หลังจากที่คุณครูเล็ก - ณัฐทิพย์ นำเสนอเส้นทางการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนเพลินพัฒนา ตลอดช่วงระยะเวลา ๑๔ ปีที่ผ่านมา และฉายคลิปนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในปีการศึกษา ๒๕๖๐ จบลงแล้วก็มาถึงช่วงของการสัมภาษณ์บุคคลต้นเรื่องทั้ง ๕ คน ซึ่งเป็นคุณครูน้องใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการทำห้องเรียนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ และเป็นครูที่สามารถที่จะพัฒนาวิธีการเรียนรู้และพัฒนาความรู้ของตนเองได้ ด้วยการพัฒนาตนไปในกระบวนทัศน์ของ PLC ที่มีทั้ง KM + Lesson Study + OLE เป็นแรงขับเคลื่อน ขึ้นมาเป็นแขกรับเชิญของเวที "ห้องเรียนดีๆ มีขึ้นได้อย่างไร"
บุคคลในภาพ จากซ้าย คุณครูเล็ก - ณัฐทิพย์ วิทยาภรณ์ หัวหน้าช่วงชั้นที่ ๒ คุณครูเต่า - สุจิตรา เลิศพิพัฒน์วรกุล ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการจัดการภาครัฐและเอกชน คุณครูขวัญ - ชลธิชา เจริญรักษ์ วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาประมง คุณครูนก - รุ่งนภา ไทยเจริญ วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาสัตวศาสตร์ คุณครูนิ้ง - นันท์ณิชา พัดเกร็ด อักษรศาสตร์บัณฑิต สาขาภาษาไทย คุณครูนุ่น - จริญญา จันทะดวง ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาภาษาไทย คุณครูหนึ่ง - ศรัณธร แก้วคูณ หัวหน้าช่วงชั้นที่ ๑
คุณครูหนึ่ง ในฐานะที่ครูนิ้งและครูนุ่นเป็นครูใหม่ ที่ไม่เคยสอนมาก่อนเลย และจะต้องลงสอน ทั้งสองคนมีวิธีในการเตรียมตัวเองอย่างไรในการลงห้องเรียน ตอนที่มาสัมภาษณ์จำได้ว่าครูนุ่นใส่เสื้อขาวและกระโปรงคล้ายๆ ชุดนักศึกษา
คุณครูนุ่น เมื่อก่อนก็ไม่คิดว่าจะเป็นครูเลย ตอนเรียนเลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ หลายคนถามว่าเมื่อเราจบไปแล้วจะทำอะไรที่เลือกเรียนเอกไทย วันนึงที่อยู่ปีสี่ มีงานjob fairเห็นบูธโรงเรียนเพลินพัฒนา มีโอกาสสัมภาษณ์และสอบสอน ในวันที่มาสอบสอนเราค้นพบตัวเองว่าจริงๆแล้วการเป็นครูก็สนุกดี การที่ได้มาสอนทำให้รู้ว่าเราชอบ และเราอยากจะลองดูกับอาชีพนี้
การเตรียมตัวในการมาสอนจริง โรงเรียนให้เข้าสังเกตการสอนของรุ่นพี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เราได้เรียนรู้มากกว่าการเรียนครูมาสี่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ นุ่นมีโอกาสได้สังเกตการสอน ๒ เทอมก่อนที่จะลงสอนจริง คิดว่าการสังเกตเป็นการเรียนรู้ที่ได้เห็นผลและนำมาใช้จริงได้เวลาที่เราต้องลงสอนเอง
การเห็นแผน การเปิดตัวเอง และเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เท่าที่ได้ลงสอน ปีนี้ด้านการเรียนรู้ไปได้ช้ากว่าปีที่แล้ว มาคุยกับพี่นิ่งพี่นิ้งก็แนะนำว่าจะต้องปรับแผนเยอะ เมื่อเราลองปรับใช้ คุยกับครูหลายท่าน รู้สึกว่าเด็กเราเรียนรู้ได้ ไม่เครียด มีความสุขไม่กดดัน
คุณครูเล็ก เมื่อเห็นเด็กช้า ครูไม่ได้โทษที่เด็ก แต่กลับมาดูที่แผน แล้วก็ค้นหาวิธีการสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ
คุณครูนิ้ง เป็นโชคดีที่มีพี่ใหม่ ก่อนสอนเราจะคุยแผนกับพี่ใหม่ก่อน และพอมีพื้นฐานความเข้าใจเด็กอยู่บ้างว่าเด็กเป็นอย่างไร ในแผนการสอนที่เราก็เห็นว่าแผนดีและไปกันได้ดีกับเด็กรุ่นที่แล้ว แต่อาจจะไม่ดีกับเด็กรุ่นนี้ ในระหว่างที่น้องนุ่นสอน นิ้งก็จะเข้าไปสังเกต เราจะส่งสัญญาณกับน้องเลยว่าเราต้องเปลี่ยนแผน สิ่งที่ดีของน้องคือ น้องสังเกตอย่างละเอียดและนำมาปรับใช้ น้องเป็นคนเปิดใจเรียนรู้
คุณครูเล็ก น้องนุ่นมีความละเอียดมากในการสังเกตเด็กที่ดี อยากถามว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้น้องสังเกตเด็ก
คุณครูนุ่น มันเป็นอัตโนมัติ ทำไปเอง จะพยายามมองตอนเด็กทำงานจริง และพยายามเข้าไปคุย ฟัง และนอกห้องเรียนก็จะพยายามทำความเข้าใจกับเด็กนอกห้องเรียนให้มากขึ้น พอเด็กไว้วางใจเรา เด็กก็จะกล้าถาม เด็กให้ใจเรา และให้ความร่วมมือกับเรา
คุณครูเล็ก เวลาสังเกตในตารางจะมีแค่ห้องเรียน แต่เท่าที่รู้น้องทั้งสองคนสลับกันเข้าสังเกตการสอนกันตลอดทุกคาบ ทั้งๆ ที่ในตารางระบุไว้ให้สังเกตเพียงห้องเดียว
คุณครูนุ่น เนื่องจากเราใหม่มาก จึงคิดว่าต้องทำความเข้าใจแผนให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถถ่ายทอดได้ดี ทำให้อยากเห็นการนำแผนลงไปใช้จริงในห้อง อื่นๆ ก่อนที่เราจะต้องสอนเอง ทำให้ได้เห็นว่าพี่นิ้งนิ่งมาก ใจเย็นมาก ทำเราได้ปรับอารมณ์เราเองว่าควรจะรอคอยเด็กๆ แค่ไหน
คุณครูนิ้ง ครูต้องเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เราต้องเข้าใจเด็กก่อนว่าเด็กเพิ่งเป็นอนุบาลมา เข้าถึงคือทำให้เด็กไว้วางใจเราและรักเรา การพัฒนา ภาษาไทยคือทักษะ ไม่จำเป็นที่เด็กจะต้องเท่ากันหมด แต่เราจะต้องมีการเปิดโจทย์ที่หลากหลายมากขึ้นตามความสามารถของเด็ก แต่เราจะมีธงอยู่แล้วว่าต้องการให้เด็กได้อะไร ปีนี้มีการเปิดโจทย์ตามศักยภาพของเด็กเยอะมาก
ครูเล็ก ทำให้รู้สึกว่าอยากอ่านแผนของเด็กชั้น ๑ มาก
คุณครูหนึ่ง การได้คุยแผนกับพี่ใหม่ พี่ใหม่จะให้ตัวอย่างที่น้องสามารถไปซอยละเอียดต่อได้ หรือบางครั้งให้ละเอียดไปเลย เมื่อคุยแผนแล้ว ทั้งสองคนต้องไปตีความว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้างอย่างละเอียด หลังจากนั้นไปวางแผนเตรียมสื่อ และพิมพ์แผนออกมา เข้าไปในห้องเรียน โดยห้องเรียนแรกพี่สอน น้องสังเกตการณ์สอน เกิดอะไรขึ้นในชั้นเรียน และจุดที่พี่ทำได้ดีทำได้อย่างไร ต้องมีการสะท้อนหลังสอน
ปัจจัยความสำเร็จ
ปัจจัยพื้นฐานของน้องทั้งสองคนนี้ ทั้งคู่จะมีความร่วมกันอยู่ คือ
เคล็ดลับการโค้ชชิ่ง
ทุกครั้งที่คุยแผนกันครูใหม่จะให้เอาสมุดงานเด็กมาด้วยและจะให้พูดถึงงานเด็กในสมุด และจะรู้ว่าเอาใจใส่ จะเล่าได้ว่าขณะที่ทำงาน เด็กเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลพวกนี้สำคัญ และจะคุยกันว่าเด็กตอนนี้ทำเรื่องนี้ได้แล้วหรือยัง ถ้าทำได้แล้วก็จะไปต่อ ถ้ายังทำไม่ได้ก็จะหเติมาทางปรับกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสม เพื่อให้เด็กได้ทบทวนความรู้ก่อนแล้วจึงฝึกฝนเพิ่ม
ทุกครั้งที่น้องไปหา ครูใหม่จะต้องพาน้องตีความไปทีละเรื่องว่า เราทำกิจกรรมนี้ทำไม เด็กเรียนเรื่องนี้ทำไม และเด็กเรียนรู้อย่างไร จากชิ้นงานที่เด็กทำตอนนี้ความรู้ ความสามารถและทักษะของเขาแต่ละคนอยู่ที่ไหนแล้ว ในตอนแรกจะ "อ่าน" ชิ้นงานของเด็กให้น้องดูเป็นตัวอย่างก่อน ตอนหลังๆ ก็ตั้งประประเด็นให้น้อง ๆ ลอง "อ่าน" ดูเอง และครูใหม่จึงเพิ่มเติมให้ ดังนั้น การพบกันแต่ละครั้งจึงมีคุณค่าและช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการเข้าชั้นเรียนได้มาก ซึ่งโค้ชต้องรู้ว่าตอนนี้ครูถึงเวลาที่จะเรียนรู้เรื่องใด
ไม่มีความเห็น