ความเชื่อกับสุขภาพ


เหมือนที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ชนเผ่าพื้นเมืองส่วนใหญ่ยึดถือความเชื่อมาปฏิบัติตลอดการดำรงชีวิต สืบต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม โดยเฉพาะครอบครัวของฉันเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง'โป' ที่ยึดถือปฏิบัตินำความเชื่อมาใช้อย่างเคร่งครัด ไม่ให้มีความผิดแผก บิดเบือนไปจากเดิมแม้แต่นิด (เท่าที่ฉันรู้สึกและสัมผัสได้) 

หลังจากที่ฉันเรียนจบ ม.3 ที่โรงเรียนแถวบ้าน และได้รับโอกาสลงมาเรียนต่อในเมืองจนจบปริญญาตรี ในตอนนั้นการติดต่อสื่อสารไม่ได้รวดเร็วเหมือนเช่นปัจจุบัน  บ่อยครั้งถ้าที่บ้านมีเหตุให้ต้องประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ พ่อกับแม่ก็จะทำเลย โดยที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไร ทั้งที่จริงแล้วอยากให้ฉันกลับไปร่วมทำพิธีกรรมด้วย พ่อแม่ถึงจะสบายใจ แม้ระยะหลังมาที่เริ่มมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ติดต่อกันง่ายขึ้นแล้วก็ตาม เมื่อพ่อแม่โทรมาบอกให้กลับบ้านไปทำพิธีกรรม แต่ฉันก็กลับไม่ได้เพราะติดเรียน ติดงาน part-time ที่ทำด้วย ทราบเรื่องภายหลังจากน้องสาวว่า ทำให้พ่อแม่เกิดความทุกข์ใจมากเลยทีเดียว  

ทุกครั้งเมื่อฉันกลับบ้าน แม่มักจะพูดเสมอว่า "เนี่ยไหน ๆ ลูกก็กลับบ้านละ ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เราควรจะเลี้ยงผีสักครั้งนะ" ฉันก็มักจะถามกลับเสมอว่า "ทำไมต้องเลี้ยงด้วย?" แม่ตอบกลับทุกครั้งว่า "การเลี้ยงผีเป็นการขอให้ผีบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูก ๆ ที่เป็นผู้หญิง ที่มีภัยรอบตัวมากกว่าลูกผู้ชาย"  อืม....แลดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่ทั้งหมดคือความสบายใจสินะ

เหตุเกิดขึ้นครั้งล่าสุด 

วันที่ 18 กันยายน 2560 พ่อเข้าโรงพยาบาล ด้วยอาการปวดขา บริเวณข้อเข่าและข้อเท้า บวมแดง หมอวินิจฉัยว่าปวดเพราะเก๊าท์กำเริบ ต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอยู่หลายคืน โดยมีพี่สาวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ในตอนนั้นฉันได้แวะไปเยี่ยมพ่อแต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องขึ้นดอยไปทำงาน (ระหว่างอยู่ดอยจะขาดการติดต่อจากโลกภายนอกเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์) 

วันที่ 21 กันยายน 2560 ฉันลงจากดอย แวะหาพ่อแว๊บนึง พ่ออาการดีขึ้น ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย ขณะเดียวกันแม่โทรมาบอกว่า แม่ไปถามหมอดูว่า เขาทำนายว่าพ่อต้องเลี้ยงผี  หลังจากได้ยินทำให้ฉันใจแป้ว....เพราะการเลี้ยงผี ถ้าให้ดีก็ต้องรีบทำเลยหลังจากที่พ่อกลับจากโรงพยาบาล (พ่อกลับบ้านได้วันที่ 22 กันยายน 2560) ทุกคนในบ้านต้องอยู่ร่วมพิธีพร้อมหน้าพร้อมตา

ด้วยความที่ฉันทำงานอยู่ในระบบ ปลายเดือนกันยายนเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ช่วงที่ต้องเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างให้เสร็จก่อนจะเริ่มปีงบประมาณใหม่ ฉันจึงขอพ่อว่า จะขอกลับมาวันที่ 27 กันยายนได้ไหม และอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ไป ระหว่างที่พ่อกลับไปอยู่บ้าน ฉันก็โทรถามไถ่อาการทุกวัน ซึ่งพ่อก็อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ

วันที่ 27 กันยายน 2560 เมื่อฉันกลับถึงบ้าน พบว่าพ่อมีอาการปวดเท้าขวามากขึ้นเล็กน้อย 
   ฉัน : ไปโรงพยาบาลมั้ยพ่อ เดี๋ยวไปส่ง
   พ่อ : ยังไปไม่ได้ต้องเลี้ยงผีก่อน (พ่อกลัวว่าจะได้ไปนอนโรงพยาบาล เพราะถ้านอนโรงพยาบาลก็คงอีกนานกว่าจะได้ทำพิธี)
   ฉัน : งั้นก็ทำเลยสิ วันนี้เลย
  แม่ : ยังทำไม่ได้ ลูกเพิ่งกลับมา จะต้องนอนที่บ้าน 1 คืนก่อนถึงจะเลี้ยงผีได้ (ลูกที่ยังไม่มีครอบครัว ยังไม่มีบ้านอยู่ ถือว่าบ้านพ่อแม่คือบ้านของลูก จะกลับมาถึงบ้านแล้วทำพิธีเลยไม่ได้ ลูกคือลูก ไม่ใช่แขกหรือนักท่องเที่ยว) 
ฉันได้แต่ถามแม่ว่าพ่อไปกินอะไรมา แม่บอกว่าก่อนหน้านี้พ่อกินไก่ ซุปกระดูก

ฉันได้แต่กลั้นใจไว้ไม่เถียงพ่อกับแม่ และชวนน้องสาวหาผ้าเย็นมาประคบเท้าพ่อ เผื่อว่าอาการจะทุเลา  และเราช่วยกันดูแลพ่อตลอดทั้งคืน

วันที่ 28 กันยายน 2560 เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้องเริ่มทราบข่าวเรื่องพ่อป่วย  พากันทยอยมาเยี่ยม และมีความหวังดีแนะนำให้ใช้สมุนไพรชนิดต่าง ๆ มากมาย บางคนถึงกับไปขุดมาให้ มียานวดอะไรที่พวกเขารู้ก็จะเอามาให้ ฉันเองก็เข้าใจความหวังดีของทุกคน แต่จากที่ฉันได้ข้อมูลมาทั้งจากเอกสารและสอบเพื่อนที่จบด้านพยาบาล ไม่มีใครแนะนำให้นวด เพราะมันจะทำให้อาการหนักขึ้น แต่แม่ก็ไม่ฟังฉัน ฮ่าาาาา ฉันได้แต่ประคบเย็นให้พ่อไปพลาง ๆ มีสมุนไพรบางตัวที่เพื่อบ้านแนะนำให้พ่อต้องดื่ม...ฉันสั่งห้ามพ่อดื่มเด็กขาด เพราะพ่อเป็นโรคไตวายระยะที่ 4 จะทำให้ไตพ่อทำงานหนักขึ้น ตอนแรกแม่จะไม่ฟัง ฉันต้องอธิบายระบบทำงานของไตให้แม่ฟัง (อธิบายเท่าที่ตัวเองเข้าใจ ฮ่าาาา) ไม่รู้จะเข้าใจไหม ไม่แน่ใจ แต่แม่ก็ยอม
       วันนี้เป็นวันแรกที่ต้องเลี้ยงผี ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือพ่อกับแม่สบายใจขึ้น พ่อบอกว่าอาการปวดเท้าขวาดีขึ้น  แต่ทำไมเท้าซ้ายเริ่มมีอาการปวดอีก  คืนนี้ฉัน พี่สาว น้องสาว เราจึงสลับกันดูแลพ่อ (ประคบขา ประคองพ่อไปฉี่) ส่วนแม่ก็นอนอยู่ใกล้ ๆ พ่อ แต่ฉันก็รู้แหละว่าแม่แค่ข่มตานอนเฉย ๆ ทั้งที่จริงแม่นอนไม่หลับเลย

