กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนต่างด้าวในประเทศไทย
การที่คนต่างด้าวหรือชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยมีการติดต่อทำการค้ากับคนไทย จัดได้ว่าเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ซึ่งผลของนิติสัมพันธ์นั้นย่อมตกอยู่ภายใต้กฎหมายเอกชนและกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลของไทย
จากหลักดังกล่าว หากคนต่างด้าวที่ได้พำนักอยู่ในประเทศไทยนั้นได้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์ขึ้น หรือเป็นคนต่างด้าวที่เป็นคนชาติที่เป็นภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ให้ความคุ้มครองในเรื่องลิขสิทธิ์ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ทำให้ประเทศไทยต้องมีหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ของคนต่างด้าวเหล่านั้น (เรียกตามกฎหมายลิขสิทธิ์ว่า “ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ”) หรือในกรณีที่คนต่างด้าวประสงค์ที่จะได้รับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ของตน เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ฯลฯ จึงได้ดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนในประเทศไทยโดยผ่านทางตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทย นิติสัมพันธ์ระหว่างคนต่างด้าวเหล่านั้นกับหน่วยราชการไทยในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทาปัญญา จัดเป็นนิติสัมพันธ์ตามตามกฎหมายมหาชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ[1] เพราะในนิติสัมพันธ์นี้คู่กรณีมีสถานะไม่เท่าเทียมกัน ส่วนนิติสัมพันธ์ของคนต่างด้าวกับตัวแทนซึ่งเป็นเอกชนที่อยู่ในประเทศไทย จัดเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ เพราะมีคู่กรณีมีฐานะเท่าเทียมกันระหว่างตัวการตัวแทน อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่านิติสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง แต่ตกอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เนื่องจากเป็นนิติสัมพันธ์ของเอกชน(บุคคล)ที่มีลักษณะระหว่างประเทศ
จากปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนเห็นว่ากระบวนการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่คนต่างด้าวในประเทศไทย ย่อมมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลด้วย
งานเขียนชิ้นนี้ จึงมุ่งศึกษาในเรื่องการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนต่างด้าวในประเทศไทย โดยเน้นศึกษาในส่วนกฎหมายลิขสทธิ์ กฎหมายเครื่องหมายการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร เพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เห็นว่า
“กฎหมายระหว่างประเทศแผนกดคีบุคคลก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ความคุ้มครองให้แก่ทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ในทางหนึ่งเช่นกัน”
ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิติในทางระหว่างประเทศและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ ด้วย และเป็นเหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่นักกฎหมายในปัจจุบันต้องสนใจและศึกษากฎหมายแขนงนี้ โดยจะขอนำเสนอในแง่มุมดังต่อไปนี้
I การให้ความคุ้มครองลิขสิทธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ได้กำหนดในการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ของคนต่างด้าวหรือที่เรียกตามกฎหมายฉบับนี้ว่าการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ โดยกำหนดไว้ในมาตรา61 คือ
งานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์และสิทธิของนักแสดงของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธินักแสดงซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรืองานอันมีลิขสิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้
นอกจากนั้นกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดเงื่อนไขการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศไว้ในมาตรา 8 โดยกำหนดไว้ว่า ให้ผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้น ภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ยังไม่ได้มีการโฆษณางาน ผู้สร้างสรรค์ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย หรืออยู่ในราชอาณาจักรหรือเป็นผู้มีสัญชาติหรืออยู่ในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ตลอดระยะเวลาหรือเป็นส่วนใหญ่ในการสร้างสรรค์งานนั้น
(2) ในกรณีที่ได้มีการโฆษณางานแล้ว การโฆษณางานนั้นในครั้งแรกได้กระทำขึ้นในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือในกรณีที่การโฆษณาครั้งแรกได้กระทำนอกราชอาณาจักรหรือในประเทศอื่นที่ไม่ได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาตคีอยู่ด้วย หากได้มีการโฆษณางานดังกล่าวในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก หรือผู้สร้างสรรค์เป็นผู้มีลักษณะตามที่กำหนดไว้ใน (1) ในขณะที่มีการโฆษณาครั้งแรก
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ได้แก่ อนุสัญญาเบอร์นฯ และความตกลง TRIPs [2] กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับแทนพระบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. 2521 และมีผลยกเลิกพระราชกฤษฎีกา ฉบับปีพ.ศ. 2536 เหตุที่มีการใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้ เป็นเพราะประเทศไทย ได้เข้าเป็นภาคีในข้อตกลง TRIPs ที่มีข้อกำหนดให้ประเทศภาคี ต้องปฎิบัติตามสนธิสัญญาเบอร์น ฉบับกรุงปารีส ค.ศ.1971 มาตรา 1-21 ซึ่งมีเนื้อหาในการให้ความคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ให้แก่เจ้าลิขสิทธิ์ในลักษณะที่เข้มข้นกว่าอนุสัญญาเบอร์น ฉบับกรุงเบอร์ลิน 1908
ดังนั้น กฎหมายลิขสิทธ์ พ.ศ.2537 จึงมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับอนุสัญญาเบอร์นฯ ฉบับกรุงปารีสดังกล่าว และเมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพันธกรณีของประเทศที่มีต่ออนุสัญญาเบอร์นฯ ฉบับกรุงเบอร์ลิน 1908 พร้อมกับข้อสงวน6 ข้อ มาผูกพันกับอนุสัญญาเบอร์นฯ ฉบับกรุงปารีส ค.ศ.1971 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ .2 กันยายน 2538 เป็นต้นมา จึงส่งผลให้ปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีข้อสงวนทั้ง 6 ข้อ ซึ่งในข้อสงวนข้อที่ 3 นั้น ได้กำหนดให้เจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่เป็นคนต่างด้าว ต้องดำเนินการจัดให้มีการแปลหรืออนุญาตให้บุคคลอื่นแปลงานวรรณกรรมของตนเป็นภาษาไทยภายในกำหนด 10 ปี นับแต่ที่ได้โฆษณาครั้งแรก
ดังนั้น ภายหลังจากวันดังกล่าว แม้เจ้าของลิขสิทธ์ในงานวรรณกรรมซึ่งเป็นคนต่างด้าว จะไม่ได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นภายในกำหนด 10 ปี นับแต่ที่ได้โฆษณาครั้งแรก สิทธิในการแปลงานนั้นยังคงมีอยู่ หากบุคคลใดมาดัดแปลงงานโดยการ แปลงานเป็นภาษาไทย โดยมิได้รับอนุญาต บุคคลผู้นั้น ย่อมมีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธ์( รายละเอียด โปรดดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797/2548)
2. การให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าของคน ต่างด้าว
กฎหมายเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย ซึ่งก็คือพระราชบัญญัติครื่องหมายการค้า พ.ศ .2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2543 ได้กำหนดให้เจ้าของเครื่องหมายการค้า ต้องนำเครื่องหมายการค้าของตนมายื่นขอจะทะเบียนในประเทศไทย จึงจะได้รับความคุ้มครองในประเทศไทย กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดว่า ผู้ที่จะขอความคุ้มครองในเครื่องหมายการค้านั้น จะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนต่างด้าวที่ประสงค์จะให้เครื่องหมายการค้าของตนได้รับความคุ้มครองในประเทศไทย ก็สามารถนำเครื่องหมายการค้าของตนมายื่นจดทะเบียนได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
โดยมาตรา 6 แห่งกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าไว้ว่า เครื่องหมายการค้าอันพึงรับจดทะบียนได้ ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้(1) เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ(2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ และ(3) ไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว
หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้กับเครื่องหมายการค้าที่ยื่นขอจดทะเบียนโดยมิได้แบ่งแยกว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของคนไทยหรือคนต่างด้าว ดังนั้น เราสามารถกล่าวได้ว่า ความเป็นต่างด้าวไม่ได้เป็นอุปสรรคในการขอรับความคุ้มครองตามกฎหมายเครื่องหมายการค้าของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม หากคนต่างด้าวประสงค์ที่จะเข้ามายื่นคำขอจดทะเบียนในประเทศไทย กฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องของการที่จะต้องมีตัวแทนในประเทศไทยเพื่อทำการแทนในการยื่นขอจดและรวมทั้งทำหน้าที่ในการรับส่งเอกสารแทนคนต่างด้าวหรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “ต้องมีสถานที่ส่งบัตรหมายในประเทศ” ทั้งนี้เป็นไปตามหลักในมาตรา 10 ที่กำหนดไว้ว่า เครื่องหมายการค้าอันพึงรับจดทะเบียนได้นั้น ผู้ขอจดทะเบียนหรือตัวแทน ต้องมีสำนักงานหรือสถานที่ที่นายทะเบียนสามารถติดต่อได้ตั้งอยู่ในประเทศไทย
อนึ่ง มีบางกรณีที่เครื่องหมายการค้าของคนต่างด้าวที่ยังไม่ได้มีการนำมายื่นขอจดทะเบียนในประเทศไทย กฎหมายเครื่องหมายการค้าก็ได้ให้ความคุ้มครอง แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภาย่ใต้เงื่อนไขที่ว่าเครื่องหมายการค้านั้น ต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป (WELL KNOWN MARK) ซึ่งเครื่องหมายการค้าของคนต่างด้าวในลักษณะนี้ จะต้องเป็นเครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยผลของความมีชื่อเสียงของเครื่องหมายการค้าประเภทนี้ แม้ยังไม่ได้มีการนำมาจดทะเบียนในประเทศไทย ถ้าหากมีบุคคลอื่นพยายามที่จะนำมายื่นขอจดทะเบียน นายทะเบียนเครื่องหมายการค้า คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า หรือแม้แต่ศาลก็จะไม่รับพิจารณาในการให้ความคุ้มครอง เพราะถือว่าเป็นการนำเอาเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปของบุคคลอื่นมายื่นขอจดทะเบียนโดยพลการอันเป็นสิ่งที่ขัดต่อมาตรา 8(10) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ .2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543
สำหรับตัวอย่างของเครื่องหมายการค้าในลักษณะนี้ได้แก่ เครื่องหมายการค้าของสโมรสรฟุตบอลทีมชาติอารณเจนตินา ทีมสโมสรเอซี มิลาน จูเวนตุส ปาร์มา เอซี และ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม (รายละเอียดปรากฎตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8834/2542 ) เป็นต้น
นอกจากนั้น เครื่องหมายการค้าของคนต่างด้าวที่ยังไม่ได้มีการขอจดทะเบียนในประเทศไทย หากมีบุคคลที่ไม่สุจริตได้นำเอาเครื่องหมายการค้านั้นไปปลอมหรือเลียน ประมวลกฎหมายอาญาในมาตรา 272-275 ก็ยังคงให้ความคุ้มครองเครื่องหมายเหล่านี้อยู่ด้วย ปรากฎตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2545 ซึ่งเป็นเรื่องเครื่องหมายการค้า KIPLING
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในเรื่องนี้จะเป็นเรื่องในทางอาญาที่ไม่เกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ในทางแพ่งของเอกชนในทางระหว่างประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล แต่ผู้เขียนก็อยากที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย เพราะเป็นประเด็นส่วนหนึ่งในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนต่างด้าวในประเทศไทย
3.การให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรของคนต่างด้าว
กฎหมายสิทธิบัตรของประเทศไทยคือพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542 ได้กำหนดวิธีการในการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรเอาไว้ว่า บุคคลที่ประสงค์จะได้รับความคุ้มครอง ต้องมาดำเนินการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนไทยหรือคนต่างด้าวโดยอยู่ภายใต้หลักในมาตรา 5 ที่กำหนดไว้ว่า ภายใต้บังคับมาตรา 9 การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้ (1) เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ (2) เป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และ (3) เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
ส่วนบุคคลที่จะสามารถยื่นขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทยได้ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 14 คือ(1) มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
(2) มีสัญชาติของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญา หรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
(3) มีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้บุคคลสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยขอรับสิทธิบัตรนั้นได้
(4) มีภูมิลำเนา หรืออยู่ในระหว่างการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมอย่างแท้จริงและจริงจังในประเทศไทยหรือประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบัตรซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
จะเห็นได้ว่า แม้ในปัจจุบัน ประเทศไทยจะยังไม่ได้เข้าเป็นภาคึในความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิบัตร เช่น PATENT COOPERATION TREATY) แต่ประเทศไทยก็เป็นภาคีใน WTO ซึ่งผูกพันตามข้อตกลง TRIPs และผูกพันตามหลักต่างตอบแทนในทางระหว่างประเทศ ดังนั้น ความเป็นคนต่างด้าวจึงไม่เป็นอุสรรคในการนำสิทธิบัตรมายื่นขอจดทะเบียนในประเทศไทย เพียงแต่มีเงื่อนไขตามที่มาตรา 6(4) โดยกำหนดให้ผู้ที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไว้แล้วในต่างประเทศ หากประสงค์ที่จะมายื่นคำขอนั้นในประเทศไทย จะต้องมาดำเนินการภายในกำหนด 18 เดือน มิฉะนั้นจะถือว่าคำขอรับสิทธิบัตรนั้นขาดความใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเงื่อนไขเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับการขอรับสิทธิบัตรโดยบุคคลต่างด้าว คือ ต้องมอบอำนาจให้ตัวแทนซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้กับอธิบดีเป็นผู้กระทำการแทนในราชอาณาจักร ทั้งนี้เป็นไปตาม ข้อ 13 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 ( พ.ศ. 2542) ออกตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 จึงสามารถกล่าวได้ว่า ความเป็นต่างด้าวไม่เป็นอุสรรคในการขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และส่งผลให้ขณะนี้ คำขอรับสิทธิบัตรที่ยื่นในประเทศไทยนั้น มากกว่า 90% เป็นคำขอรับสิทธิบัตรของคนต่างด้าว
จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนต่างด้าวในประเทศไทยดังกล่าว ทำให้ทราบว่านิติสัมพันธ์ทางมหาชนในทางระหว่างประเทศและนิติสัมพันธ์ของเอกชนในทางระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลนั้น มีความเกี่ยวข้องและมีส่วนสัมพันธ์กับการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของคนต่างด้าวในประเทศไทย การที่กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลซึ่งสอดแทรกอยู่ในกฎหมายอื่นในลักษณะเช่นนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าจะทำให้เกิดการตื่นตัวในการให้การศึกษากฎหมายคดีบุคคลนี้กันมากขึ้น
บรรณานุกรม- พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537- พระราชบัญญัติครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่2) พ.ศ.2543- พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 3 พ.ศ.2542- พันธุ์ทิทย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ภาคนำ: แนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพฯ บริษัทสำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด,2548) 1 พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, คำอธิบายกฎหมายุระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ภาคนำ: แนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ, พิมพ์ครั้งที่ 6( กรุงเทพฯ บริษัทสำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด ,2548 ) น62
2 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ .2545
มาติดตามอ่านค่ะ ได้รับความรู้อีกแล้ว(ชอบมาก)