ศาสนากับความขัดแย้ง
พระสถาพร ธมฺมปสิทฺธิ (ลักษณะปิยะ) เลขที่ ๑
คำว่า “ศาสนา” นั้น ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ “ลัทธิความเชื่อของมนุษย์อันมีหลัก คือ แสดงกำเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัถต์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำตามความเห็น หรือตามคำสั่งสอนในความเชื่อนั้น ๆ” (https://www.baanjomyut.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ทรงอธิบายว่า “ศาสนาคือ คำสั่งสอน ท่านผู้ใดเป็นต้นเดิม เป็นผู้บัญญัติสั่งสอน ก็เรียกว่าศาสนาของท่านผู้นั้น หรือท่านผู้บัญญัติสั่งสอนนั่นได้นามพิเศษอย่างไร ก็เรียกชื่อนั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศาสนาจึงมีมาก คำสอนก็ต่างกัน” (https://www.baanjomyut.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
สุชีพ ปุญญานุภาพ อธิบายความหมายคำว่า “ศาสนา” ไว้ว่า
๑. ศาสนา คือ ที่รวมแห่งความเคารพนับถืออันสูงส่งของมนุษย์
๒. ศาสนา คือ ที่พึ่งทางจิตใจ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากย่อมเลือกยึดเหนี่ยวตามความพอใจ และความเหมาะสมแก่เหตุแวดล้อมของตน
๓. ศาสนา คือ คำสั่งสอน อันว่าด้วยศีลธรรม และอุดมคติสูงสุดในชีวิตของบุคคล รวมทั้งแนวความเชื่อถือและแนวการปฏิบัติต่าง ๆ กันตามคติของแต่ละศาสนา (สุชีพ ปุญญานุภาพ, ๒๕๓๒:๙ จากhttps://www.baanjomyut.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
สำหรับในประเทศไทยนั้น ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาสำคัญ และมีคนนับถือมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์
นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ก็ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาอีกด้วย ซึ่งกลุ่มคนประเภทนี้จะถูก เรียกว่า “อศาสนา” (อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก “อศาสนิก”(https://natthawuth.wordpress.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๑. แนวคิดของศาสนาแต่ละศาสนา
๑.๑ ศาสนาฮินดู ชาวฮินดูส่วนมากนั้นนับถือเทพศูนย์รวมผู้สูงสุดองค์หนึ่ง คือพระพรหม ซึ่งมีหลายพระภาคด้วยกันทั้งในภาคของเทพหรือพระและเทพธิดา หรือเจ้าแม่ การปรากฏองค์ที่แตกต่างกันของพระพรหม โดยผ่าน เทพธิดาและเทพบุตรเหล่านี้ได้จุติมาอยู่ใน รูปเคารพ วัดและวิหาร ผู้นำศาสนา แม่น้ำ สัตว์ต่างๆ เป็นต้น ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานะที่พวกเขาเป็นอยู่นี้มาจากผลการกระทำ ในชาติก่อนๆของพวกเขา ถ้าพฤติกรรมของเขาในชาติก่อนชั่วร้ายมากๆ เขาอาจจะต้องประสบกับชีวิตที่ยากลำบากมากในชาตินี้ เป้าประสงค์ ของชาวฮินดู คือ การได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม นั่นก็คือ การเป็นอิสระจากวงจรของวัฏสงสาร ซึ่งมีหนทางที่เป็นไปได้อยู่สามทาง ในการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมคือ
๑. อุทิศตัวด้วยใจรักต่อเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดก็ได้ในศาสนาฮินดู
๒. เพิ่มพูนขึ้นในความรู้โดยผ่านการบำเพ็ญภาวนาให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์พระพรหม
๓. ทำตามระเบียบแบบแผนและ ศาสนพิธีต่างๆอย่างเคร่งครัด (บทความโดย มาริลิน แอดัมสัน จากhttps://www.everythaistudent.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๑.๒ ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนานั้นถูกก่อตั้งขึ้นโดยพระพุทธเจ้าเมื่อ ๒๖๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ซึ่งไม่เน้นความสำคัญของพระเจ้า ไม่มีคำสอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ควบคุมโลก หรือพระเจ้าเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ศาสดาของพระพุทธศาสนานั้นคือพระเจ้า โดยมีพระนามเดิมก่อนการตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์นั้นทรงประสูติเมื่อวันเพ็ญ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปีคำสอนของพระพุทธองค์นั้นถูกรวบรวมจัดเป็นคัมภีร์ของพุทธศาสนาเถรวาท เรียกว่า พระไตรปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก และอีกส่วนคือคัมภีร์ของพุทธศาสนามหายานนั้น เรียกว่า พระสูตร ศาสตร์ และตันตระ หลักคำสอนสำคัญของพุทธศาสนาเถรวาท คือ หลักไตรลักษณ์กฎแห่งกรรม อริยสัจ ๔ และนิพพาน ส่วนหลักคำสอนสำคัญของพุทธศาสนมหายาน คือ หลักคำสอนเรื่องโพธิสัตว์ ในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็น ๒ นิกาย คือ นิกายเถรวาท และนิกายมหายาน ในด้านพิธีกรรมของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น แบ่งออกเป็นพิธีกรรมที่เป็นกุศลพิธี บุญพิธี ทานพิธีและพิธีย่อยๆอื่น ในส่วนพิธีกรรมของพุทธศาสนามหายาน คือ พิธีตรุษจีน พิธีกินเจ พิธีทิ้งกระจาดไทยทาน และพิธีกงเต็ก เป็นต้น สัญลักษณ์ของพุทธศาสนานั้น ได้แก่ พระพุทธรูป ธรรมจักร ต้นโพธิ์และรอยพระพุทธ-บาทฐานะปัจจุบันของพระพุทธศาสนานั้น ได้เจริญอยู่ในประเทศแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น จนได้นามว่าประทีปแห่งทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่องยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ (https://sites.google.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๒. มีการละหมาดโดยท่องจำคำสวดภาษาอารบิค ห้าครั้งต่อวัน
๓. ให้ทานแก่คนยากจน
๔.หนึ่งเดือนของแต่ละปี(รอมาดอน)ให้มีการงดอาหาร เครื่องดื่ม การมีเพศสัมพันธ์และการสูบบุหรี่ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก (บทความโดย มาริลิน แอดัมสัน จากhttps://www.everythaistudent.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๕.ไปแสวงบุญหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อร่วมนมัสการที่สถานศักดิ์สิทธิ์ในนครเมกกะ ชาวมุสลิม เมื่อตาย ก็หวังที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ เขาก็ต้องได้รับโทษเป็นนิรันดร์ในนรก
๑.๔ ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งทรงสำแดงพระองค์ เองแก่เราและทรงให้เรารู้จักเป็นการส่วนตัวในชีวิตนี้ได้ ศาสนาคริสต์ ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำความดี แต่อย่างใด แต่ความสนใจของเขาอยู่ที่การชื่นชมในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเติบโต ในการรู้จักกับพระองค์มากขึ้น คริสต์มีความเชื่อศรัทธาในพระเยซูไม่ใช่แค่ที่คำสอนของพระองค์เท่านั้น ในครั้งเมื่อพระเยซูยังทรงดำเนินพระชนม์อยู่บนโลก พระองค์ไม่เคยกล่าวถึงตนเองว่า ทรงเป็นผู้พยากรณ์ที่ชี้ให้คนเห็นพระเจ้า หรือทรงกล่าวว่าตนเอง คือพระอาจารย์ที่สอนหนทางแห่งการตรัสรู้ พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ และพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ยกโทษความผิดบาปของผู้คน และตรัสว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ตรัสประโยคนี้ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (บทความโดย มาริลิน แอดัมสัน จากhttps://www.everythaistudent.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๒. ความขัดแย้งที่เกิดจากศาสนา
๒.๑ ความหมายของความขัดแย้ง ความขัดแย้ง หมายถึง การที่บุคคลจะคิดทำอะไรแล้วเกิดความไม่ลงรอยกัน ไม่ถูกกัน มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน และมีมุมมองที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนนั้นปรารถนาแต่ก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี้ยงได้เพราะว่าตราบใดที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น ก็ย่อมที่จะต้องมีความกันแย้งเกิดขึ้นอยู่เสมอ
๒.๒ สาเหตุของความขัดแย้ง ความขัดแย้งของศาสนานั้นเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุหลายประการ เช่น มาจากความเชื่อศรัทธาในคำสอนของแต่ละศาสนาที่แตกต่างกัน ความที่บุคคลของแต่ละศาสนามีทิฐิมานะ ถือตัวว่าความคิดของตัวเองนั้นย่อมดีกว่าบุคคลอื่น การมีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ ขาดการประสานงานที่ดี ขาดการควบคุมภายในอย่างมีระบบ สังคมโลกขยายตัวเร็วเกินไป และการมีค่านิยมในสิ่งต่างๆ ผิดแผกกัน ความคิดแตกต่างกัน
ปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยในปัจจุบัน นั้นเป็นปัญหาที่ซับซ้อน มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา เช่น พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเดิมทีนั้นเคยเป็นดินแดนชาวฮินดูและชาวพุทธ ต่อมาศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ชาวมาเลย์มุสลิมก็ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่มากขึ้น และได้มาเปลี่ยนการปกครองดินแดนแห่งนี้โดยไปใช้ระบอบการปกครองแบบสุลต่านแห่งปัตตานี