วันที่ 29 กันยายน 2560 อาการของพ่อก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะทำพิธีกรรมเลี้ยงผียังไม่เสร็จ ต้องทำอีก 1 วัน คือเย็นวันนี้ ระหว่างวันพ่อปวดมากขึ้น นอนไม่ค่อยหลับ พองีบหลับได้หน่อยพ่อก็สะดุ้ง ขาข้างที่ปวดจะกระตุก ทำให้พ่อปวดมากขึ้น กินยาแก้ปวดก็ไม่ได้ดีขึ้น แตพ่อก็ต้องทน ทนปวดอยู่อย่างนี้ และเริ่มบ่นมากขึ้น
       พ่อ : อาจเพราะพ่อปลูกแก้วมังกรหลังบ้านแน่ ๆ เลย ไปขุดออกให้หน่อย
       ฉัน : ไม่เกี่ยวหรอกพ่อ อย่าคิดมากสิ ที่พ่อปวดแบบนี้เพราะพ่อกินไก่มาไง 
       ผ่านไปสักพัก พ่อเริ่มบ่นงึมงำ "นี่ถ้าเดินได้จะไปขุดแก้วมังกรออกหน่อย" พูดซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้แหละ ฉันได้ยินก็รู้สึกไม่ดี เลยบอกให้น้องสาวไปขุดออกให้หน่อย  หลังจากที่ขุดแก้วมังกรออกแล้ว
       ฉัน : เป็นไงละ อาการดีขึ้นมั้ย
       พ่อ : อื่อ..เท้าเย็นขึ้น ไม่ปวดแสบปวดร้อนละ 
       ฉัน : @#%^%^$%?

      ส่วนแม่ก็ไม่ต่างจากพ่อ บ่นงึมงำ ๆ เข้าหู
แม่ : นี่นะ ถ้าเลี้ยงผีตั้งแต่รู้จากหมอดู พ่อก็คงหายไปแล้ว (นางไม่ได้ตำหนิฉันตรง ๆ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าคราวนี้ผิดที่ฉันล่ะ ฮ่าาาาา ได้แต่เงียบไว้ เงียบไว้)  
...............................................................

      พ่อ : พ่อเห็นในทีวี เขาเอาปลิงมาดูดเลือดออก  พ่ออยากได้ปลิงมาดูดตรงที่ปวดให้พ่อบ้างจัง  
       ฉัน : ทำไปเรื่อยพ่อ เดี๋ยวก็ติดเชื้อหรอก
       พ่อ : ไม่ติดหรอก พ่อเคยเอาทากมาดูดนิ้วเท้าพ่อนะ ตอนนั้นก็บวมและปวดแบบนี้แหละ ดูสิตอนนี้ตรงที่ทากดูดไม่ปวดเลย 
       ฉัน : แหม ๆ ๆ จะเอาให้ได้ใช่ไหมปลิงอ่ะ มันไม่มีจะเอาจากไหนละ ติดเชื้อมานี่อาการหนักกว่าเดิมเลยนะ
       พ่อ : อื่อ (และพ่อก็จะพูดถึงปลิงซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนเรารำคาญ ยิ่งบ่นยิ่งทำให้พ่อไม่สบายใจ ฉันก็ไม่สบายใจ)

ฉันก็เลยโทรระบายความในใจให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกแถวบ้านปลิงเยอะมาก เขาจึงหามาให้ได้ประมาณ 10 กว่าตัวมั้ง หลังจากบอกพ่อ เห็นชัดเลยว่าสีหน้าของพ่อก็ดีใจ

ตกเย็น ก็เข้าสู่พิธีเลี้ยงผีในวันสุดท้าย (มีพิธีทั้งหมด 2 วัน ซึ่งนี่ก็ลดจากเดิมที่มีการทำพิธีทั้งหมด 4-5 วัน) ในการทำพิธีกรรม ทุกคนจะกินข้าว+เนื้อไก่ หยิบมาพอดีคำ การกินจะต้องให้พ่อกินก่อน ตามด้วยแม่ และลูกคนแรก ลูกคนถัดมา และไล่ไปตามลำดับจนหมดสมาชิกในครอบครัว  กรณีของครอบครัวฉัน พี่สาวของฉันมีลูกสองคน หลังจากที่พ่อ แม่ พี่สาว ฉันหยิบข้าวคำแรกมากินแล้ว ฉันจะต้องรอให้หลานฉันอีกสองคนทานให้เสร็จก่อน ฉันและน้องสาวถึงจะกินได้  หลังกินข้าวแล้วก็จะจิบน้ำในจอกคนละจิบ โดยเรียงลำดับเหมือนเดิม แต่วันนี้มีเหตุนิดหน่อย หลานสาวฉันเกือบทำเรื่อง นางงอแงไม่ยอมจิบน้ำ นางบอกว่าน้ำไม่อร่อย  ตอนนั้นใจฉันหล่นไปที่ตาตุุ่มเลย ใจแป้วมากกกกกก กลัวพิธีจะไม่เสร็จเรียบร้อย พอมองไปที่หน้าพ่อแม่ ก็ดูท่าทางไม่ค่อยดี ก็เลยต้องหาทางปลอบหลานสาว นานกว่า 10 นาที นางถึงยอมจิบน้ำด้วยดี....เฮ่อออออออออ ค่อยโล่งอกไปที   

