรำๆ ปรอยๆ เรือมาส่งถึงท่าที่เราขึ้นมา การนั่งเรือล่องแม่น้ำซัน ท่ามกลางสายฝน คงเป็นอะไรที่เราจดจำบรรยากาศนี้ไปอีกนาน  

จากที่นี่ ทัวร์ก็มาส่งเราในเมือง Dong hoi ที่พักที่เดิมก็คือ The Paddy Shack  พวกเรากลับมาพักที่เดิมเนื่องจากว่า หลังจากจองที่พักที่ Bao Ninh Resort แล้ว พอว่างมาอ่านรีวิว ซึ่งทำหลังจากจองเพียงไม่กี่วัน เจอว่า ที่พักไกลไปหน่อย และดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนมาพัก คือ รีวิวไม่ค่อยดีว่างั้นเถอะ  ก็เลยติดต่อไปทาง booking ว่าเราจะ cancel ที่พักนี้ได้ไหม จะต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่ในการยกเลิกการจอง  ซึ่ง booking  ก็ตอบกลับมาว่า ไม่คิดค่าธรรมเนียมในการยกเลิก  จึงได้ทำการ Cancel booking นั้น เราก็เลยกลับมาพักที่ The Paddy Shack ด้วยความสบายใจ  แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่า ในวันที่ 14 เมษายน บัตรเครดิตของเราถูกเรียกเก็บเงินจาก Bao Ninh Resort จำนวน 948 บาท หรือ 105000 VND ซึ่งเรางงมากว่า ทำไมจึงมีการเรียกเก็บ เพราะเรายกเลิกการจองไปแล้ว  และขณะนี้ก็กำลังประสานงานกับทาง booking เพื่อขอเงินจำนวนดังกล่าวคืน คงมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น เพราะเราจอง 2 ห้อง และได้ยกเลิกการจองไปแล้ว แต่มีการเรียกเก็บเงินเรา 1 ห้อง และขณะนี้ ทาง booking.com กำลังประสานงานกับทางโรงแรมให้อยู่ ต่อไปคงต้องรัดกุมรอบคอบมากขึ้นในการจองห้องแต่ละที่ เป็นบทเรียนจริงๆ

พวกเรามาถึง The Paddy Shack ก็เย็นย่ำแล้ว  จากการประสานงานล่วงหน้ากับคุณดวง เค้าส่งข้อความมาบอกว่า เค้าเปิดบ้านไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว  และจะมารับไปกินอาหารเย็นประมาณ 18.30 น. พวกเราก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวรอ  ดวงมาถึงตามนัดพร้อมกับแท็กซี่ และพาเราไปกินอาหารที่ร้านริมหาดเช่นเคย แต่เป็นร้านใหม่ ที่นี่พวกเราได้ลองกินอาหารเวียดนามที่เอร็ดอร่อย และราคาไม่แพง

ต่อด้วยร้านกาแฟ ซึ่งเราบอกดวงว่า เราอยากจะส่งโปสการ์ดกลับประเทศไทย  ดวงก็พาไปร้านกาแฟของเพื่อนเค้า เป็นร้านที่น่ารักมากๆ ด้านล่างเป็นร้านกาแฟ ส่วนด้านบนเป็นร้านขายของ Hand made ที่นี่ ดวงเลือกโปสการ์ดให้เรา แล้วก็จ่ายเงินให้พร้อม

ส่วนนี่เป็นบรรยากาศภายในร้าน คนเวียดนามนิยมกินกาแฟ ไอติม ยามย่ำค่ำเช่นกัน

ด้านบน เป็นร้านขายของที่ระลึก เป็นสินค้า Handmade

เรากินไอติมกัน จากนั้นดวงก็จ่ายเงิน แล้วก็พาเราเดินเล่นริมทะเล ผ่านโบสถ์เก่า และแสงสียามค่ำคืน

ดวงบอกว่า พรุ่งนี้จะพาเราไปยัง mural village เป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่มีรูปวาดตามกำแพง ผนัง อยู่ไม่ไกลมากจาก Dong hoi เดินทางไม่ถึงชั่วโมง  โดยเค้าจะเช่ารถมาและเป็นคนขับเอง 

ดวงมาถึงตามนัด พวกเราก็เก็บของให้เรียบร้อย แต่ทิ้งกระเป๋าไว้ที่บ้านพักของดวงก่อน  เริ่มออกเดินทางประมาณ 07.00 น. แวะกินอาหารระหว่างทาง โดยดวงพาแวะกินข้าวต้มทะเลที่ร้านเล็กๆ เงียบๆ ริมทะเล ระหว่างรออาหารก็ไปเดินเล่นกันก่อน ทะเลบ้านเค้าตรงนี้เป็นทะเลมากๆ และตอนนั้นก็ยังเช้าอยู่ เลยยังไม่มีนักท่องเที่ยว

อาหารมาแล้วววว เป็นข้าวต้ม sef food และมีเห็ด ที่แน่ๆ คือ มีผักกับด้วย

กินกันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ไปหมู่บ้านชาวประมง พอไปถึง คุณดวงหาที่จอดรถ แล้วเดินออกมาชมวิถีชาวบ้านกันก่อน

เรือประมงของคนที่นี่ วันนี้ฝนไม่ตก แต่มีความครึ้มๆ คือ ไม่มีแดด แต่ฟ้าก็ไม่ใส

อยู่ตรงนี้สักพักแล้วก็เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ถนนเส้นนี้จะมีรูปภาพวาดตามกำแพง ผนัง ดวงบอกว่ามีประมาณ 30 รูป สวยจริงๆ

ชาวบ้านที่นี่ดูเหมือนจะชอบนักท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะว่า ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ที่เราเจอก็จะเป็นวัยรุ่นเวียดนามที่มาเที่ยว เลยชวนกันถ่ายรูปซะหน่อย เค้าก็จะเขินๆ

ดวงพาพวกเราไปแวะดูการทำน้ำปลาของชาวเวียดนามด้วย ถังปูนนั่นมีน้ำปลาอยู่ข้างใน พอเปิดฝาออกเท่านั้นแหละ คิดถึงส้มตำมาทันที

ลุงก็พยายามอธิบายว่าทำยังไง แต่ฟังไม่รู้ความเลย คร่าวๆ คือ เอาปลามาทำความสะอาด แล้วหมักไว้ในนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ฯลฯ 555

ชาวบ้านที่นี่ก็ดูคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว ออกมาโบกมือมั่ง ถ่ายรูปมั่ง มีคุณยายคนนึง เจอกันหน้าหมู่บ้านทีละ ยายเดินเข้ามา ก็เลยกวักมือเรียกยายมาถ่ายรูปด้วยกัน ได้มาแบบเป็นซีรีส์เลย

นี่กำลังถ่ายรูปอยู่  ยายกำลังเดินมาละ

ยายเข้ามาใกล้อีกนิด

ยายหยุดเมียงมอง เราก็เลยหันไปดู อ้าวยายนี่นา มาถ่ายรูปกันค่ะ

ยายเดินมาหาเราที่กำลังกวักมือเยิ้บเยิ้บ อยู่

สู้กล้องมากเลยยาย มาจับมือซะด้วย

เราชอบยายมากเลย ยิ้มของยายเป็นยิ้มแบบยิ้มจริงๆ ยิ้มทั้งหน้าและแววตา

เดินถ่ายรูปจนพอใจก็พากันกลับเข้าเมือง  ดวงพาไปซื้อของฝาก และของที่ระลึก จากนั้นก็ไปกินอาหารกลางวัน เช่นเคย เป็น local food อาหารอร่อยม้ากกกก  หลังจากดวงจ่ายค่าอาหารกลางวัน  เราก็ถามจ่ายเงินกับดวง เค้าก็หยิบรายการที่เค้าจดไว้ออกมา และหารทุกอย่างเป็น USD ซึ่งเราคิดว่าเป็นธรรมมาก  ก็จ่ายเงินดวงและบวกกับสินน้ำใจไปอีกเล็กน้อย

กินเสร็จ ดวงก็พาไปเอากระเป๋าและขับรถมาส่งพวกเราที่สนามบิน  และแล้วทริปนี้ก็จบลง ค่าใช้จ่ายต่อคนประมาณ 12,000 บาท ประทับใจ ถูกใจและถูกเงิน

ขอบคุณภาพจากซัน กิตติ และวรพจน์

หมายเลขบันทึก: 646858เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2018 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม 2018 15:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท