การจัดกิจกรรม “ธ สถิตในดวงใจ มมส ตราบนิจนิรันดร์” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ผมเป็นหนึ่งในคณะทำงานของมหาวิทยาลัย แต่ที่จริงต้องเรียกว่าฝ่ายพัฒนานิสิตเสียมากกว่า – เพราะหลักๆ แล้วกลุ่มคนในสายงานนี้เป็นคนพกพาหัวใจลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่รัก เพื่อคนที่เรารัก นั่นคือในหลวงรัชกาลที่ 9
ผมเป็นคนเสนอให้ใช้วาทกรรม “ธ สถิตในดวงใจ มมส ตราบนิจนิรันดร์” โดยกำหนดจากกรอบแนวคิดการจัดนิทรรศการถวายความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ ของพระองค์ท่าน
ผมนำเสนอต่อที่ประชุมประมาณว่า “ผมอยากให้จัดนิทรรศการเจาะจงประเด็นที่พระองค์ท่านมีต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคามจากอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นหลัก”
ใช่ครับ – ผมอยากให้เจาะประเด็น หรือนาฏการณ์เหล่านี้ มากกว่านำเสนอในมุมกว้างๆ เพราะจังหวัดก็ทำอยู่แล้ว ส่วนราชการอื่นก็ทำอยู่แล้ว
ผมคิดเช่นนี้เพราะต้องการให้ “ชาว มมส” ได้รู้ประวัติศาสตร์ชีวิตตนเอง ได้รับรู้และเรียนรู้ว่าพระองค์ท่านสำคัญกับมหาวิทยาลัยมหาสารคามอย่างไร
ส่วนในเรื่องราวอื่นๆ นั้น ผมเชื่อว่าคนแต่ละคนสามารถสืบค้น-เรียนรู้เพิ่มเติมได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางและวาระอื่นๆ ได้อย่างไม่ยากเข็ญ
แน่นอนครับ- การเสนอเช่นนั้น ผมก็ขันอาสาว่าจะเป็นแกนหลักในการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง โดยจะส่งข้อมูลให้ผู้บริหารคัดกรอง หรือกระทั่งตัดตรงเนื้องานไปยังฝ่ายศิลป์ (อติรุจ อัคมูล) เป็นคนขับเคลื่อน หรือยกระดับข้อมูลเป็นสื่อสร้างสรรค์
กรณีดังกล่าว ผมจัดแบ่งหมวดหมู่เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
ทั้งปวงนั้นเป็นการงานที่ท้าทายผมเป็นที่สุด
ท้าทายในมิติ “เสนอแล้วต้องทำ” และ “เป็นการงานที่รักและอยากทำเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9” หรือท้าทาย เพราะเป็นอีกหนึ่งในกระบวนการ “ทบทวนประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฯ” ไปในตัวดีๆ
ครับ – ผมทำงานไม่กี่วัน เพราะข้อมูลต่างๆ ผมจัดเก็บมาเป็นระยะๆ อยู่แล้ว รวมถึงผมมีคลังข้อมูลอันเป็นหนังสือของตัวเองอยู่แล้ว จำได้กระทั่งว่าหนังสือเล่มนั้นผมจัดวางอยู่ตู้ไหน - ชั้นใดของตู้ ...
ที่จะเกรงใจอยู่บ้างก็คือการส่งงานให้ฝ่ายศิลป์เสียมากกว่า เพราะเขาต้องจัดวางตกแต่ง ตรวจทาน ฯลฯ
แต่ทั้งปวงนั้นผมก็ย้ำกับทีมงานตลอดว่า ...นี่คือการงานอันเป็นที่รัก และนี่คือการถวายงานต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ในอีกช่องทางหนึ่ง
ครับ – ผมพูดในสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ มิได้พูดปั้นแต่ง เพื่อปลุกเร้าคนทำงาน หรือให้ได้แค่งานแล้วจบๆ กันไป แต่นี่คือการทำงานในแบบ “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” ที่ผมมักคิดและทำ -
-สวัสดีครับอาจารย์
-ได้อ่านพระราชดำรัสของพระองค์ท่านแล้วอบอุ่นใจมากๆ ครับ
-รู้สึกมีพลังมากๆ ครับ
-การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนทั่วไปได้สัมผัสและนำไปปฏิบัติตามก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคำจำกัดความของคำว่า"ครู"นะครับ
-คนเรามีความเป็นครูในตัวเอง
-ด้วยจิตคารวะ ครู ทุกๆ ท่านครับ
-นี่ก็คือ"ครูป้าแป้น"สอนทำอาหารพื้นบ้าน"น้ำยาปูนา"ครับ..
สวัสดีครับ
ผมเห็นด้วยนะครับประเด็น "คนเรามีความเป็นครูในตัวเอง" และความเป็นครูที่ว่าก็เหมือนเหรีญมีสองด้าน เราสามารถเรียนรู้ หรือให้คนอื่นได้เรียนรู้เราได้ทั้งในมุมอันสว่างใสและหม่นมัว ---