หลังจากนั้นถึงจะหยิบข้าว+เนื้อไก่ให้บรรพบุรุษของพ่อ ใส่ในใบตองและรินน้ำก่อนห่อเก็บให้เรียบร้อย

วันที่ 30 กันยายน 2560 อาการปวดไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังคงปวดต่อเนื่อง และปวดมากขึ้นตรงเข่าทั้งสองข้าง พี่สาวและหลาน ๆ กลับบ้านไปแล้ว (เพราะพี่สาวแยกเรือนออกไปแล้ว วันนี้ต้องกลับบ้านและในวันนี้ห้ามพี่สาว และหลานกลับมาที่บ้านพ่อแม่โดยเด็ดขาด ถ้ากลับมาถือว่าพิธีกรรมไม่เสร็จสมบูรณ์) เหลือแต่ฉันและน้องสาวที่คอยดูแลพ่อ 
   ฉัน : ทำพิธีเสร็จแล้วไปหาหมอกันนะพ่อ
   พ่อ : ยังไปไม่ได้ หลังทำพิธีแล้วต้องนอนทิ้งท้ายอีกคืน ถึงจะไปค้างคืนที่อื่นได้ (พ่อรู้แล้วละว่าไปโรงพยาบาลคราวนี้ได้ไปนอนแน่นอน)
   ฉัน : เคร...ถ้าพ่อยังทนไหวอีกนะ แต่บอกเลยว่าลูกทนไม่ไหวแล้ว ทรมานแทน จะไปเมื่อไรก็บอกละกัน (ตอนนี้เริ่มโมโหหนักมาก)

วันนี้เพื่อนเอาปลิงมาให้ แล้วแม่ก็เริ่มกระบวนการดูดเลือดโดยทาก (ตอนนี้ฉันไม่อยู่ดูพ่อละ ไม่กล้าดูจริง ๆ) หลังจากนั้นแม่เล่าด้วยความตื่นเต้น ให้ฟังว่าทากทำงานทุกตัว มันไปเกาะกลุ่มกันดูดเลือดตรงนั้น ตรงนี้ พร้อมกับชี้ร่องรอยที่เท้าของพ่อให้ดู

ตกบ่ายเพื่อนพ่อมาเยี่ยม แนะนำให้นำรังผึ้งผสมกับเหล้าขาว 35 ดีกรี มานวด จะดีขึ้น  ฉันได้ยินแล้วบอกแม่เลยว่าแอลกอร์ฮอร์จะทำให้พ่อปวดมากขึ้น แต่แม่ไม่สนจ้าาาาา แม่จัดหามาเลย และทำการนวดให้พ่อ คราวนี้พ่อเริ่มปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากช่วยประคบและให้กำลังใจ

23.40 น. พ่อทนไม่ไหวแล้ว บอกให้ฉันไปส่งที่โรงพยาบาล (พ่อไม่รู้หรอก รอเวลานี้มานานแค่ไหนแล้ว)

พอถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่เวรฉีดยาแก้ปวดให้พ่อเริ่มปวดน้อยลง สาย ๆ หมอมาตรวจและดูดน้ำตรงเข่าออกให้ พ่อก็เริ่มดีขึ้น  หมอบอกว่าไม่มีเชื้อในกระแสเลือดนะ แต่ค่ายูริกขึ้นสูงมาก พ่อจะนอนโรงพยาบาลหรือกลับบ้านก็ได้ ฉันบอกเลยว่าให้พ่อนอนที่โรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการก่อน นอนอยู่โรงพยาบาล 2 คืน จนพ่ออาการดีขึ้น หายปวด และเดินไปนิดหน่อย 

