ผมเกิดในยุคก่อนที่โครงสร้างทางการศึกษาจะเปลี่ยนแปลง..แล้วเมื่อเข้ารับราชการครู การศึกษาก็เริ่มขยับตัวบ้างแล้ว..ตอนนั้นโรงเรียนขึ้นตรงต่อ สปช.ศธ.
ครู แต่ละจังหวัดจะอยู่ในสังกัด สปจ. หรือสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด...ตอนนั้นยังมีตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด..ยังไม่มีเขตพื้นที่การศึกษาแต่อย่างใด..
พอผมเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาเต็มตัว โครงสร้างก็เปลี่ยนทันที แบบไม่ต้องมีสำนักงานการศึกษาทั้งที่จังหวัดและอำเภอ..
ตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอและจังหวัด..กลายเป็นตำนานให้เล่าขาน โรงเรียนและครู ต้องมาสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา..แต่ละจังหวัดจะมีสำนักงานเขตฯไม่เท่ากัน..
ผมยังไม่ทันเกษียณ ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารอีกครั้ง เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว เมื่อ คสช.ประกาศใช้ ม.๔๔ กลับไปมีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเหมือนเดิม
เขตฯยังคงมีบทบาทหน้าที่ แต่อำนาจสั่งการและแต่งตั้งส่วนใหญ่ตกอยู่ที่ท่านศึกษาธิการจังหวัด ที่สังกัดปลัดกระทรวงฯ แต่เขตพื้นที่ฯสังกัด สพฐ. ก็ว่ากันไป...
ในแต่ละจังหวัดจึงมีผู้ใช้อำนาจ(เจ้านาย)มากมาย..ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับรากหญ้าก็ทำงานไป..แต่สำหรับผมไม่ค่อยจะรู้สึกอะไร?..เพราะผมมีโรงเรียนเป็นของตัวเอง..
แปลกใจอยู่นิดเดียว..ที่การศึกษาไทย ย้อนยุคมาได้ถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เป็นเรื่องจริง ยิ่งกว่าละคร "บุพเพสันนิวาส”เสียอีก..
ผมคิดว่า..๒ – ๓ ปีมานี้ จุดบอดการศึกษาไทยเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น แม้ว่า..จะถอยหลังเข้าคลองมานานแล้วก็ตาม..กว่าจะได้ปรับเปลี่ยนอีก ผมคงจะเกษียณไปแล้ว..
วันนี้..ที่หยิบยกมาพูด เพราะคิดถึงตำแหน่ง “ครูใหญ่” กับ “อาจารย์ใหญ่” เป็นถ้อยคำที่ผมชื่นชอบมาก อยากเห็นหน้าคนที่คิดสองคำนี้จัง..เข้าใจคิดดีจริงๆ
ครูใหญ่..ในความหมายของผม..คือ เป็นทั้งครูผู้สอน และเป็นหัวหน้าของครู ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนขนาดเล็ก..
อาจารย์ใหญ่..ในความหมายของผม..คือ เป็นทั้งอาจารย์ผู้สอน และเป็นหัวหน้าอาจารย์ ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนขนาดกลาง..
ปี พ.ศ ๒๕๔๓ วันที่ผมสอบเป็นผู้บริหาร..ผมมีตำแหน่งเป็นศึกษานิเทศก์ ระดับ ๕..เงินเดือนสูงกว่าขั้นของครูใหญ่..ผมจึงต้องเลือกสอบเป็นอาจารย์ใหญ่
ตอนนั้น..มีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว แต่จะมีในโรงเรียนขนาดใหญ่ เด็กเยอะๆ ส่วนใหญ่จะเปิดถึงชั้น ม.๓ (ขยายโอกาสทางการศึกษา)
ผมสอบที่ สปจ.กาญจนบุรี มีครูผู้สมัครนับร้อยคน มีครูสอบผ่านเกณฑ์ ๓๓ คน ผมสอบได้ที่ ๑..ดีใจที่สุดในชีวิต..เพราะจะได้เป็นอาจารย์ใหญ่สมใจนึก
จากนั้นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ ระดับ ๗..แล้วสถานการณ์ในเวลานั้นต้องถูกประเมินและส่งผลงานฯ เพื่อเลื่อนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ(ซี ๘)..พร้อมๆกับเป็นช่วงเวลาที่ปิดฉากตำแหน่งครูใหญ่อาจารย์ใหญ่พอดี..
ช่วงที่เป็นผู้อำนวยการ..จากวันนั้นถึงวันนี้..คิดถึงอาจารย์ใหญ่มาตลอด และยังจำบทบาทหน้าที่ได้ดี ทั้งในตำแหน่งที่เป็นอาจารย์ใหญ่จนถึงเป็น ผอ.โรงเรียน..
ชาวบ้านและผู้ปกครองมาหา..จะพูดว่า..ครูใหญ่..อยู่ไหม? วันที่ย้ายมาอยู่บ้านหนองผือในช่วงแรก ผู้ปกครองก็ยังเรียกครูใหญ่อยู่เลย..ซึ่งผมเองก็ชอบ..
จริงๆแล้ว..จะเปลี่ยนชื่อตำแหน่งไปเพื่อ..?ในเมื่อโรงเรียนใหญ่ๆ ครูเยอะ มีสายบังคับบัญชาหลายชั้น..ใช้คำว่าผู้อำนวยการ..ก็ถูกต้องแล้ว กำกับดูแลนิเทศติดตาม..
ส่วนโรงเรียนเล็กๆ เด็กไม่ถึงร้อย..มีครูไม่มาก..ผู้บริหารโรงเรียนก็เป็นครูใหญ่ คือเป็นใหญ่ด้วยและก็ช่วยกันสอนหนังสือ..
โรงเรียนขนาดกลางๆ..ก็เลื่อนฐานะขึ้นมาเป็นอาจารย์ใหญ่ คราวนี้ถ้ามีผลงานบริหารดีมีความเป็นเลิศด้านการสอน ทั้งครูใหญ่และอาจารย์ใหญ่ ก็สามารถเลื่อนซีได้
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมครูสมัยนี้ อยากเป็น ผอ.รร.กันจัง อาจเป็นเพราะ โรงเรียนเล็กกลางใหญ่..ก็มีผอ.รร.เหมือนกันหมด และโดยทั่วไปก็ได้รับการอบรมมาว่าไม่ต้องสอนหนังสือ..ทำหน้าที่มอบหมายและสั่งการ
อีกทั้ง..เข้าสู่ตำแหน่งได้เร็วอีกด้วย ครูชำนาญการ (ระดับ ๖) ก็เป็น ผอ.รร.ได้แล้ว..ผมจึงยังคงคิดถึงอาจารย์ใหญ่อยู่ดี..ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ด้านการเรียนการสอนยิ่งนัก
ดูอย่างท่านอาจารย์ใหญ่..ที่โรงพยาบาลศิริราช..ที่นิสิตแพทย์เคารพบูชา เป็นตำแหน่งที่ทำคุณประโยชน์อเนกอนันต์ สอนคนให้เป็นแพทย์มานับร้อยปี
ผมคงไม่ได้เป็นอาจารย์ใหญ่อีกแล้ว แต่ทุกวันนี้..ติดตามเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ และชื่นชมคนที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่เสมอมา..
เพราะอาจารย์ใหญ่ คือ ผู้ที่ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการบริจาคร่างกายไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ร่างกายของตัวเองในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่อง มหกายวิภาคศาสตร์ หรือระบบของร่างกาย นั่นเอง...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๓ เมษายน ๒๕๖๑
ประวัติศาสตร์การศึกษาไทย คล้าย การเปลี่ยนผ่านและวนกลับของแฟชั่น หรือเปล่าครับ ท่าน ผอ. ;)...