แต่ต่อมา สยาม มีความเข็มแข้งขึ้น และได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือพื้นที่แถบนี้เป็นเวลานานกว่า ๗๐๐ ปี ในช่วงสมัยการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป สยามต้องเสียดินแดนบางส่วนในภาคใต้ให้กับสหราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พื้นที่แห่งก็ถูกแบ่งออกเป็น ๒ส่วน ส่วนหนึ่งถูกผนวกรวมเข้ากับพื้นที่ในความดูแลของสหราชอาณาจักรซึ่งต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย อีกส่วนหนึ่งยังคงอยู่กับราชอาณาจักรสยาม หรือประเทศไทยในปัจจุบัน
๒.๓ ความขัดแย้งในนามศาสนา
๒.๓.๑. เกิดจากความขัดแย้งระหว่างแต่ละศาสนา อินเดีย เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมจนแยกเป็นประเทศปากีสถานปัญหาระหว่างชาวมุสลิมและชาวฮินดูก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงขั้นปะทะกันอย่างรุนแรง ในที่สุดอังกฤษจึงให้เอกราชกับอินเดียและปากีสถาน
๒.๓.๒. เกิดจากความขัดแย้งภายในศาสนาเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมในประเทศปากีสถาน ที่นำไปสู่การแยกเป็นประเทศปากีสถานกับบังกลาเทศ
๒.๓.๓. ผลกระทบที่ได้รับของปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาในดินแดนต่าง ๆ ทำให้การเมืองของโลกตึงเครียดขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งไม่ได้จำกัดแต่เพียงคู่กรณีพิพาทเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวพันกับมหาชาติอำนาจให้เข้ามามีส่วนร่วมกับความขัดแย้ง จนถึงขั้นเผชิญหน้ากัน
- เปิดโอกาสให้ชาติมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงมีอิทธิพลในประเทศต่างๆ
- ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง
- ส่งผลให้เกิดการก่อการร้ายไปทั่วโลก (บทความโดย ครูวิไลวรรณ จากhttp://wl.mc.ac.th/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐)
๓. สรุป
สรุปได้ว่า ศาสนากับความขัดแย้งนั้นก็เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างที่มาเป็นตัวผลักดันจนก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งกันของศาสนา เช่นว่า เกิดจากคำสอนของแต่ละศาสนาที่มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป หรือการที่บุคคลในศาสนาเดียวกันหรือต่างศาสนากันมีความถือตัวถือตนมากจนเกินไปโดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นบุคคลอื่น เหล่านี้จนเกิดเป็นความขัดแย้งกันของศาสนาไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในศาสนาเดียวกันหรือต่างศาสนากันก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นตัวสะท้อนมาให้เห็นถึงสังคมปัจจุบันที่มีความขัดแย้งกันในทางศาสนาจนเกิดเป็นการแบ่งแยกกันเป็นพรรคเป็นพวกเป็นฝักเป็นฝ่ายจนก่อให้เกิดความไม่สงบสุขของประเทศขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามองเห็นซึ่งปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจจุบันว่าสาเหตุใดที่ทำให้คนในประเทศเรานั้นมีความแตกแยกกันเมื่อมองเห็นต้นสายปลายเหตุแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกิดมาจากความขัดแย้งเกิดจากความแบ่งแยกไม่สมัครสมานสามัคคีกันจนทำให้ประเทศของเรานั้นประสบแต่ความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นเราจึงต้องมีสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ดังคำที่ท่านกล่าวว่า
แบ่งพวกทำให้เสียรัก แบ่งพรรคทำให้เสียสามัคคี
แต่ถ้าเราไม่มีการแบ่งพวกไม่มีการแบ่งพรรค ก็จะทำให้เรานั้นเกิดความรักความสามัคคี
อ้างอิง
https://www.baanjomyut.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
https://natthawuth.wordpress.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
https://www.everythaistudent.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
https://sites.google.com/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
http://wl.mc.ac.th/ เข้าถึงข้อมูลเมื่อ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
ไม่มีความเห็น