#ฉันเองที่ป่วยแทน เป็นหวัด มีไข้  ไม่ได้นอนหลับสนิทมากว่า 7 วัน

#เหตุการณ์ครั้งนี้ แค่อยากมาบอกเล่าถึงความยากลำบากกับการดูแสุขภาพที่ยังต้องพึ่งพาความเชื่ออยู่ 
#ฉันไม่ปฏิเสธความเชื่อ เพราะฉันเชื่อว่ามันไม่ได้รักษาโรคที่ตรงเหตุ แต่ฉันรู้ว่ามันรักษาใจได้
#ฉันไม่ได้ปฏิเสธสมุนไพร เพราะฉันเชื่อว่ามันต้องมีดี ไม่อย่างนั้นไม่สืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ เพียงแต่ถ้ามีคนมาศึกษาให้รู้ว่าสมุนไพรตัวไหนรักษาอาการอะไรได้บ้าง คงจะดี....
#การก้าวข้ามพิธีกรรม ความเชื่อมันในยุคของพ่อแม่ฉันยังคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก 
พิธีกรรม ความเชื่อบางเรื่องก็ดี คงรักษาและสืบต่อ แต่หลายเรื่องฉันก็อยากให้กลายเป็นเพียงแค่เรื่องราวให้ลูกหลานได้เรียนรู้ก็พอ

ทั้งนี้เกิดความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่คือ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปทั้งหมดที่เล่ามาเลย เพราะตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลยจริง ๆ

ตลอดช่วงเวลาที่อยู่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล รู้เลยว่าหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาลทำงานหนักมาก แถมยังต้องเผชิญกับความเชื่อของชนเผ่าอีกหลากหลาย ขอแสดงความขอบคุณ และเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ

หมายเลขบันทึก: 638957เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2017 14:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 ตุลาคม 2018 12:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

๕๐ - ๕๐ กระมังสำหรับความเชื่อที่ศรัทธาอย่างแน่นหนา

ต้องให้กำลังคุณลูกแล้วกันเนาะ ;)...

อำนาจ ศรีรัตนบัลล์

คุณเล่าเรื่องเก่ง ผมต้องคอยลุ้นอยู่หลายรอบว่าคุณจะกรี๊ดตอนไหน ต้องขอชมที่คุณยังรักษาหัวใจที่งดงามไว้ได้ ไม่ทำให้พ่อแม่ระทมใจ (และน่ารักที่ยอมรับว่าโมโหอยู่ข้างใน)

เรื่องความเชื่อ เมื่อเทียบกับคนในเมืองที่ยังสยบอยู่กับการโฆษณาชวนเชื่อ น่าจะต่างกันเพียงที่บริบทแต่ความรุนแรงไม่น่าจะต่างกันมากนัก 

ผมเคยเป็นหมอจึงขอให้ความเห็นในเรื่องความเจ็บป่วย พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบการสอนธรรมะว่าเหมือนกับการรักษาโรค คือโรคมีสามประเภท ประเภทหนึ่งรักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย ประเภทที่สองรักษาก็หายไม่รักษาก็หาย ประเภทที่สามรักษาจึงจะหายไม่รักษาอาจถึงตาย แสดงว่าเรื่องโรคสามประเภทน่าจะเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ในมุมมองหนึ่งคนเจ็บป่วยที่ได้รับประโยชน์จริงๆจากการรักษาคือประเภทที่สามซึ่งเป็นส่วนน้อย แต่ในอีกมุมมองหนึ่งคนเจ็บป่วยส่วนมากรักษายังไงๆ (หรือไม่รักษา) ก็ไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่หาย (ดีใจ) ส่วนน้อยตาย (เสียใจแต่ยอมรับได้หรือต้องยอมรับอยู่ดี) ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะแผนโบราณหรือแผนปัจจุบันจึงพออยู่ได้ตลอดมา เข้าใจแบบนี้แล้วจะได้หงุดหงิดน้อยลง

คุณพ่อของคุณเป็นโรคเก๊าต์ เพราะข้อเข่าและข้อขาบวมแดงปวดและหายได้เร็ว จึงเป็นโรคข้อที่น่ารักที่สุด (ในมุมมองหนึ่งถือว่าโชคดี) อาจเป็นกรณีที่ใช้เปลี่ยนความเชื่อได้บ้าง ถ้ามีอาการเกิดขึ้นอีกคุณหมอคงให้ยาเตรียมไว้แล้ว ก่อนจะกินยาน่าจะระดมญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน (ชุดเก่าที่เคยมาแนะนำนั่นแหละ) ให้มาดู กินยาให้ดู แล้วนัดให้มาดูอีกครั้งวันรุ่งขึ้นเวลาเดิม จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พอจะทำให้เชื่อได้ว่าเกิดจากยาที่กิน อย่างไรก็ตาม คุณหมอคงจะให้ยามากินป้องกัน ทำให้ไม่เกิดอาการอีกนาน ในระหว่างนี้ อาจใช้วิธีให้คุณแม่พาเดินสายไปอวดตามบ้านชุดนั้นนั่นแหละ บรรยายสรรพคุณยาจากประสบการณ์ตรงได้ด้วยความภาคภูมิใจ

วิธีการข้างต้น นอกจากจะเป็นกิจกรรมเปลี่ยนความเชื่อของชาวบ้านที่คุณต้องการแล้ว ยังจะเป็นตัวชี้วัดด้วยว่า อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็เปลี่ยนแล้ว (หากเริ่มออกเดินสาย) 

"การเลี้ยงผีเป็นการขอให้ผีบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูก ๆ ที่เป็นผู้หญิง ที่มีภัยรอบตัวมากกว่าลูกผู้ชาย" 

เห็นดีกับความเชื่อนี้นะคะ  ยังเชื่อมั่นในคุณงามความดีของบรรพบุรุษที่จะปกปักรักษาเรา  และเราก็คงทำตัวเป็นผู้หญิงดี (เหมือนที่บรรพบุรุษสั่งสอน สั่งสม ถ่ายทอด สืบต่อ ๆ กันมาผ่านแม่  พ่อ  ครอบครัว)  เป็นคนดีให้ความดีปกปักรักษาตัวเราเองด้วย  ควบคู่กันไป

และชอบความเห็นของคุณหมออำนาจ  ข้างบนนะคะ  "บางเรื่อง" ที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์  ทางการแพทย์  ก็อาจจะค่อย ๆ เปลี่ยนความเชื่อได้บ้าง  คงไม่ใช่แค่คุณพ่อรายเดียว  อาจจะต้องถูก "ผลิตซ้ำ"  ซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ  จนทางการแพทย์รักษาได้จริง  ก่อเกิด "ศรัทธา" จึงจะพอค่อย ๆ เบี่ยงเบนบางคน  บางกลุ่มให้เชื่ออีกสิ่งได้

หรือเชื่อควบทั้งสองศรัทธา  ถ้าการกระทำไม่ขัดแย้งกันเอง  ไม่เกิดผลเสียมากขึ้น  หรือช่วงเวลาเหมาะสม

ติตตามบันทึกของคุณดอกหญ้าน้ำมาพอสมควร  ก็ยังลุ้นว่าเรื่องราวจะคลี่คลายอย่างไร  เอาใจช่วยนะคะ  เรื่องของความเชื่อไม่อาจแก้ไขด้วยความรู้ตรง ๆ  ยังมีหลาย ๆ ๆ ๆ สิ่งที่ต้องค่อย ๆ ทำค่ะ (ไม่งั้นคนอ้วนคงผอม  หุ่นดีทั่วทั้งประเทศแล้ว  ทั้ง ๆ ที่ความรู้ก็บอกว่า  ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านลบของสุขภาพ  แต่คนดูเหมือนมีความรู้ดี  จบปริญญาตรี  โท  เอก  อ้วนโดยสมบูรณ์ BMI เกิน 30  ยังเยอะแยะเลยค่ะ)

ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ อำนาจ ศรีรัตนบัลล์

คงต้องค่อย ๆ เปลี่ยนค่ะ เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงมีผลต่อจิตใจ 

แต่คนที่เปลี่ยนยากที่สุดคือแม่ นี่เองค่ะ ล่าสุดมีการเอาเขี้ยวหมูไปลูบ ๆ ถู ๆ ตรงเท้าของพ่อ

ทำให้พ่อปวดมากขึ้น นี่น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้แม่เห็นว่าการลูบคลำ นวดคลึงตรงที่ปวด

จะทำให้ปวดมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ธิ

ตอนนี้พ่อก็อาการดีขึ้นค่ะ แต่แกมีความกังวลว่าจะเดินไม่ได้ แล้วแกก๋พยายามเดินหนักมาก บวกกับแม่ก็นำเอาคำแนะนำของเพื่อนบ้านมาใช้อีก  ทำให้ข้อเท้าที่ปวดเบา ๆ อยู่แล้ว มีอาการปวดมากขึ้น จึงพาไปหาหมออีก หมอบอกว่าอย่าทำอะไรกับบริเวณที่ปวด ถ้าบวมให้เอาผ้าเย็นประคบเท่านั้น อย่าเพิ่งขยับเท้าให้มาก  ตอนนี้พ่อเลยบอกว่าพ่อจะไม่ไปไหนละ พ่อจะไม่ยอมให้แม่นวดให้ รอให้หายปวดแล้วพ่อจะค่อย ๆ ขยับเท้าและฝึกเดินต่อไปค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท