พงษ์จันทร์ 3


ยิ้มอยู่เสมอ 

 ทุกครั้งที่รู้ว่าปากกำลังยิ้ม 

 เราได้ออกจากใจคิดมาอยู่กับใจรู้ 

 เป็นวิธีออกจากความคิดที่ง่ายที่สุด

อุปสรรคของผู้ปฎิบัติคือความคิด 

 เมื่อจะนั่งสมาธิ พยายามทำใจให้สงบ 

 มันไม่เคยสงบเลย คิดตลอดเวลา

ลองยิ้ม 

รู้ว่าปากกำลังยิ้ม 

 รู้ว่าใจกำลังสบาย 

 รู้ว่าร่างกายกำลังผ่อนคลาย 

 รู้ว่าลมหายใจค่อยๆเบา ละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ 

 ยิ้มมากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น 

ลมละเอียดมากขึ้นจนหายไปจากความรู้สึก 

 เหลือแต่ธรรมชาติรู้สงบ นิ่ง สบาย

เทคนิคสำหรับท่านที่ชอบนั่งสมาธิค่ะ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

อ่านเรื่องราวดีๆจากหนังสือ the celestine philosophy นะคะ

กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว 

 ที่จิตสำนึกใหม่ได้เข้าสู่โลกมนุษย์ 

 เป็นสิ่งที่เรียกว่า ข้ามพ้นตัวตน หรือจิตวิญญาณ 

 ท่านอาจรู้สึกถึงความกระจ่างชัดในทิศทางการดำเนินชีวิต 

 อาจสังเกตเห็นเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นแบบถูกที่ถูกเวลา 

 ชักนำคนที่ถูกต้องมาให้ 

 เพื่อหนุนส่งชีวิตเราไปในทิศทางใหม่ที่มีความหมายมากขึ้น

ขอให้รู้ว่าแท้จริงแล้ว

ชีวิตเป็นเรื่องของการคลี่คลายทางจิตวิญญาณ

ที่มุ่งสู่ระดับที่สูงขึ้น 

เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น 

 เราจะสามารถเข้าร่วมกระบวนการนี้ 

 สังคมมนุษย์จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ 

 สู่วิถีชีวิตแบบใหม่ 

 ซึ่งรวมเอาสิ่งดีที่สุดของวัฒนธรรมเดิม 

 และสร้างวัฒนธรรมใหม่ทีเป็นเป้าหมายสูงสุด 

คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ในอดีตที่ผ่านมา 

คนมีทัศนคติแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง 

 และมักเรียกร้องเอาจากคนรอบตัว

จนอีกฝ่ายแทบตอบสนองให้ไม่ได้ 

 ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องจากกันมากจนเกินขอบเขต 

 โดยหวังว่าอีกฝ่ายต้องเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ 

 ต้องเข้ามาเกาะเกี่ยวชีวิตของกันและกันตลอดเวลา 

 ไม่นานก็เกิดการต่อสู้ขัดแย้งระหว่างอัตตาของแต่ละฝ่าย 

 เพราะพยายามเอาชนะกัน 

 ทำให้การใช้ชีวิตร่วมกับใครนานๆเป็นเรื่องที่ยากมาก

แต่ปัญหานี้จะค่อยๆสิ้นสุดลง 

 สุดท้ายมนุษย์จะรู้วิธีการเข้าถึงความสงบสุข และความรักจากภายใน

ขณะนี้ ผู้ที่ได้รับรู้และเข้าถึงกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น 

 และจะมีจำนวนมากพอจนเปลี่ยนสังคมมนุษย์ทั้งหมดได้ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

วันนี้คุณยิ้มหรือยัง 

  การฝึกสติ เริ่มง่ายๆด้วยการยิ้ม 

  จะรู้สึกได้ถึงความสบายใจ 

  ใจเป็นกุศล 

  ยิ้มทั้งวัน มีสติทั้งวัน 

  ใจสบายทั้งวัน

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

คุณโจเคยเตือนว่า 

บางครั้ง คนที่ได้สัมผัสความเงียบแล้ว 

 รู้จักแล้วว่าความเงียบนี้คือที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่มีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ 

 จึงเกิดความลำพองใจว่า "กู" ไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป 

 "กู" รู้วิธีจัดการกับมันแล้ว 

 "กู"สามารถมีความเงียบเป็นที่หลบภัยที่จะเข้าไปอยู่ทุกครั้งที่เกิดความทุกข์ 

 เกิดเป็นอัตตาตัวตนที่เข้าไปยึดความเงียบ 

 ทั้งที่ในการเข้าไปอยู่กับความเงียบนั้น 

 วัตถุประสงค์หลักคือการถามเข้าไปในความเงียบว่าใครทุกข์ 

 เมื่อพบว่า ไม่มีใครทุกข์ 

อัตตาตัวตนก็จะสลายไปทีละน้อย

ความเคยชินในการเข้าไปยึด เข้าไปเป็นเจ้าของนี้ รุนแรงมาก 

ไม่ใช่จะหมดไปได้ง่ายๆ 

 ต้องอาศัยการมีสติ 

เฝ้าสังเกตตัวเองอย่างลึกซึ้ง 

 หรือมีกัลยาณมิตรช่วยบอก 

 เพราะบางที เราดูตัวเองไม่ออก 

ว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นมีอัตตาตัวตนแฝงอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า

ครูบาอาจารย์บอกว่า 

สิ่งที่มีอัตตาตัวตนอยู่เบื้องหลังได้แก่อาการของใจเหล่านี้ 

 การดึงเข้า อยากได้ 

 การผลักออก ไม่อยากได้ 

 การฟูฟ่องของความพอใจ 

 การหม่นหมองของความไม่พอใจ 

 การมีเป้าหมายว่าเราทำสิ่งนี้เพื่อจะให้เกิดบางสิ่งขึ้นมา 

ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี จะสมเหตุสมผลเพียงใดก็ตาม 

 การเปรียบเทียบ ตัดสิน ว่าสิ่งหนึ่งดีกว่า อีกสิ่งหนึ่งเลวกว่า 

ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

เหล่านี้คืออาการของอัตตาตัวตน 

เมื่อสังเกตเห็นมัน ถ้าเล็กน้อยแค่เห็นมัน มันก็จะหายไปเอง 

 ถ้าอาการนี้ชัดเจน ก็ให้ถามเข้าไปในความเงียบ ว่าใครรู้สึกเช่นนั้น

ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆนะคะ 

ในแต่ละวันเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรที่จะกระตุ้นให้อัตตาตัวตนก่อตัวขึ้นมาในรูปแบบไหน

อยู่กับความไม่ประมาท ยิ้ม ผ่อนคลาย มีสติรู้กายใจไว้นะคะ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

การออกจากความคิด


ท่านที่คุ้นเคยกับการมีสติรู้อยู่กับตัวเอง 

 ย่อมจะทราบแล้วว่า ทุกข์เกิดเพราะคิด

ใจทำหน้าที่แค่สองโหมดคิด และ รู้

เมื่อทุกข์เกิดจากการทำงานของใจในโหมดคิด 

 การออกจากทุกข์ก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนให้ใจมาทำงานในโหมด รู้

สำหรับผู้ใหม่ การเปลี่ยนโหมดคิดเป็นโหมดรู้นี้ แม้จะไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย

เพราะบางครั้งทุกข์มันรุนแรงเหลือเกินจนดึงไม่อยู่ 

 ก็ต้องใช้การข่มใจด้วยวิธีการต่างๆเข้ามาแทน  

 บางคนชอบสวดมนต์บางคนใช้ลมหายใจ เข้าพุท ออกโธบางคนใช้การนับเลข

ถ้าทางโลกๆ มันทุกข์นักก็หันความสนใจไปหาอย่างอื่น 

 สาวๆ ก็ไปช็อปปิงหนุ่มๆ ก็ไปกินเหล้า

ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เกิดความเบี่ยงเบนจากทุกข์และความคิดได้ชั่วคราว

สิ่งที่จะกำจัดได้ถาวรคือ 

 การถามเข้าไปที่ความเงียบภายใน 

 ใครคิดใครทุกข์

เงียบ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ความจริงแท้เผยตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา 

