ในช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 มีกลุ่มเยาวชนจิตอาสาออกมาขับเคลื่อนอย่างมากมาย จากเหตุการณ์ในช่วงที่พายุเซินกา เข้าถล่มพื้นที่ภาคอีสานทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้เราเห็นได้ว่าคนไทยไม่เคยทิ้งกัน มีกลุ่มเยาวชนเเละกลุ่มผุ้มีจิตอาสาหลายกลุ่มร่วมกันระดมทุนเพื่อช่วยเหลือพ่อเเม่พี่น้องที่ประสบภัยน้ำท่วม
มหาวิทยาลัยมหาสารคามก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มีการรวมพลังคนที่มีจิตอาสาในด้านการช่วยเหลือสังคมเเละผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมผ่าน รูปแบบของกลุ่มนิสิตที่ใช้ชื่อว่า “เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน” ออกหารับบริจาคทั้งปัจจัย สิ่งของ ยารักษาโรค และอาหาร เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ผมเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมหนึ่ง ที่คนมักเรียกว่า “วงแคน” ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมการเปิดหมวกกับเพื่อน ๆ ชมรมอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลายครั้ง เเละสิ่งที่ผมมักเจอนั่นคือ รอยยิ้มของสมาชิกในวง ผมยังไม่ได้บอกว่าชมรมของผมดีที่สุดนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า “ระบบของเสียงดนตรี มันสามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้คนได้อย่างมาก” อีกสิ่งหนึ่งที่มักปรากฎในรูปของสมาชิกของชมรมนี้ นั่นคือรอยยยิ้มที่มีให้กันเเละการพูดคุยเฮฮาตามประสาไทบ้าน การกล้าคิดกล้าทำเหล่านี้มันเป็นเรื่องเล่า ที่มาเล่ากี่ทีก็ยังสนุกไม่เสื่อมคลาย
กลไกของการทำงานจิตอาสาเเบบนี้มันสะท้อนเเง่มุมความคิด ให้เยาวชนหรือวัยรุ่นเราได้ไตร่ตรองอะไรหลายอย่าง เช่นการทำงานกับผู้อื่น เเละสิ่งที่มันตามมานั่นคือ คุณค่าของการทำงานอย่างเป็นระบบ
ชมรมนาฏศิลป์เเละดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) ของเรา อาจจะเป็นชมรมที่สามารถสร้างรอยยิ้มเเละเรียกร้องความสนใจจากผู้คนที่ผ่านไปมาได้ เพื่อให้ร่วมบริจาค แต่ในเรื่องของการบริหารงานหรือบริหารคนในส่วนอื่นๆ เรายังด้อยในเรื่องนี้อยู่ อาจจะเนื่องด้วยเรามีเลือดของศิลปินค่อนข้างสูง เลยค่อนข้างทำให้ภาวะความเป็นนักคิด หรือนักเเบกรับภาวะความเป็นผู้นำยังน้อยอยู่
ถ้าหากเราวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่สะท้อนกลับมาหรือที่กำลังจะเดินหน้าต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เราทราบว่าเรามีปัจจัยต่าง ๆ ที่มากกว่าชมรมอื่น หรือน้อยกว่าชมรมอื่นอยู่
สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดของวงแคนนั่นคือการร่วมมือกันเต็มที่ในการทำงานหรือการเเสดง เเละมีความกล้าเเสดงออกอยุ่เต็มเหนี่ยว ทั้งการเต้น การพูดจา การฟ้อนรำ และการสร้างความสนุกสนานให้กับผุ้ที่ผ่านไปมา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ยอดการบริจาคมีมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ไม่มีวงแคนมาช่วยเสริม
ทั้งนี้หากเราจะมาพูดถึงในอีกประเด็นหนึ่งที่วงแคนขาดไป เเละควรเสริมเพิ่มเติมให้มากขึ้นนั่นคือ “การมีภาวะแห่งความเป็นนักกิจกรรม” ภาวะเหล่านี้เป็นอย่างไร ผมอาจจะต้องอธิบายคร่าว ๆ ก็คือการเป็นผู้มีภาวะในความรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง ทั้งหน้างาน หลังงานและการดำเนินงานต่อไป สิ่งนี้วงแคนเรายังขาดหายไปมาก อาจจะมีปัจจัยมาจากการที่เราไม่เคยได้พุดคุยหรือทบทวนตัวเอง ว่าตอนนี้เรากำลังทำงานเเล้ว ไม่ใช่ว่าเราเเสดงเสร็จก็คือเสร็จ “ถ้าเเสดงเสร็จเเล้ว คือเสร็จ ” นั่นยังเป็นวิถีเเห่งนักเเสดง แต่วิถีเเห่งนักกิจกรรมที่เป็นเลิศในการเเสดงต้องมีพร้อมที่การติดตามงานทั้งหน้างานและหลังงานเพื่อเรียนรู้เป็นบทเรียนในการปรับตัวเเละปฏิบัติงานต่อไป สิ่งเหล่านี้วงเเคนของเราอาจจะต้องเพิ่มเข้ามาเพื่อที่จะได้พูดคุยเเละเเลกเปลี่ยนกันมากขึ้น
จากกิจกรรมในครั้งนี้ ทำให้เราได้ร่วมงานกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายชมรมและสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราได้มองเห็นโอกาสในการเปลี่ยนเเปลงจากการเรียนรู้เเละเเลกเปลี่ยนเเนวคิดจากกลุ่มนิสิตหรืชมรมอื่น ๆ กิจกรรมต่อไปที่จะเกิดขึ้นเราจะได้ทบทวนกันมากขึ้น วิถีแห่งหารปฏิบัติก็จะมีมากขึ้น จึงเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้เรียนรู้เเละปรับเปลี่ยนลักษณะของตนเอง จากนักเเสดง มาเป็นนักกิจกรรมที่เป็นเลิศทางการเเสดง
ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราได้เห็น คือการได้รับโอกาสจากกลุ่มสมาชิก ในการร่วมเเสดงเเละเปิดหมวก เวทีนี้ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสเเห่งการเรียนรู้ เปิดประตูออกสู่โลกภายนอกมากขึ้น มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เเละการเเลกเปลี่ยน วิธีของการดำเนินงานอย่างจริงจัง สามารถนำมาเป็นเเบบอย่าง ในการพัฒนาองค์กรต่อไปได้
อุปสรรคปัญหาที่เห็นได้ชัดมากจากการได้ทำงานนั่นก็คือปัญหาเดิมที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ที่มีมาตลอดเวลาในเรื่องของการเก็บของ เเละร่วมพูดคุยหลังเสร็จงาน สิ่งเหล่านี้เเหละยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่เราจะต้องหาทางเเก้ไขกันต่อไป
สุดท้ายการที่ชมรมนาฏศิลป์เเละดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) มีสถานที่ในการสร้างความบันเทิงเเบบบูรณาการบนฐานจิตอาสา พร้อมกับการสานต่อภูมิปัญญาภาคอีสาน ก็เป็นเครื่องหมายได้ว่า เจตนารมณ์ของการดำเนินวิถีแห่งชมรมยังหายใจอยู่คู่กับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แม้รูปเเบบกระบวนการจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป เเต่รากที่ยังฝังอยู่ก็ยังคงชอนไชสร้างคนรุ่นใหม่ออกมารับใช้สังคมอย่างต่อเนื่อง และตลอดไป
ไม่มีความเห็น