ผมอยู่บนโลกนี้ก็ 50 กว่าปีแล้ว ก็เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
ตอนผมเป็นเด็ก สมัยที่มีทีวีใหม่ๆ ยังเป็นขาวดำ นั่งดูกันเต็มบ้าน
ผู้ใหญ่จะสอนว่า ไอ้โฆษณาชวนเชื่อ คือ เรื่องที่เค้าโฆษณามันไม่จริง
.
และจะว่าไปแล้ว การโฆษณาเป็นการโกหกชนิดหนึ่ง
แต่เป็นการโกหกที่ยอมรับได้ (จริงหรือเปล่า ?)
ผมเชื่อว่าถ้าเปิดห้องน้ำอั้ม คงเห็นว่าเธอไม่ได้ใช้ซัลซิลจริงๆ หรอก
แล้วเรายอมรับได้ไหมล่ะ ? และที่เราใช้ซัลซิล เพราะเชื่อตามโฆษณาว่าอั้มใช้หรือเปล่าล่ะ ?
.
ฝรั่งวิจัยว่าเราพบเรื่องโกหกเฉลี่ยวันละ 200 เรื่อง (น่าจะรวมการโกหกของเราด้วยนะ เหอๆ)
เราอยู่บนโลกของการโกหก นานไปก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
มันกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรม ซึ่งจริงๆ ควรจะเรียกว่าหายนะธรรม มากกว่า
วัฒนะ แปลว่า พัฒนา ... อันนี้มันตรงกันข้าม
.
เวลาผ่านไป ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าวิตก
คือ คนเริ่มไม่แยกแยะว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนลวง
ไม่แยก และก็เริ่มจะแยกแยะไม่ออกด้วย
ผลลัพธ์ก็คือ คนทำบาปโดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นบาป
ตัวอย่างเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ เป็นเรื่องหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงลงสู่ที่ต่ำ
.
ผมเห็นว่ายังไงก็คงต้านกระแสความเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เครื่องจักรผลิตบาปมันก็ทำงานของมันต่อไป ยิ่งมีออนไลน์ เครื่องจักรยิ่งทำงานได้เร็วจี๋
เพียงแต่คิดว่า ต้องมีคนออกมาพูดและทำอะไรบางอย่าง เพื่อสวนกระแสนี้บ้าง
ยังทำไม่ได้ก็พูด ไม่มีที่พูดก็เขียนเอา ทำเท่าที่จะทำได้
ชะลอความฉิบหาย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยครับ
.
ไม่มีความเห็น