  เราเองต่างหากที่ซ่อนตัวจากความจริงแท้นั้น

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ประกอบเหตุ 

  แล้วผลจะเกิดเองเมื่อเหคุปัจจัยถึงพร้อม 

  ไม่คาดหวัง ไม่รอคอย 

ไม่ทำอะไรขึ้นมาดู 

  แค่ตามดูตามรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

สิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย 

  สิ่งที่แสดงให้เห็นอยู่ตำตาว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 

  อัตตาตัวตนนั่นแหละ ที่ปิดบังความเป็นจริงนี้ไว้

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

คุณโจพูดเรื่องใจที่ไม่คิด

ใจมันเหมือนนก มันก็ทำอย่างที่นกทำ คือส่งเสียงร้อง 

  บางคนก็บอกว่านั่นเป็นแค่เสียง หรือเป็นเหมือนรถที่วิ่งไปมาบนถนน

สิ่งสำคัญคือหาให้พบ ว่า ใคร ที่อยากให้ใจเงียบ

คนที่อยากให้ใจเงียบ ก็เหมือนแมวที่อยากเป็นหมา 


ใจมันเงียบ ก็ดี ใจมันไม่เงียบ ก็ดี

ถ้ามันเกิดความรู้สึกว่าใจที่ไม่เงียบนั้นไม่ดีเลย 

  ให้หาว่า ใคร ที่อยากให้ใจเงียบ

ทั้งกาย ทั้งใจ เป็นสิ่งถูกรู้ 

  สิ่งถูกรู้ทั้งหลายย่อมไม่ใช่เรา

เราคือธรรมชาติรู้ 

  ภายในธรรมชาติรู้ย่อมไม่มีใดๆอยู่เลย 

  เธอคือความปราศจากสิ่งถูกรู้ใดๆ 

  เป็นเสมือนความว่าง

แม้แต่ความว่างก็เป็นสิ่งถูกรู้ 

  ใครกัน ที่รู้ความว่าง เห็นความว่าง 

  จงเป็นสิ่งนั้น

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

การจัดการกับความเหงา

วันนี้เล่าให้คุณโจฟังว่าตั้งแต่เมื่อวาน 

 อยู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมา 

 ก็ไหลไปกับความเหงา 

 นั่งคิดวางแผนว่าจะทำอะไรดีให้หายเหงา 

 ไปหาเพื่อนคุย ไปสมัครฟิตเนสไปหาอะไรอร่อยๆกิน...

เช้าวันนี้ นั่งเงียบๆ มองดูตัวเอง 

 แล้วถามว่า ใครเหงา 

 เงียบ 

 ยิ้ม 

เห็นทันทีว่าโดนหลอกอีกแล้ว 

 ใจมันคิดเรื่องราวขึ้นมาก็ตามมันไป 

 เมื่อเห็นเพียงแค่นี้การปล่อยวางก็เกิดขึ้นเอง 

 เกิดการเคลื่อนเข้าสู่ความเงียบภายใน 

 ความสุขหลั่งไหลออกมาจากภายใน

นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม 

 มีสติ เห็นตัวเองตลอดเวลา 

 การฝึกสติ การฝึกสมาธิ 

 ล้วนมีเป้าหมายคือให้เกิดการคุ้นเคยกับการเฝ้ามองดูตัวเอง 

 ไม่ใช่เพื่อให้เกิดสภาวะวิเศษพิสดารใดๆ 

 ซึ่งเป็นแค่การหลอกลวงของใจในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ความสำคัญของการออกจากความคิด

ในการปฏิบัติ 

การออกจากความคิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง 

 เพราะเราอยู่กับความคิดตลอดเวลา 

 จนไม่รู้ว่าจะออกจากสภาวะคิดมาอยู่กับสภาวะรู้ได้อย่างไร 

 แม้แต่การมองเข้าไปภายใน เพื่อรู้สึกถึงความเงียบ 

 ก็เอาความคิดเข้าไปมองหาความเงียบ 

 เออ มันเป็นอย่างไรนะความเงัยบนี่ 

 มันน่าจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า 

 คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก 

 ก็คิดต่อไปว่าตนล้มเหลวในการรู้จักความเงียบ

วิธีแก้ไขนะคะ 

 ทิ้งทุกอย่างให้หมด 

 ยิ้ม รู้ว่ากำลังยิ้ม 

 นำความสนใจไปที่กลางอกภายใน รู้ว่ากำลังเบิกบาน 

 ทำแค่นี้ ทำบ่อยๆ 

ทุกครั้งที่นึกได้ ทุกเวลา 

กำลังเข้าห้องน้ำกำลังจะหลับ ลืมตาตื่น 

กำลังปวดแข้งปวดขา 

 ยิ้ม สบายใจ อย่างเดียว

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ชีวิตคือ จิต เจตสิก รูป 

เกิดขึ้นดับไป 

 จิตเป็นสภาพรู้ที่สะสมทั้งกุศลและอกุศล 

 ขณะที่การเกิดดับของจิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย 

 ก็สะสมบารมีด้วยประการต่างๆ

จนกว่าจะถึงความบริบูรณ์สมบูรณ์พร้อมในที่สุด

ในการปฏิบัติ 

เมื่อเรายิ้มอยู่เสมอ 

 คลื่นจิตจะคุ้นเคยกับความเบิกบาน 

ในความเบิกบานนั้น ศีลห้าครบบริบูรณ์ 

 จะนำส่งให้ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก

หากเรายิ้ม เบิกบาน 

มีสติเฝ้าดูกายใจอยู่เสมอ 

 เมื่ออกุศลเกิดขึ้น เห็นทุกข์โทษของมัน 

และละเว้นปล่อยวางเสียได้ 

 จิตจะคุ้นเคยกับหิริโอตตัปปะ 

ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป 

 ก็จะเข้าสู่ภูมิเทวดา แม้ยังอยู่ในร่างมนุษย์

เมื่ออยู่กับการยิ้ม เบิกบาน 

มีสติรักษาใจ 

 เห็นการเกิดดับของอารมณ์และความคิด 

ซึ่งก็คือเจตสิกที่เกิดขึ้นร่วมกับจิต และดับไปพร้อมกับจิต 

 จนสามารถถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา 

 เห็นแจ้งในอริยส้จสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคยิ่งๆขึ้นไป

ก็เข้าสู่ภูมิของพระอริยเจ้า แม้ในร่างมนุษย์

เมื่อเจริญมรรคยิ่งๆขึ้นไป 

จิตคุ้นเคยกับความเป็นกลางๆ อโลภะ อโทสะอโมหะ 

 ประกอบด้วยปัญญา โสมนัส และมีกำลัง 

 ก็เข้าสู่ภูมิของพระโพธิสัตว์เจ้า 

ซึ่งยังข้องอยู่ในการที่จะตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง


หากเป็นพระปัจเจกโพธิสัตว์ 

ก็ดำเนินจิตไปในทางที่จะตรัสรู้สภาพธรรมได้ด้วยตนเอง 

 หากเป็นพระสาวกโพธิสัตว์ 

ก็ดำเนินจิตไปในทางที่จะตรัสรู้สภาพธรรมโดยอาศัยคำสั่งสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ตรัสว่า 

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน 

ทุกอย่างล้วนสำเร็จด้วยใจ 


 พระโพธิสัตว์เจ้าตรัสว่า 

กิเลสที่ห่อหุ้มใจนั้นแหละ 

ที่บดบังการแจ้งในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

ยิ้ม สบายใจ 

ปล่อยวางทุกขณะเมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึก 

เพราะมันไม่ใช่เรา 

 ปล่อยวางเรื่องราวที่ความคิดสร้างขึ้น 

ไม่วิ่งโลดแล่นตามมันไป 

เพราะมันไม่ใช่เรา

เข้าสู่ความสะอาด สว่าง สงบ ทุกท่านนะคะ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

การบรรลุธรรม

คือการกลับสู่บ้านที่แท้จริง

และบ้านนั้น 

 ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย 

 อยู่ภายในนี่เอง 

 แค่รู้สึกเข้าไปภายในด้วยรอยยิ้มและผ่อนคลาย 

 ก็พบบ้านแล้ว 

 แต่มันมีอะไรหรือ 

ที่บดบังการตระหนักรู้นี้ 

 แม้สิ่งที่บดบังการตระหนักรู้นี้ 

 ก็เกิดขึ้น แล้วดับลงในความเงียบ

ดังนั้นจึงไม่ต้องถามหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติํธรรม 

 เพราะนั่นเป็นแค่ความคิดปรุงแต่งอย่างหนึ่ง 

 ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับลงในความเงียบ 

 เท่านั้นเอง

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ความอิสระ


เล่าให้คุณโจฟังค่ะ 

 มีวันหนึ่ง ทำโน่นทำนี่ไปตามปกติ  

 รู้อยู่กับความเงียบภายในตามปกติ 

 อยู่ๆก็สังเกตเห็นว่า 

แต่ละปัจจุบันขณะเต็มไปด้วยทางเลือก 

 แม้แต่ว่าเราจะเลือกวางมือตรงนี้วางเท้าตรงนี้ 

 หรือเมื่อมีความคิด 

เราก็สามารถเลือกที่จะไม่ทำตามหรือทำตามความคิด

นี่น่าจะเป็นแง่มุมหนึ่งของความเป็นอิสระ 

 ซึ่งถ้าหากเราไม่อยู่กับความว่าง 

 ยังอยู่กับอัตตาตัวตนและความคิดนึกปรุงแต่ง 

 เราจะไม่พบอิสระแบบนี้เลย

สมัยเป็นนักศึกษา เรียนวิชาฟิสิกส์ 

 มีทฤษฎีว่าจักรวาลเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีกรีแห่งความเป็นอิสระสูงขึ้นอย่างช้าๆ 

 นักวิทยาศาสตร์ก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ตอนนี้มีคำตอบแล้ว 

 ทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไปสู่ธรรมชาติเดิม ความจริงสูงสุด 

 ซึ่งในธรรมชาติเดิมนี้ 

มีอิสระอย่างไม่สิ้นสุด 

 มีความรักอย่างไม่สิ้นสุด

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ในชีวิตประจำวัน

ยิ้ม เพื่อออกจากความคิด 

  ชำเลืองดูภายใน 

เพื่อสร้างนิสัยของการปล่อยวางสิ่งภายนอก 

อยู่กับรู้

เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายใจตามความเป็นจริง 

  รู้ไป เห็นไป 

  ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ก่อตัวขึ้น

เห็นแม้กระทั่งว่า เมื่อเข้าไปยุ่งกับมัน ผลคืออะไร 

  เมื่อไม่เข้าไปยุ่งกับมัน ผลคืออะไร 

  รู้เอง เห็นเอง ได้ข้อสรุปเอง เกิดปัญญาเอง 

  เงียบๆ ไว้ ทุกอย่างจะดีเอง

ขอให้ทุกท่านได้เห็นความจริงนะคะ


ถ้าท่านคิดว่า นี่มันง่ายเกินไป 

  ท่านกำลังประมาทต่ออวิชชาความไม่รู้ 

  ที่นำท่านเวียนเกิดตายมาจนหาต้นไม่ได้หาปลายไม่พบ 

  มันหลอกให้ท่านไปทำสิ่งยากๆ 

  เพื่อมันจะได้ควบคุมท่านต่อไป

แต่เมื่อท่านลงมือทำสิ่งที่แสนจะง่ายนี้ 

  ท่านจะพบความจริง 

  และหลุดพ้นจากอำนาจของอวิชชาได้ในที่สุด

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ในวันที่รู้สึกทุกข์

ทุกข์ 

 มีไว้ให้เห็น 

 ไม่ได้มีไว้ให้เป็น

เมื่อเป็นทุกข์ 

 ให้รู้ไว้ว่าเรากำลังเผลอไปยึดอะไรเข้าให้แล้ว

นั่นก็เป็นแค่ความเคยชินเท่านั้นเอง 


 ยิ้ม ชำเลืองดูความเงียบภายใน 

 นิ่ง เงียบ

ดิ่งลึกลงไปในความเงียบ 

 ใครทุกข์?


