หากนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามเดินผ่านไปมาบริเวณตึกเอ หรือหน้าสำนักวิทยบริการแล้วมักจะได้ยินเสียงซ้อมสรภัญญ์ผ่านเข้าหูเสียงนี้เป็นเสียงการซ้อมร้องสรภัญญะ ของนิสิตน้องใหม่ครูไทย มมส ที่เป็นการร่วมเเรงร่วมใจกันระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องในการฝึกซ้อมอมร้องสรภัญญะเพื่อใช้ขับร้องในวันไหว้ครูของคณะ บทประพันธ์เเละท่วงทำนองที่ถูกเปล่งออกมา นำเสนอในรูปแบบของสรภัญญะอีสานซึ่งหากผู้ที่อยู่ต่างภาคได้มารับชมรับฟัง อาจจะไม่ชินกับสำเนียงอยู่บ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใดการขับขานท่วงทำนองแห่งความเป็นอีสานผ่านออกมาทางเสียงสำเนียงสรภัญญ์ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า “มูนมังมรดกอีสานยังถูกสืบทอดโดยบัณฑิตในระดับมหาวิทยาลัยให้คงอยู่บนกระแสโลกาภิวัตน์”
ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา หัวหน้าชั้นปีที่ 2 กศ.บ ภาษาไทย ได้เรียกประชุมเพื่อเพื่อวางเเนวทางในการซ้อมน้องเพื่อร้องสรภัญญ์ อันถือได้ว่าเสมือนประเพณีที่สาขาเราได้ทำกันมาในทุก ๆปี ในรุ่นของผม ผมก็มีโอกาสในการร้องบทสรภัญญ์นี้ กับเพื่อนๆ ในเอก โดยได้รับการฝึกจากพี่ ๆ ชั้นปีที่ 2
การร่วมพูดคุยเเละชี้เเจงเเนวปฏิบัติต่าง ๆในการร้องสรภัญญ์ เราเน้นไปที่การร่วมถักร้อยเปล่งพลังเสียงออกมา แสดงถึงความสามัคคีและการร่วมกิจกรรมที่ถือปฏิบัติกันมา หากถามว่าเราไม่ร้องตามที่รุ่นพี่แนะนำได้ไหม คำตอบก็คงว่าได้ แต่ทั้งนี้สิ่งที่เราจะขาดไปหากไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมก็คือการฝึกหัดท่วงทำนองแห่งความเป็นอีสาน เเละสืบตำนานร่องรอยทางวัฒนธรรม
บรรยากาศโดยรวมของการซ้อมสรภัญญ์ก็คงจะเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นคือบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับมา ในปีก่อนเราอาจจะเป็นรุ่นน้องรอคอยการฝึกหัดเเละคำแนะนำจากเพื่อแต่ในปีนี้เราได้รับหน้าที่เป้นพี่ของน้อง ๆ ดังนั้นสิ่งที่ตามมานั่นคือ การเป็นแบบอย่างในการสืบทอดวัฒนธรรมที่มีมาเหล่านี้ ถ่ายทอดสู่น้องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เพื่อที่จะธำรงรักษาให้อยู่คู่เอกไทยตลอดไป
หากถามว่ากิจกรรมนี้ ได้อะไรเป็นรูปธรรมหรือไม่? ก็คงต้องตอบว่ามันได้มากกว่ารูปธรรมเสียอีก เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงนามธรรม เเละการปลุกจิตสำนึกในตัวผุ้เข้าร่วมกิจกรรมเอง หากถามว่ามันสะท้อนความเป็นรูปธรรมเเละร่องรอยแห่งอารยะอย่างไร ก็คงต้องอธิบายให้ฟังไปทีละประเด็น
ประเด็นเเรก การฝึกร้องสรภัญญ์จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากและมีวิถีแห่งท่วงทำนองในเชิงคำสอน ยิ่งท่องก็เหมือนยิ่งสอนตัวเองในทุกขณะเวลาของการท่อง แม้บางครั้งมันอาจจะเหนื่อยเเละน่าเบื่อ แต่ห้วงเวลาบางขณะของเส้นเสียงคำสัมผัส ก็เหมือนเป็นพลุที่จุดประกายความตื่นตัวให้เกิดขึ้นขณะที่เรากำลังเบื่อ จึงสามารถกล่าวได้ว่าแม้จะน่าเบื่อแต่ก็คงไม่ได้ที่สุด จนทิ้งหนีไม่ทำอีกได้
ประเด็นที่สอง รูปแบบของการซ้อมเป็นไปในลักษณะของการพึ่งพิงหากน้องไม่มาพี่ก็ซ้อมไม่ได้ พี่ไม่มาน้องก็ซ้อมไม่ได้ มีกรอบของมหาวิทยาลัยว่า “ห้ามบีบบังคับน้อง” มาคลุมกระชับไว้อีก ดังนั้นการกระชับความสัมพันธ์เเละทำความรู้จักกันจึงง่ายขึ้น เพราะไม่ได้มีการว้าก หรือการดุด่าว่ากล่าวให้ขุ่นข้องหมองใจกัน แต่เป็นการอธิบายเหตุผลสู่กันฟังว่า เราซ้อมกันทำไม ? เราซ้อมเพราะวัตถุประสงค์อะไร? ซ้อมแล้วมีประโยชน์ต่อพวกเราอย่างไร ? สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้เราได้ขบคิดเเละย้อนกลับมาถามตัวเอง ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีสาระเเก่นสาร และรูปแบบของจุดประสงค์ในการกระทำ มิใช่สักแต่ทำไปเป็นความสนุกที่เกิดขึ้นโดยเปล่าประโยชน์
ประเด็นสุดท้ายนั่นคือ การร่วมพูดคุยเเละพบปะเเลกเปลี่ยนจากพี่ๆ ปีต่าง ๆ ผลัดกันมาดูแลน้อง ๆ ทำให้ได้ทั้งข้อคิดในการใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย และวิถีแห่งการปฏิบัติตัวให้สมกับนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ที่จบออกไป จะไปเป็นครูเพื่อพัฒนาสังคมเเละประเทศชาติต่อไปในภายภาคหน้า
จะเห็นได้ว่า “กิจกรรมฝึกซ้อมร้องสารภัญญะ” ได้แฝงมิติแห่งการเรียนรู้ให้เราได้ขบคิดเเละไตร่ตรองในหลายแง่มุม ทั้งในด้านของการอนุรักษ์วัฒนธรรม ฮีตคองพื้นบ้านอีสาน และการส่งเสริมปลูกฝังความมีระเบียบวินัย โดยอาศัยความคิดของตนเองเป็นฐาน นำไปสู่รูปแบบของการเรียนรู้และการสืบทอดเจตนาจากรุ่นสู่รุ่น ถักทอรูปแบบสานต่อกันไปไม่หยุดยั้ง
นอกเหนือสิ่งอื่นใด การร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมแรง ของคนกลุ่มหนึ่งมิใช่จะเกิดขึ้นมาง่าย ๆต้องอาศัยปัจจัยเเวดล้อมและโอกาสเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเเละประสานงานกัน รูปแบบของงานจึงจะสามารถออกมาในภาพที่พอใจได้ ซึ่งหากวิเคราะห์ดูแล้ว กศ.บภาษาไทยในวันนี้ ได้ร่วมกันทำกิจกรรมขับร้อยท่วงทำนองความเป็นอิสาน แสดงพลังความเป็นอารยะที่ยังคงอยู่ให้งดงาม ผ่านสื่อสายตาท่านผู้ชม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องหมายได้ว่า พลังความสามัคคีในสาขา ความเป็นผู้มีปัญญาของนิสิตครู พร้อมที่จะเรียนรู้เเละเติบโตอย่างครบองค์ประกอบ รอบด้านในชีวิต
ขอบคุณรูปภาพ : สุธีวัลย์ บรรณการกิจ
เข้ามาชื่นชมครับ
ผมว่า การท่องสรภัญญะ มีประโยชน์ยิ่งเมื่อใช้ในการฝึกสมาธิตั้งมั่น เพราะขณะเราท่อง เมื่อใจไหลหลงไป คำหรือสำเนียงจะเพี้ยนไป ทำให้รู้สึกตัวว่าเผลอไปได้ชัด .... จุดอ่อนคือ เมื่อซ้อมและฝึกมาก ๆ จนเกิดทักษะ จดจำได้ ท่องไปเป็นอัตโนมัติ เมื่อนั้นแม้ใจจะหลงไปก็ไม่รู้สึกตัวเพราะคำสำเนียงยังท่องไปได้เหมือนเดิม ...