เทศกาลงานบุญหรือวันพระใหญ่ ผมก็จะไปทำบุญที่ “วัดโบสถ์เก่า.”เป็นวัดเล็กๆของอำเภอเลาขวัญ ไม่ได้เป็นวัดประจำอำเภอ แต่ตอนนี้จำนวนผู้คนที่มาทำบุญก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ..สูสีกับวัดในตัวอำเภอแล้ว..
ผมมาอยู่อำเภอเลาขวัญได้ ๒๐ ปี..ตอนนั้น “วัดโบสถ์เก่า” มีแต่ตัวโบสถ์ที่ชำรุดทรุดโทรมมาก อายุราว ๓๐๐ ปี สร้างในสมัยอยุธยา..บริเวณวัดเป็นป่ารกทึบ..
ไม่มีศาลาการเปรียญและไม่มีพระจำพรรษา ไม่มีใครกล้าไปแวะเวียน เพราะบรรยากาศแลดูจะวังเวงมาก
ต่อมา..ก็เริ่มมีศาสนสถานเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย มีพระธุดงค์มาอยู่จำพรรษาแล้วก็ลาจากไป ไม่มีพระรูปไหนอยู่ได้นาน ญาติโยมก็ยังไม่ศรัทธาเท่าที่ควร
มาในช่วง ๖ – ๗ ปีมานี้..เจ้าคณะอำเภอเลาขวัญ ได้แต่งตั้งพระหนุ่มนักพัฒนา อายุท่านยังไม่มาก ให้มาเป็นเจ้าอาวาสและเป็นประธานบูรณะโบสถ์เก่าให้มั่นคงแข็งแรง
จนถึงวันนี้..วัดโบสถ์เก่าเปลี่ยนแปลงไปมาก..ทั้งศาสนสถานและสิ่งแวดล้อม มีศาลาการเปรียญและกุฎิสงฆ์ ตัวพระอุโบสถก็ได้รับการซ่อมแซมจากกรมศิลปากร
ท่านเจ้าอาวาส..ปรับภูมิทัศน์ของป่าที่อยู่โดยรอบ ให้เป็นสวนป่าถาวรที่เต็มไปด้วยต้นตะโก และกระสัง ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ผมชื่นชมและเคารพนับถือในความคิดสร้างสรรค์ของท่านเจ้าอาวาส ท่านเป็นตัวอย่างของพระที่พูดดี คิดดี ทำดี พัฒนาวัดแบบพอเพียง..ไม่เบียดเบียนชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ท่านเจ้าอาวาสให้ความสำคัญกับงานการศึกษาด้วย ท่านมอบทุนการศึกษาให้โรงเรียนทุกปี..มีงานผ้าป่าและกฐินครั้งใด ท่านก็จะให้นักเรียนมาช่วยบรรเลงกลองยาวอยู่เสมอ
ทุกวันนี้..วัดโบสถ์เก่า..จึงเป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในอำเภอเลาขวัญมากขึ้น ผมสังเกตจากรถที่จอดเต็มลานวัด..แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นวัดเล็ก หรือโรงเรียนเล็ก ถ้าชุมชนได้ยึดถือและศรัทธาแล้วล่ะก็.. อะไรก็เอาไม่อยู่จริงๆ..
ผมถึงวัดเจ็ดโมงครึ่งยังทันใส่บาตร..จากนั้นก็นำเงินไปทำบุญผ้าป่าและช่วยค่าน้ำค่าไฟวัด เป็นงานประจำของผมทุกครั้งที่มาทำบุญที่วัดแห่งนี้
หลังจากที่พระคุณเจ้าได้เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว ผมช่วยโยมวัดยกบาตรที่มีข้าวอยู่เต็มบาตร จากนั้นก็ช่วยประเคนสำรับภัตตาหารคาวหวานแด่พระภิกษุสงฆ์
อีกหน้าที่หนึ่งที่ผมชอบทำเป็นประจำ เมื่อมาทำบุญที่วัด คือกรอกน้ำใส่ลงในที่กรวดน้ำของวัด แล้วเดินไปแจกให้ญาติโยมที่นั่งกันเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ทุกคนได้รับความสะดวกเมื่อเวลาที่จะต้องกรวดน้ำให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว..
เมื่อพระคุณเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จสรรพ..ผมจะช่วยยกอาหารลงมาจากอาสนสงฆ์ ตรงไปให้ญาติโยมที่นั่งในจุดต่างๆบนศาลาการเปรียญ...
รอให้พระท่านส่งสัญญาณลงมาก่อน ทุกคนถึงจะรับประทานอาหารร่วมกันได้ เป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา เห็นแล้วก็รู้สึกอบอุ่น ที่ชาวบ้านรักใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน....ยิ้มให้กัน ทักทายปราศรัยด้วยมิตรไมตรี..เมื่อมาอยู่ที่วัด
ก่อนที่พระคุณเจ้า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสจะเดินลงจากอาสนสงฆ์ พร้อมพระลูกวัด ท่านได้อนุโมทนาบุญให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข..ที่ได้ร่วมกันทำบุญผ้าป่าสามัคคีและช่วยทำบุญเพื่อช่วยค่าน้ำค่าไฟวัด..ได้จตุปัจจัยเกือบสองหมื่นบาท..
ก่อนไป..ท่านทิ้งท้ายด้วยคำคม..ที่ผมยังจำได้ เพราะท่านพูดโดยรวมสั้นๆ เข้าใจง่าย..ความว่า.."โลกหน้าจะเป็นอย่างไร จะอดอยากไหม ไม่ต้องถามใคร ถามตัวเองแหละทุกวันนี้ทำบุญให้ทาน ทำคุณงามความดีไหม..?"
ผมกลับเข้าบ้าน..รู้สึกว่า..อิ่มบุญ..แต่ยังไม่อิ่มในรสพระธรรมคำสอน จึงต้องอ่านหนังสือธรรมะเพิ่มเติม..ให้สมกับที่วันนี้..ได้ไปงานบุญสงกรานต์ประจำปี ๒๕๖๑
วันนี้..ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงเทศกาลต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ..จึงขอทิ้งท้ายบันทึกนี้ ด้วยพระธรรมคำคมที่ได้จากการอ่านหนังสือ..ดังนี้...
"โลกนี้มีคนสองประเภท คือ คนที่โชคดี และ คนที่โชคดีกว่า คนที่โชคดี คือ คนที่ชีวิตมีแต่ความราบรื่น คนที่โชคดีกว่า คือ คนที่เกิดมาเจอแต่ปัญหาและอุปสรรค แต่ก็สามารถฝ่าฟันและเอาชนะจนได้ในที่สุด"
"อย่าทำชีวิตให้ระทมทุกข์...!!!เหมือนดั่งใบไม้ที่แห้งเหี่ยวร่วงหล่นโรยรา...!!!แต่จงทำชีวิตให้สว่างไสวจรัสเจิดจ้า...!!!ดั่งดอกบัวที่บานยามเช้าเพื่อรองรับ แสงตะวันและสิ่งดีงามดีกว่า!!!"
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๕ เมษายน ๒๕๖๑
สาธุค่ะ อาจารย์
อ่านแล้ว มีความสุขในใจ
ราวได้ร่วมบุญกุศล ด้วยครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
อ่านแล้ว มีความสุขในใจ
ราวได้ร่วมบุญกุศล ด้วยครับ
สาธุ สาธุ สาธุ