นับตั้งแต่ผมเป็นผู้บริหารสถานศึกษา..ประชุมอบรมสัมมนาเรื่องยาเสพติด..บ่อยมาก จนถึงวันนี้..ก็ยังต้องอบรมฯ ภายใต้ชื่อโครงการ..สถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข..
รู้สึกเบื่อหน่าย..ในความซ้ำซากของเนื้อหา..การไม่พัฒนาเทคนิคการบรรยายของวิทยากร.. และที่สำคัญ..โรงเรียนขนาดเล็กหรือที่ทำงานของผม..ไม่มีปัญหาเรื่องนี้..
แต่วันนี้..ผมต้องคิดใหม่..สถานศึกษาสีขาว..ยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิด..และวิทยากรที่ผมรู้จักในวันนี้..สร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม....
ท่าน ผอ.ชัยชาญ ช่วยโพธิ์กลาง ท่านเป็นผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ..คือวิทยากร..ที่สพป.กจ.๔ ได้เชิญมาบรรยาย เมื่อ ๒๓ มิ.ย.๒๕๖๐.......
เริ่มต้นบรรยาย..รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาเต็มห้องประชุม..เมื่อท่านวิทยากร พูดว่า..” ผมขอขอบคุณที่ให้เกียรติเชิญผมมาเป็นวิทยากร บัดนี้..ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดการอบรม ณ บัดนี้ ปรบมือครับ..” เริ่มต้นสั้นๆ แต่สวยงาม แค่นี้ก็ฮาแล้ว..
ท่านแนะนำตัว และบอกว่า..สพฐ.ทำเรื่องวิชาการ แต่งานในสำนักของท่าน ทำเรื่อง”วิชาชีวิต” ซึ่งหมายถึงทักษะชีวิตนั่นเอง อันได้แก่.เศรษฐกิจพอเพียง โครงการพระราชดำริ อนุรักษ์พันธุกรรมพืช คุณธรรมฯและยาเสพติด..เป็นต้น..
ท่านวิทยากรเคยเป็นครูมาก่อน ท่านจึงเข้าอกเข้าใจในอาชีพครู เมื่อได้ทำงานในกระทรวงฯท่านจึงรู้ว่าโครงสร้างใหม่ ครูต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง กับการปฏิรูปการศึกษาฯ และท่านก็เห็นใจ ที่ครูต้องอดทนกับนโยบายรายวัน..เหมือนกลัวว่าครูจะว่างงาน....(ฮา)
ท่านจึงแนะนำการใช้ชีวิตของครู โดยให้ยาสมุนไพรหม้อใหญ่ ๗ ชนิด..ของท่านพุทธทาส
(๑)ช่างหัวมัน (๒)ไม่รู้ไม่ชี้ (๓)เป็นอย่างนี้เอง (๔)ไม่มีตัวกูของกู (๕)ไม่อยากมี ไม่อยากดีอยากเด่น (๖)ตายก่อนตาย (๗)ดับไม่เหลือ....
ผมยอมรับว่า..วิทยากรท่านเก่งมากๆ ที่ทำให้ผู้บริหารและครูในที่ประชุม ฟังกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ติดตามเนื้อหาที่ว่าด้วยสถานศึกษาสีขาว ที่เกี่ยวพันถึง การปลอดยาเสพติด ปลอดสื่อลามกอนาจาร ปลอดการพนัน และการปลอดการทะเลาะวิวาท..
ครู..คือผู้ที่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งแก่นักเรียน
ครู..ต้องสร้างสรรค์กิจกรรมให้เด็กทำงานร่วมกัน มีน้ำใจให้กัน..รู้รักสามัคคี..
คำบรรยายของวิทยากรทำให้ผมนึกถึง..โครงการคุณธรรม..ที่สพฐ.ให้โรงเรียนดำเนินการ ณ เวลานี้ โดยสพฐ.หยิบยกพระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ ๙..ความว่า..
“เด็กๆ นอกจากจะต้องเรียนความรู้แล้ว ยังต้องหัดทำการงานและทำความดีด้วย เพราะการทำงานจะช่วยให้มีความสามารถ มีความขยันอดทน พึ่งตนเองได้ และการทำดีนั้นจะช่วยให้มีความสุขความเจริญ ทั้งป้องกันตนไว้ไม่ให้ตกต่ำ”
ผมคิดว่า..พระบรมราโชวาทนี้..คือ “หัวใจ”ของสถานศึกษาสีขาว..ที่ผู้บริหารและครู สามารถบูรณาการให้สอดคล้องกับ..โครงการโรงเรียนคุณธรรม..
เพราะ..เด็กไทยต้องเรียนรู้จากพ่อแม่ จากครูอาจารย์และจากสังคม ๓ ประการด้วยกัน คือ เรียนความรู้ เรียนหัดทำการงาน และเรียนทำความดี..
ท้ายที่สุด..จะช่วยให้เด็กพบกับความสุขและความเจริญ ตลอดจนป้องกันมิให้เด็กไทยต้องตกต่ำไปในทางไม่ดี..
ดังนั้น..สถานศึกษาสีขาว..จะบังเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ ก็ด้วยโรงเรียน ยึดแนวทางการจัดกิจกรรม ๔ อย่าง..ได้แก่..
๑. มีแหล่งเรียนรู้..อย่างหลากหลาย เพียงพอและเหมาะสมตามบริบท..
๒. ดูแลช่วยเหลือ..นักเรียนที่มีปัญหา พัฒนาระบบดูแลฯและใช้วิธีการเยี่ยมบ้านนักเรียน
๓. เอื้อเฟื้อด้วยคุณธรรม..ครูใช้ความรักความเมตตา..ดูแลเอาใจใส่นักเรียน
๔. สร้างสรรค์ด้วยกิจกรรม..ครูคือผู้นำการเปลี่ยนแปลง นักเรียนต้องเรียนรู้คู่การปฏิบัติ มีโอกาสทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ครูจึงต้องปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอนอยู่เสมอ
ผมเชื่อว่า..หากผู้บริหารและครู..น้อมนำเอาพระบรมราโชวาทนี้ไปกำหนดเป็นนโยบายการศึกษาที่สำคัญ นำแนวคิดของท่านวิทยากร..ผอ.ชัยชาญ ช่วยโพธิ์กลาง..ไปปรับใช้ด้วยการจัดกิจกรรมทั้งในและนอกหลักสูตรให้นักเรียน จะช่วยให้โครงการสถานศึกษาสีขาวของโรงเรียนในสังกัด สพป.กจ.๔..ประสบความสำเร็จได้..อย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐
จริงจัง มั่นคง และยั่งยืน แค่ไหน....?
ก็ขึ้นอยู่กับ ผอ. และ ครู ในโรงเรียนจ้ะ