ก่อนการเดินทางลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2560 ณ บ้านท่าเยี่ยม ต.วังหลวง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ทีมเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อสังคม) ได้ร่วมกันบรรจุสิ่งของอันเป็นถุงยังชีพและอื่นๆ –
กระบวนการ “บอกบุญ”
กิจกรรมการบรรจุถุงยังชีพ-ถือเป็นกระบวนการสำคัญในการเตรียมความพร้อมและสร้างการมีส่วนร่วมที่ผมให้ความสำคัญไม่แพ้การลงพื้นที่ในวันจริง ซึ่งการบรรจุถุงยังชีพที่ว่านี้ได้ดำเนินการในวันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2560 ณ ห้องนิทรรศการ อาคารพัฒนานิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ก่อนกระบวนการที่ว่านี้จะเริ่มขึ้น ผมให้หลักคิดโดยองค์รวมเกี่ยวกับการจัดเตรียมถุงยังชีพและสิ่งของต่างๆ ผ่านเจ้าหน้าที่และน้องๆ นิสิตทั้งที่เป็นแกนนำและทีมงานทั้งหมดในหลายๆ ประเด็น อาทิเช่น การสร้างมุมมองว่าการจัดเตรียมข้าวของเช่นนี้คือกระบวนการ “บอกบุญ” แก่ผู้คนให้ได้รับรู้ข่าวสาร เพื่อให้ “ผู้มีใจ” ได้มาร่วมทำบุญร่วมกัน โดย “บุญ” ที่ว่านี้ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการนำข้าวของมาบริจาคก็ได้ หากแต่หมายถึงการนำเอา “เรี่ยวแรง” ทั้ง “กายและใจ” มาร่วมกัน
กระบวนการที่ว่านี้ ผมถือว่าคือการหลอมรวมพลังร่วมกัน แม้ใครไม่สะดวกเดินทางลงไปยังหมู่บ้าน ก็ยังมีโอกาสได้มี “ทำบุญ” ด้วยการบรรจุสิ่งของช่วยกันได้ รวมถึงนัยสำคัญอันหมายถึงการมาเป็น “กำลังใจ” ของทีมงานที่จะเดินทางไปทำหน้าที่ในนามมหาวิทยาลัยฯ หรือพลเมืองคนหนึ่งนั่นเอง
เช่นเดียวกับการเชื่อมั่นว่ากระบวนการจัดเตรียมสิ่งของเช่นนี้คือกระบวนการอันสำคัญของการละลายพฤติกรรมของคณะทำงานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้มากที่สุด เสมือนการหลอมฐานใจผ่านฐานกายที่มีกิจกรรมเป็นสะพานเชื่อม – ผสมผสานกับการสร้างเครือข่ายการทำงาน ทั้งในรูปขององค์กร หน่วยงานและปัจเจกบุคคลไปพร้อมๆ กัน
ลงพื้นที่สำรวจจริง : ออกแบบกิจกรรม
กรณีการบรรจุถุงยังชีพนั้น – เราทำงานกันค่อยข้างพิถีพิถันพอสมควร เริ่มจากการสำรวจพื้นที่เป้าหมายในวันที่ 3 สิงหาคม 2560 เรียกได้ว่า “ลงพื้นที่สัมผัสความจริงด้วยตนเอง” โดยประสานผ่านเครือข่ายศิษย์เก่า (อ.ณัฐพงษ์ ราชมี) ที่ปัจจุบันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดและลงสู่ศูนย์พักพิงในเทศบาลตำบลวังทอง จากนั้นก็ลงสำรวจจริงในพื้นที่เป้าหมาย โดยเจ้าของพื้นที่ชี้เป้าไปยัง “บ้านท่าเยี่ยม” เป็นบ้านหลัก เพราะเป็นหมู่บ้านที่ประสบภัยสาหัสมากกว่าบ้านอื่นๆ
การลงพื้นที่จริงช่วยให้เรามองเห็น “ชะตากรรม” อันเป็นจริงอย่างไม่ปรุงแต่ง สภาพบ้านเรือนหลายหลังพังถล่มและพ่ายพับไปกับสายน้ำ เรือกนาไร่สวนจมดับเป็นทะเลน้ำจืด ระบบน้ำท่า-ไฟฟ้า-ห้องสุขา ใช้งานไม่ได้ ถนนสายหลักในบางเส้นทางของหมู่บ้านถูกตัดขาดจากสังคมภายนอก ผู้คนจำนวนมากต้องขึ้นมา “กินนอน” บนถนนโดยมีเต็นท์ของเทศบาลติดตั้งเป็นเพิงพักชั่วคราว –
จากการลงสำรวจพื้นที่ครั้งนี้ ทั้งผมและทีมงานตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องในชุมชนได้วิเคราะห์ร่วมกันถึงประเด็นความช่วยเหลือในระยะต้นผ่าน “ถุงยังชีพ” เราวิเคราะห์ถึงทรัพยากรที่มีทั้งหมดในศูนย์พักพิง หรือกระทั่งที่ชาวบ้านได้รับบริจาคมาว่าขาดเหลืออะไร มิใช่มองภาพรวมแล้วจัดซื้อหรือจัดหาลงไปจนมากมายก่ายกองและออกอาการ “ล้นเหลือ”
ด้วยวิธีคิดเช่นนั้น ข้าวของที่เราจัดเตรียมหลักๆ จึงมุ่งเน้นไปยังเครื่องอุปโภคทั่วไปและเน้นไปยังเครื่องบริโภคระยะยาวโดยเฉพาะข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงหยูกยาและเสื้อผ้า เพราะสิ่งเหล่านี้คือความขัดเขินหรือขาดแคลนที่เราทุกคนมองตรงกันว่าต้องเร่งเติมเต็มและเยียวยา
ในทำนองเดียวกันเราก็มองเชื่อมโยงไปยังระบบของศูนย์พักพิงฯ เป็นการมองให้เกิดการทำงานยึดโยงกับภาคท้องถิ่น ด้วยการจัดเตรียม “ครัวเคลื่อนที่” ไปประกอบอาหารสดให้กับชาวบ้าน รวมถึงการบริการต่อผู้คน-อาสาสมัครคนที่เข้าไปช่วยเหลือทั้งที่เป็นนิสิตนักศึกษาและอื่นๆ รวมถึงการจัดเตรียมถุงยังชีพและข้าวปลาอาหารสดอีกจำนวนหนึ่งส่งมอบให้กับศูนย์พักพิงฯ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปตามเห็นสมควร
และนั่นยังรวมถึงกิจกรรมบูรณาการอื่นๆ ที่เราจะนำเข้าไปบริการในหมู่บ้าน เป็นต้นว่า ตรวจคัดกรองระบบสุขภาพ ดนตรีบำบัด การนวดผ่อนคลาย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการบูรณาการการทำงานหลากวิชาชีพของมหาวิทยาลัยฯ รวมถึงการทำงานบูรณาการระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาครัฐ เอกชนและชุมชนผู้ประสบภัยอย่างจริงๆ จังๆ
ปฐมนิเทศก่อนลงพื้นที่ : เรียนรู้และออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน
ภายหลังการบรรจุสิ่งของต่างๆ เสร็จสิ้นลง เรามีนัดพบปะโสเหล่อีกรอบในช่วงเวลา 18.00 น. (วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2560) หลักๆ คือกระบวนการเตรียมความพร้อม (ปฐมนิเทศ) ในกลุ่มแกนนำที่จะลงสู่การปฏิบัติการจริง ที่ประกอบด้วยแกนนำเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม ผู้แทนนิสิตคณะแพทยศาสตร์ -คณะพยาบาลศาสตร์ – ภาควิชาภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและการกีฬา (คณะศึกษาศาสตร์) สภานิสิต องค์การนิสิต ชมรม กลุ่มนิสิตและนิสิตทั่วไปที่สนใจ –
เวทีพบปะดังกล่าว ผมให้นิสิตได้สะท้อนถึงรูปแบบกิจกรรมที่จะมีขึ้น ตรวจเช็คความพร้อมในแต่ละส่วน รวมถึงการจัดแบ่งทีมงานให้เหมาะสมกับงานในพื้นที่ โดยเน้นย้ำว่า “เตรียมให้พร้อมแล้วค่อยไปปรับเปลี่ยนหน้างานตามความเหมาะสม”
ในส่วนที่ผมรับผิดชอบ หลักๆ แล้วผมเน้นเรื่อง “บริบทชุมชม” ผ่านการบอกเล่าประกอบภาพถ่าย เพื่อก่อให้เกิดความเป็นรูปธรรมของการรับรู้ รวมถึงการเกริ่นหลักคิดของการทำงาน “อาสาสมัคร” ที่ต้องเปิดใจเรียนรู้ กระตือรือร้น ไม่เกี่ยงงาน ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เคารพชุมชน ฯลฯ
หรือแม้แต่การปลุกเร้าให้นิสิตมองว่า “การงานในครั้งนี้ เสมือนเราเป็นคนในหมู่บ้านนั้นกำลังกลับมาเยี่ยมบ้าน –มาฟูมฟักเยียวยา หรือในอีกมุมก็ขอให้มองว่า ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติขาดไม่ได้” นั่นเอง
รวมถึงการพยายามจำกัดจำนวนคนเพื่อมิให้เป็นภาระของชุมชน และการเตือนย้ำว่านี่คืองานจิตอาสา-จิตสาธารณะ หรือการเป็นอาสาสมัคร มิใช่การท่องเที่ยวในภาวะภัยพิบัติ !
เช่นเดียวกับการย้ำคิดว่า "ใจนำพาศรัทธานำทาง" มิใช่การทำงานที่ปราศจากข้อมูลดังที่หลายคนเข้าใจ ตรงกันข้ามคือการทำงานบนหน้าตักของข้อมูล และการจริงใจต่อสิ่งที่ทำ เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันสร้างสรรค์ต่อเราและคนรอบกาย หรือแม้แต่สังคม
และอื่นๆ อีกจิปาถะที่ผมขออนุญาตไม่กล่าวถึง ----
แต่ในตอนท้ายของเวทีผมได้เชื้อเชิญให้นิสิตได้ร่วมกันสะท้อนแนวคิดร่วมกันในประเด็นอันเป็นข้อควรตระหนักในการไปจัดกิจกรรมในครั้งนี้
กรณีดังกล่าวนี้ จริงๆ แล้วผมก็สามารถแนะนำหรือกำหนดเองได้ แต่ผมต้องการสร้างการเรียนรู้กับนิสิต โดยให้นิสิตได้ประมวลความรู้ของตนเอง (สกัดความรู้-จัดการความรู้) ออกมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ซึ่งเท่าที่ประมวลออกมาได้โดยสังเขปก็มีหลักคิดสำคัญๆ เช่น
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวและกระบวนการเรียนรู้เล็กๆ ที่ผมออกแบบและสร้างการเรียนรู้แก่นิสิตและเจ้าหน้าที่ก่อนลงปฏิบัติการจริงในชุมชน
ยอมรับว่า - บางเรื่องก็อธิบายอย่างชัดแจ้ง ขณะที่บางเรื่องก็ซ่อนซุกไว้ในแบบเนียนๆ เพื่อให้แต่ละคนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำด้วยตนเอง รวมถึงการเน้นหลักคิด "การทำงานแบบมีส่วนร่วม" และการทำงานในแบบเฉพาะกิจโดยใช้ชุมชนและสถานการณ์เฉพาะกิจเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้คู่บริการ
ยิ่งในตอนท้ายเวที ดร.มลฤดี เชาวรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต ได้เข้ามาพบปะให้กำลังใจแก่นิสิต ผมยิ่งถือว่าการงานในครั้งนี้มีความสำคัญกับการพัฒนานิสิตสู่ครรลองของการเป็นพลเมืองของสังคมอย่างมหาศาล สัมพันธ์กับอัตลักษณ์นิสิต (นิสิตกับการช่วยเหลือสังคมและชุนชน) ยึดโยงกับปรัชญาของการศึกษาเพื่อรับใช้สังคมอย่างตรงประเด็น โดยท่านเน้นย้ำว่า ...
หมายเหตุ
เขียน : จันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
ภาพ : เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม / พนัส ปรีวาสนา</p>
มมส. รอดจากน้ำท่วมไหมครับ?
สวัสดีคัรบ อ.วัส Wasawat Deemarn
สถานการณ์ตอนนี้ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ยังไม่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมครับ มีบ้างที่ฝนตกแล้วน้ำท่วมขังบนท้องถนนทางเข้าสู่มหาวิทยาลัยฯ อันเป็นถนนที่ยังต้องใช้ร่วมกับชุมชน --- ช่วงนี้เฝ้าระวังชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัยฯ และชุมชนต่างจังหวัด ที่เข้าไปหนุนเสริมบ้างแล้วก็สกลนคร ร้อยเอ็ด
ขอบคุณในความห่วงใย ครับ
ท่วมเยอะเลยครับ
มีอะไรพอช่วยได้ยินดี
สงสารชาวบ้านนะครับ
สวัสดีครับ
ขอบพระคุณมากๆ ครับ ตอนนี้ประเมินสถานการณ์เรื่อยๆ ร่วมกับเครือข่าย รอน้ำลดคงได้จัดทำโครงการลงไปฟื้นฟูอีกรอบ ตอนนี้ชุมชนต้องการเรื่องคมมนาคมเร่งด่วน รวมถึงระบบน้ำและไฟฟ้าชั่วคราว ส่วนของบริจาคก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งหมู่บ้านนี้ต้องทำแผนพัฒนาฟื้นฟู - เยียวยาอย่างครบวงจร บางทีอาจถึงขั้นเวนคืนที่ และนำพาไปสู่การตั้งถิ่นฐานกันใหม่ด้วยก็เป็นไปได้เช่นกันครับ
ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจ นะครับ
หมู่บ้านท่าเยี่ยมฯ ว่างเว้นการเจอภาวะน้ำท่วมมา 30 ปีแล้วครับ ชุดความรู้ว่าด้วยการรับมือกับภัยพิบัติแทบจะเรียกว่าเลือนหายไปกับกาลเวลาเลยก็ว่าได้
นี่คือนาฏการณ์ที่หนักอึ้งกว่าคราวก่อน การถอดบทเรียนเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ ณ หมู่บ้านนี้ จึงเป็นเรื่องท้าทายเป็นที่สุด ครับ
ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจ นะครับ
หมู่บ้านท่าเยี่ยมฯ ว่างเว้นการเจอภาวะน้ำท่วมมา 30 ปีแล้วครับ ชุดความรู้ว่าด้วยการรับมือกับภัยพิบัติแทบจะเรียกว่าเลือนหายไปกับกาลเวลาเลยก็ว่าได้
นี่คือนาฏการณ์ที่หนักอึ้งกว่าคราวก่อน การถอดบทเรียนเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ ณ หมู่บ้านนี้ จึงเป็นเรื่องท้าทายเป็นที่สุด ครับ