อย่าผลักไสความทุกข์ 

 ยอมรับมัน 

 เพราะทุกครั้งที่ผ่านทุกข์ได้ด้วยความอดทน 

 นั่นคือการเติบโตทางจิตวิญญาณ

เมื่อผ่านมาได้แล้ว 

 ให้ย้อนดูว่าทุกข์พยายามสอนอะไรเรา 

 พยายามชี้ให้เราเห็นอะไร 


นี้คือประโยชน์ของทุกข์

เหมือนที่หลวงพ่อพุทธทาสพูดไว้

ทุกข์ เปรียบเหมือนเพชรในหัวคางคก

ใครหาพบได้

จะไม่ทุกข์อีกต่อไป

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

โคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้า ชำเลืองดูลูกน้อย


ยิ้ม 

ชำเลืองดูภายในทุกครั้งที่นึกได้ 

 แม้ขณะอ่านธรรมะ 

 มีการอ่าน 

 ภายในมีความคิด อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไร 

 เงียบ 

เฝ้ามองความคิด อารมณ์ ความรู้สึกเหล่านั้น 

 สังเกตสิ่งที่กำลังเฝ้ามองทุกอย่าง 

 นั่นคือเธอที่แท้จริง

ค่อยๆฝึก 

หันความสนใจจากสิ่งที่มากระทบในชีวิตประจำวัน 

 เข้าไปสนใจที่ความเงียบภายใน 

 สนใจที่อะไรอย่างหนึ่งซึ่งรับรู้ทุกอย่าง 

 รู้ 

เงียบ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ในวันครึ้มฝน

วันนี้ เมฆหมอกหม่นมัว 

 เหมือนภายในของเรา 

ที่บางวันเต็มไปด้วยกระแสความติด อารมณ์ความรู้สึก 

 เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า

ตื่นมาวันนี้จะเจอกับอะไร 

 กำลังยิ้มสบายใจอยู่ดีๆ 

 เรื่องราวก็หล่นโครมเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย 

 ตั้งสติให้ดี 

ค่อยๆมองปัญหา ค่อยๆแก้ 

 ภายนอกยิ้มไม่ออกแล้ว 

 ภายในก็ยิ้มไม่ได้ 

 แต่เตือนตัวเองไว้ 

 ทั้งหมดคือสิ่งถูกรู้ไม่ใช่เรา 

 ไม่มีเราในเหตุการณ์ 

 ไม่มีเราในความคิด 

 ไม่มีเราในอารมณ์ความรู้สึก 

 ไม่มีเราในการแก้ปัญหา 

 ไม่มีเราในความคาดหวัง 

 มีแต่ธรรมชาติรู้ 

 ที่เฝ้ามองความโกลาหลทั้งหมออย่างเงียบเชียบ 

 เหมือนท้องฟ้าที่อยู่ตรงนั้นเสมอ  

 เมฆหมอกบดบังท้องฟ้าได้เพียงชั่วคราว 

 แล้วมันก็ต้องไป 

 วันมีเมฆ 

ไม่ได้แปลว่าไม่มีท้องฟ้า

ยิ้ม ผ่อนคลาย 

รู้อยู่กับความเงียบของท้องฟ้าตลอดเวลา 

 แม้ในวันครึ้มฝนนะคะ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

 ดับ ดับ ดับ สงบเย็น

ยิ้ม ผ่อนคลาย สบาย

ยิ้ม คลายออกจากธรรมชาติคิด 

 เข้าสู่ธรรมชาติรู้

รู้อยู่กับความเบิกบานภายใน 

 ความเบิกบานคือสิ่งถูกรู้

หันความสนใจมาที่ธรรมชาติรู้ 

 สัมผัสความเงียบอย่างยิ่งของธรรมชาติรู้

ยิ้มเป็นเหตุ 

 รู้ตัวถึงความเบิกบานภายในเป็นผล

รู้อยู่กับความเงียบของธรรมชาติรู้ 

 จะเห็นการดับของสิ่งถูกรู้ทั้งปวง 

 ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกสุขทุกข์

ดับแล้วเหลือแต่ความเงียบของธรรมชาติรู้ 

เป็นนิโรธ

รู้อยู่กับธรรมชาติรู้ 

 รู้ซื่อๆ 

 รู้ไม่ปรุงแต่ง 

 เป็นมรรค 

 ทำให้มาก เจริญให้มาก 

 ดับ ดับ ดับ สงบเย็น

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ชีวิตที่ไร้หลักประกัน

เมื่ออยู่กับความเงียบได้มากขึ้น 

 จะตระหนักมากขึ้นเช่นกันว่า

ชีวิตของเราอยู่กับความเสี่ยงอย่างยิ่ง 

 วันนี้ นาทีนี้ ยังดีๆอยู่ 

 ไม่มีหลักประกันใดๆเลยว่าวินาทีถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น กับสิ่งที่คิดว่าเป็นเราเป็นของเรา 

 เพราะเคยลื่นล้มในห้องน้ำ 

 หลังฟาดลงกับพื้น 

 ในวินาทีนั้น 

รู้เลยว่าความตายอยู่ใกล้เราขนาดไหน 

 ตำแหน่งที่ล้มฟาดลง 

ถ้าขยับเคลื่อนที่ไปเพียงนิดเดียว 

 อาจถึงตายได้

เราเคยมีร่างกายแข็งแรง 

 ในชั่วพริบตาเดียวอาจพิการไปก็ได้

นักธุรกิจใหญ่เคยมีทรัพย์สินเงินทอง 

 ในชั่วพริบตาเดียวอาจล้มละลายได้

บางคนเคยลำบากยากจนถูกล็อตเตอรี่ 

ในชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาได้

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวไม่คงอยู่ตลอดไป 

 ชีวิตของเราไร้หลักประกันมากขนาดนี้ 

 พระพุทธองค์จึงสอนว่าอย่าประมาท 

 เป็นคำพูดสุดท้ายที่พระองค์ฝากไว้ให้เราทุกคน

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&


 การค้นหาความจริงแท้

ถ้าเธอต้องการค้นหาความจริงแท้ 

  เธอต้องเป็นอิสระจากพื้นฐานทั้งหมดที่เคยเป็นเธอ  

  รวมทั้งความเชื่อ  รูปแบบความคิด  และความรู้สึก 

  แม้กระทั่งความคิดว่าเป็นหญิงหรือชาย หรือเป็นคน 

  ก็ต้องทิ้งไป 

  มหาสมุทรแห่งชีวิต หลอมรวมความเป็นสรรพสิ่งทั้งหมด ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น

ดังนั้น ขั้นแรก 

  ละทิ้งสิ่งที่บ่งบอกถึงอัตตาตัวตนทั้งหมด 

  หยุดความคิดที่ว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ 

  ละทิ้งความวิตกกังวลทั้งหลายเกี่ยวกับตัวเอง 

  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ ทรัพย์สินเงินทอง 

  หรือแม้แต่ความก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรม 

  ปล่อยวางความต้องการทั้งปวง ทั้งหยาบและละเอียด 

  หยุดความต้องการที่จะสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

เมื่อนั้นเธอจะอยู่กับปัจจุบันขณะ 

  อยู่กับความอิ่มเต็ม 

  ไม่มีความรู้สึกต้องการหรือแสวงหาสิ่งใดๆเลย

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

หมายเหตุ

การละทิ้งปล่อยวางนี้ ทำได้ง่ายๆ 

  เพียงแค่เปลี่ยนเป้าหมายของความสนใจ 

  ตัวอย่างเช่น 

มีคนทำห้เราไม่พอใจอย่างมาก 

  ให้หันความสนใจเข้ามาดูอาการของความไม่พอใจ

ที่กำลังเกิดขึ้นที่กลางอกภายใน 

  นั่นคือการปล่อยวางสิ่งภายนอก คือคนที่ทำให้เราไม่พอใจ 

  เข้ามารู้อยู่กับอาการภายใน

ต่อไป 

ในขณะที่กำลังรับรู้อาการของความไม่พอใจนั้น 

  ให้ถามว่า ใครไม่พอใจ 

  หรือให้เตือนตัวเองว่า 

อาการกระเพื่อมไหวแห่งความไม่พอใจนี้ 

  เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่เรา 

  แล้วหันความสนใจมาที่ธรรมชาติชนิดหนึ่ง 

  ซึ่งกำลังทำหน้าที่รู้อาการไม่พอใจนั้น

นี่ก็จะเป็นการปล่อยวางความคิด อารมณ์ ความรู้สึก 

  ปล่อยวางอัตตาตัวตน 

  ปล่อยวางความเป็นเราเป็นของเรา

ให้ความสนใจมาอยู่ที่ธรรมชาติรู้ 

  จะพบว่ามันนิ่ง เงียบ สงบ 

  ตรงนี้คือประตูสู่อมตธรรม 

  ธรรมอันไม่มีความเกิด ไม่มีความตาย

อยู่ตรงนี้เนืองๆ 

อยู่ตลอดเวลาที่ยังมีลมหายใจ 

  นี่คือสิ่งนำไปสู่การเห็นอริยสัจ 

  การเห็นการเกิดดับ หรือไตรลักษณ์ 

  นี่คือการเจริญมรรคมีองค์แปด 

  นี่คือโพชฌงค์เจ็ด 

  นี่คือโพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ด 


เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมแล้ว 

  การตื่นรู้ย่อมเกิดขึ้น 

เป็นธรรมดา

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

ระวังตัวเอง หลอกตัวเอง

เสียหายกว่าผู้อื่นหลอก 

ตั้งร้อยเท่าพันเท่า

แต่ก็ไม่มีใครระวัง

พุทธทาสภิกขุ


หมายเหตุ

เราถูกความไม่รู้หลอกตลอดมา 

 หลอกทุกวัน 

 หลอกมากี่ภพกี่ชาติแล้ว 

 หลอกว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา 

 ความคิด ความรู้สึกของเรา 

 ทรัพย์สินเงินทองของเรา

ชำเลืองมองดูภายในสิ 

 ที่ว่า เรามันอยู่ตรงไหนหรือ

หาไปเรื่อยๆ ทุกวัน 

 จะได้ไม่ถูกหลอก


หา เรา บ่อยๆนะคะ 

  หาจนจิตมันยอมรับ 

  ว่าไม่มีเรา 

  การถูกหลอกก็จะสิ้นสุดลง 

  เหลือแต่นิพพาน

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&


ยิ้ม 

ออกจากความคิด 

 วางความคิด

 มาอยู่กับรู้ 

 ชำเลืองดูภายใน 

 ความกระเพื่อมไหวของใจ 

 เป็นภาพมายา 

เป็นการเกืดดับ 

 การชอบ ไม่ชอบ ถูก ผิด 

เป็นความคิด 

 เป็นภาพสะท้อนของอัตตาตัวตน 

 มันเป็นแค่สิ่งถูกรู้ 


 หันความสนใจมาหาธรรมชาตืหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่รู้ 

 เป็นการไปพ้นจากรูปและนาม 

 และพบกับความสมบูรณ์ ความอิ่มเต็ม 

ความรัก ความเงียบ ความสุข 

ความพ้นจากเกิดดับ 

ความเป็นนิรันดร์

มันง่ายอย่างนี้เลยหรือ 

 พระพุทธองค์ไม่เคยบอกว่ามันยาก 

 แค่หงายของคว่ำ

แต่ผู้ที่ยังกอดอยู่กับอัตตาตัวตน 

 อัตตาตัวตนนั่นแหละที่ปฏิเสธความจริงที่แสนง่ายนี้

เปิดใจ ปล่อยวาง

 เลิกเชื่อความคิด 

 ใช้ใจรับรู้และสัมผัส 

 ด้วยความยิ้มแย้มและผ่อนคลาย 

 ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา 

 ไม่มีอะไรต้องเสีย 

 นอกจากสังสารวัฎ

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&


หมายเลขบันทึก: 635103เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2017 16:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม 2017 16:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท