โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

​แอบดูนกอาบน้ำ​


แอบดูนกอาบน้ำ

โสภณ เปียสนิท

...............................................

            ฝนหนาวของปี2560 ระหว่างเดือนสิงหาคมยังคงตกลงมาชโลมหล้าอยู่เรื่อย ฟังข่าวพายะชื่อนั่นชื่อนี่เข้าภาคนั้นภาคนี้ของประเทศไทยอยู่ไม่ขาดช่วง ปีนี้เหมือนว่าจะมีหน้าหนาวยาวนานกว่าปีก่อน ผมยังคงเดินทางกลับบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านหลังแรกในชีวิตของผมทุกๆ วันหยุด แรกๆ คิดว่า สองสามอาทิตย์ค่อยกลับไปปลูกต้นไม้ใบหญ้าไว้สักอาทิตย์ละครั้ง แต่เมื่อบ้านเสร็จแล้วจริงๆ ผมกลับมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันกับบ้านมากกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย กลายเป็นว่าผมอยากกลับบ้านทุกวันหยุด

            กลายเป็นความผูกพันระหว่างผมกับบ้านเล็กในป่าใหญ่ เพราะผมเพิ่งจะเคยมีบ้านกับเขาเป็นหลังแรก เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยเกษียณ ดีนะที่ผมอยากมีบ้านก่อนเกษียณสี่ปี เพราะจะมีเวลาปลูกต้นไม้รอบบ้านให้ร่มครึ้มเย็นสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในระดับพออยู่ได้อย่างสบาย บางทีผมไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก แค่กลับไปให้เห็น ให้รู้ว่าบ้านของผมสบายดี ต้นไม้ที่ปลูกไว้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร บางต้นขาดน้ำอย่างแรงจนตายก็มี แค่ปางตายก็มี เหี่ยวเฉาก็มี ปลวกกินโคนตายก็มี ยามเช้าเย็น ผมมักเดินออกตรวจตราต้นไม้ที่ปลูกไว้ เหมือนการเยี่ยมเยือนต้นไม้เพื่อให้กำลังใจต่อการสู้ชีวิตในหน้าแล้งร้อนอันโหดร้ายของเมืองกาญจนบุรี

            วันก่อนผมแวะที่ร้านขายโอ่งแถวราชบุรี ร้านใหญ่ มีชื่อเสียงเลื่องลือ อย่าถามผมเชียวนะว่า ชื่อร้านอะไร เพราะผมจะไม่ยอมโฆษณาชื่อร้าน “โอ่งเรืองศิลป์” ให้เขาฟรีๆ หรอกครับ ไม่มีทาง แม้ว่า ข้างร้านโอ่งเรืองศิลป์ปัจจุบันเขาจะพัฒนาสร้างร้านอาหารสวยๆ รูปทรงกลมแปลกตา เขียนด้วยอักษรลายศิลป์อย่างยอดเยี่ยม ผมก็จะไม่เผลอเอ่ยชื่อโฆษณาให้เขาฟรีแน่นอน แต่ที่แน่ๆ ผมเผลอซื้ออ่างขนาดปากกว้างเกือบสองฟุตระหว่างการเดินชมกิจการเพลินๆ นึกขึ้นได้อีกทีตอนขับรถออกมาแล้ว ว่า “เอ แล้วจะซื้ออ่างมาทำไมหว่า”

            ยัง ผมยังคิดไม่ออกว่าจะนำอ่างไปใช้ประโยชน์อย่างไร ขณะที่สายตามองท้องถนนไปเรื่อย ความคิดวิ่งไปวิ่งมาระหว่างเรื่องนั้นเรื่องนี้ พระสอนไว้ว่า “จิตมีหน้าที่คิด” หลักธรรมข้อหนึ่งผุดขึ้นมาว่า จิตคนดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมได้พี่พึ่งอันได้โดยยาก ผมฝึกตัวเองให้สวดมนต์ขณะขับรถมาหลายปี จึงสวดมนต์เบาบ้างในใจบ้างไปเรื่อยๆ คิดเอาเองว่า “ดีกว่าปล่อยให้มันคิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

ง่วงนักก็มีมะขามเปรี้ยวคลุกน้ำตาลทรายในกระปุก หยิบมาเคี้ยวเล่นสักเม็ดสองเม็ด แถมเก็บเม็ดไว้เพื่อเป้าหมาย “ปลูกมะขามโดยใช้เม็ด” ไว้ในไร่ให้ได้มากที่สุด เพื่ออาศัยร่ม และขายในโอกาสต่อไป เมื่อมีคนซื้อ “อ้าว แล้วใครจะซื้อ” เอาน่า ปลูกไปก่อนซื้อไม่ซื้อค่อยว่ากัน ไม่ซื้อก็กินเอง กินไม่หมดก็แจก แจกไม่หมดก็นำไปแลกกับอะไรต่ออะไรที่เราต้องการ ที่เขาต้องการ และไม่หมดแล้วจึงค่อยขายไปบ้าง ถือว่าเป็นกำไร

แวบของความคิดภาพเก่าผุดพรายขึ้น วันก่อนผมกลับไปถึงบ้านเล็กดึกหน่อย เข้าบริเวณบ้านได้กลิ่นตุๆ ลอยมาแตะจมูก เอ อะไรมาเน่าอยู่แถวนี้ ความมืดทำให้ผมคิดเลยเถิดไปไกลเล็กน้อย เอ หรือว่า ....ไม่น่า ไม่ใช่ที่คุณคิด

เดินวนสูดกลิ่นไปรอบๆ บ้าน หลังบ้านโอ่งใบใหญ่ตั้งอยู่ที่เดิม ผมยืนมองสังเกตไปรอบๆ บริเวณประกอบกับสูดกลิ่น กลิ่นแรงขึ้นเล็กน้อย เดินเข้าใกล้โอ่งจึงได้รับรู้ถึงความผิดปกติ ภาพขนนกขาวดำลอยลอย ไขมันบางอย่างลอยอยู่บนผิวน้ำ กิมิชาติหลายตัวลอยคออยู่ในโอ่งน้ำขนาดสองพันลิตร นกอะไรหนอมาตายในโอ่งน้ำหลังบ้าน เวรของกรรมจริงๆ ผมรำพึงในใจ คิดหาวิธีถ่ายน้ำออกจากโอ่ง โดยให้ได้ประโยชน์จากน้ำให้มากที่สุด จึงใช้ระบบกาลักน้ำ ลากสายยางไปจอที่ต้นไม้หลังบ้าน กว่าน้ำจะหมดถังใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

ผมจึงน้ำอ่างใส่น้ำไปวางไว้ข้างๆ โอ่งใหญ่เพื่อให้นก มด และสัตว์อื่นๆ มากินน้ำโดยไม่ต้องลงทุนเสี่ยงชีวิตอีก อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดเอาเองว่า ทำบุญกับพระ ทำบุญกับคน เราก็ทำมาแล้ว ยังขาดทำบุญกับสัตว์ดูบ้าง และเป็นการเลี้ยงโดยเสรี นกและสัตว์อื่นๆ ไม่มีสัมพันธภาพใดๆ ต่อกันและกัน โดยไม่จำกัดว่าตัวนั้นตัวนี้ ถือว่าเป็นสังฆทานน้ำโดยไม่มีประมาณ ทำบุญด้วยน้ำ หวังไว้ว่า ชีวิตผมจะไม่อดน้ำอีกต่อไป แต่ก็ไม่ต้องมีน้ำมากเกินเหมือนบางจังหวัดที่ประสบเคราะห์กรรมอยู่ในข่าว

เช้าวันต่อมาผมตื่นก่อนฟ้าสางในบ้านเล็กกลางป่าใหญ่ริมถนนกาญจนบุรี-น้ำตกเอราวัณ มองลอดเหล็กดัดมุ้งลวดออกไปที่ตีนฟ้าเบื้องบุรพทิศแสงสีทองเรื่อเรืองสาดประกายหลังแนวแมกไม้ไกลโพ้น กิจวัตรแรกที่ทำจนเคยชิน คือการยกหัวให้สูงขึ้น ด้วยการเอาหมอนหนุนสองสามชั้นพอสบาย แล้วกำหนดจิตเข้าสู่สูญกลางกายฐานที่เจ็ด บางคนอาจงุนงงว่า คือตรงไหนอย่างไร ตอบแบบง่ายๆ คือ “นึกภาพพระองค์ที่เราชอบไว้ในท้อง” มองให้นิ่งๆ แต่นานๆ แบบสบายๆ ภาวนาคำว่า “พุทโธ” หรือ “สัมมา อรหัง” ไว้ในใจต่อเนื่องกันไป เหมือนเรียกชื่อพระองค์ที่เราคิดนึกอยู่ว่าชื่อนี้ โดยไม่เกร็ง ไม่เครียด ถ้าเกร็งและเครียดก็ถือว่า เราทำผิดวิธี ต้องเริ่มต้นใหม่ ห้านาทีก็ได้ สิบนาทีก็ได้ มากกว่านี้ก็ได้ ข้อแม้คือว่า ต้องทำทุกวันเรื่อยไป เป็นประจำจิตจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่ความเห็นถูกมากขึ้น ดวงบุญจะโตขึ้น ความสุขในชีวิตจะมากขึ้นตามลำดับ

ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ผมเดินรับลมเย็นยามเช้าค่อนข้างหนาวเย็นเหมือนอากาศในภาคอิสาน ออกไปเยี่ยมชมต้นไม้ที่ปลูกไว้หลายชนิด พยายามเลือกพันธุ์ไม้ที่ค่อนข้างจะทรหดอดทนโตเร็ว ก็มีมะขาม ขี้เหล็ก ผักหวานป่า ต้นแค ไกลบ้านออกไปหน่อย หลายต้นเหี่ยวเฉา บางต้นขาดน้ำทนไม่ไหวรีบตายไปก่อนหน้าแล้ว ทักทายต้นไม้ที่ยังรอดชีวิตบ้างตามสมควร

“จะไม่ทักทายกันหน่อยหรือ” เสียงเบาๆ กล่าวลอยๆ ขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว “ครับสวัสดี” ผมเห็นต้นมะรุมในสีเขียวอ่อน ทำหน้าตาเหมือนกำลังจะแย่ “เป็นไงมั้งครับ” “แย่ซิ ฝนไม่ตกต้องการฤดูกาล” ยมส่งยิ้มให้กำลังใจ “ผมรู้ครับว่า ฝนไม่ตกมาหลายวัน ทนอีกหน่อยนะครับ คาดว่าฝนจะตกเร็วๆ นี้แน่” ต้นมะรุมตอบอย่างรวดเร็ว “ชีวิตฉันอาจไม่ยืนยาวไปถึงป่านนั้น” “งั้นเดี๋ยวผมรดน้ำให้ก่อนสักเล็กน้อย ต่ออายุออกไปอีกหน่อย” “ครับขอบคุณ”

เดินเลยไปอีกนิด “ผมยังอยู่ได้ครับ” ต้นขี้เหล็กทักทายมาแต่ไกล “แต่เพื่อนผมไม่รอด” ขี้เหล็กรายงานผลต่อเนื่อง ผมเริ่มงง กับคำรายงาน “ทำไมอยู่ตรงนี้จึงยังรอด เพื่อนคุณ เลยไปหน่อยนั้น ทำไมตาย”ผมสอบถามหาความรู้ ขี้เหล็กมีท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก “หลายประเด็นนะครับ เช่น ดินตรงผมนี้อุดมกว่า ตอนปลูกตรงที่ผมนี้มีความชื้นมากกว่า เป็นต้น” “ผมควรทำตัวอย่างไรดี เพราะเห็นตายหลายต้นแล้วใจไม่ดี” “ทำใจดีกว่า คือตายก็ปลูกใหม่เลย” ผมยิ้มให้ “แหม ง่ายจริงๆ แต่ผมไม่อยากให้สูญเสียอีก” ขี้เหล็กพูดอย่างอารมณ์ดี “พวกผมนี่ทนที่สุดแล้ว ตายยาก แต่บางครั้งยังต้องตาย คนก็เหมือนกับต้นไม้ บางคนอดทน บางคนใจเซาะ นิดหน่อยก็ตาย บางคนบางต้น น่าจะตาย แต่ยังไม่ตาย ทนมาได้อีกนาน” เขากล่าวเชิงปรัชญาตามหลักการทางศาสนา

ผมเดินกลับมาถึงบ้าน ได้ยินเสียงนกหลายตัวร้องเสียงดังอยู่หลังบ้าน จึงค่อยๆ เดินเข้าไปชะโงกมองผ่านบานหน้าต่าง เห็นนกกระหรอดจุก หรือ กระหรอดหัวเขม่า ห้าตัวกำลังพากันเล่นน้ำในอ่างที่ผมวางไว้อย่างมีความสุข หลายนาทีต่อมาจึงพากันบินขึ้นไปจับอยู่บนยอดกระถิ่นยักษ์ข้างบ้าน แล้วจึงบินไปที่พุ่มไม้แถวคอกแพะเก่าห่างบ้านออกไปเกินกว่าจะได้ยินเสียงร้องเพลง แต่เสียงร้องของนกอีกตัวดังอยู่ในพุ่มยอป่า ผมขยับมุมมองหาให้เห็นตัวอยู่สักครู่ จึงได้เห็นนกกางเขนตัวขาวดำโก่งขอร้องขยับขาขยับหางอยู่ไปมา นึกขึ้นได้ว่า นกตัวนี้ต้องเป็นคู่ของนกตัวที่ตายไปแล้วแน่ๆ

ผมร้องทักออกไปเบาๆ “เล่นน้ำซิ เตรียมน้ำไว้ให้แล้ว” นกขยับออกห่างไปอีกนิด แต่โชคดีหน่อยนกกางเขนยังไม่หนีไป “ไม่หรอก ผมกลัวน้ำ” นกทำหน้าเศร้าขณะตอบคำ “กลัวทำไม น้ำตื่นๆ แค่นี้” ผมยังอยากให้เขาเล่นน้ำ “เมียผมตกน้ำในโอ่งใหญ่นั่นตายไปเมื่อหลายวันก่อน” “อ่อ นึกได้แล้ว เมียคุณนี่เอง ทำไมถึงตกลงไปได้ละ” “คงจะประมาทไปหน่อย อีกอย่าง คงหิวน้ำมากจึงก้มลงไปเกินพอดี เสียการทรงตัว” นกยิ่งหน้าเศร้าหนักขึ้นเมื่อพูดถึงเมียรักที่เพิ่งจากไปยังไม่ครบร้อยวัน “แล้วทำไมไม่ช่วยเธอละ หรือคุณไม่ได้อยู่แถวนี้” ผมถามอย่างสนใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น “อยู่ซิ ผมเกาะอยู่ที่กิ่งไม้ตรงนี้แหละ เธอไปถึงขอบโอ่งก่อน เห็นเธอพลาดตกลงไป ผมตกใจรีบบินไปช่วย แต่เอาจงอยปากจิกเธอขึ้นมาไม่ไหว เธอก็หมดแรงเต็มที จนในที่สุดเห็นเธอจมน้ำหน้าคว่ำสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา ผมเองก็เกือบจะจมลงไปด้วย ตอนช่วยเธอ” น้ำใสๆ ไหลออกจากขอบตานกน้อยอย่างน่าสงสาร

ผมมองแล้วเศร้าใจตามไปด้วย “คนและสัตว์เหมือนกันก็ตรงนี้ มีเกิด แก เจ็บไข้ แล้วก็ตายจากกันไป” เงียบครู่หนึ่งแล้วจึงชวนคุยคลายเหงาในนกน้อย “ทำรังอยู่แถวนี้หรือ” นกน้อยเงยหน้าตอบเบาๆ “ใช่ โน่น ตรงดงหนามเล็บเหยี่ยวนั่น” พูดพร้อมชี้ปีกไปที่รังรักแห่งความหลัง “แล้วไม่หานกตัวเมียอื่นมาอยู่ด้วยละ” นกน้อยทำหน้าเศร้า “ขี้เกียจหาแล้ว อยู่กินไปวันๆ ก็พอ อีกไม่นานก็ตายตามกันไป” ผมชวนนกคุยต่อ “อ่อ นกกางเขน เหมือนนกเลิฟเบิร์ดที่มีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต” นกกางเขนหันมาตอบ “ไม่ใช่ทุกตัวหรอกครับ บางตัวมีคู่ใหม่กัน แต่ผมขี้เกียจหาแล้ว หากินเองง่ายๆ อยู่แถวนี้ ไม่นานก็ตาย ผมพอใจแค่นี้” นกน้อยทำทีว่าอยากไปหากิน ผมตั้งคำถามถ่วงเวลา “ดื่มน้ำในอ่างแล้วหรือ” “ดื่มแล้ว ขอบใจมากนะที่วางน้ำไว้ให้ เมื่อก่อนหาน้ำกินยาก เดี๋ยวนี้สบายหน่อย ขอให้มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดไปนะ” นกอวยพรเหมือนรู้ใจว่าผมต้องการอะไร ว่าแล้วนกขอตัวไปหาหนอนกินเป็นอาหารเช้าด้านต้นละหุ่ง เห็นบอกว่า มีหนอนเยอะดี

ผมมองตามนกกางเขนผู้เดียวดายบินจากไปในดงละหุ่ง สังเกตได้ว่า บริเวณนั้นต้นละหุ่งเยอะจริงๆ ทอดตาลงมองไปที่กอหญ้ากลางลานกว้าง ผมคิดว่าจะทำที่ตรงนี้ให้เห็นลานกิจกรรมของชาวบ้านท่ามะนาว ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าพื้นบ้าน ขายอาหารเช้า อาหารเย็น ขายของป่า ศูนย์ประสานงานชาวต่างชาติเพื่อการท่องเที่ยว บ้านพักโฮมสเตย์ ศูนย์การศึกษาภาษาอังกฤษ และเป็นทุกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ

นกกะทิกลุ่มหนึ่งน่าจะเกิน 20 ตัวบินลงกินดอกหญ้าอยู่กลางลาน ต่างสาละวนอยู่กับการร้องและการกิน บินขึ้นบินลงในดงดอกหญ้าอย่างมีความสุข 

หมายเลขบันทึก: 633920เขียนเมื่อ 17 สิงหาคม 2017 15:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 สิงหาคม 2017 15:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อีกอย่างนะ   ทำสวนนก ณ เมืองมะละกอ ด้วยสิ

เพราะ ถ้าป่าขาดนกก็คงเหงาแย่


ครับ เป็นแนวคิดที่ดีมีประโยชน์

จะลองถามนกดูนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท