สาปสั่ง


...หากคุณเผชิญกับสิ่งลึกลับที่คาดไม่ถึง คุณจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร...

"ดนัย ช่วยหยิบตะกร้าผ้าขี้ริ้วขึ้นมาด้วยนะคะ" เสียงนุ่มนวลของพิมพ์ร้องบอกผู้เป็นสามี
"ตะกร้าที่ว่า อยู่ในรถใช่ไหมพิมพ์" สามีถามย้ำเพื่อยืนยันพิกัดของตะกร้าผ้าขี้ริ้วที่ผู้เป็นภรรยาต้องการ
"ใช่ค่ะ มันอยู่ในรถด้านหลัง"
จากนั้นผู้เป็นสามีก็เดินขึ้นบันไดไปยังห้องที่พิมพ์อยู่ แล้วเปิดประตูห้องส่งตะกร้าดังกล่าวให้กับพิมพ์ คุณแม่ลูกหนึ่งที่ยังสาวและสวย ซึ่งดนัยภาคภูมิใจอยู่เสมอ
ดนัยย้ายมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอเชียงคาน ซึ่งเป็นเมืองเก่าโบราณ ก่อตั้งมาหลายร้อยปีแล้ว บ้านพักนายอำเภอดูเก่าด้วยกาลเวลาแต่หากได้ทำความสะอาดปัดกวาดอย่างดีดูท่าจะน่าอยู่ไม่น้อย บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งโขงเพียงห้าร้อยเมตรเท่านั้น อำเภอเชียงคานมีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน นั่นก็คือ สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ลักษณะเป็นบ้านไม้ชั้นครึ่ง ตัวบ้านทาด้วยสีฟ้าอ่อนซึ่งกำลังกลายเป็นสีฟ้าหม่นไปแล้ว หน้าต่างและประตูเป็นกระจกขุ่นมัว แต่พื้นไม้ยังเป็นมันขลับสะท้อนแสงเงางามแวววับกับแสงแดดที่ลอดผ่านกระจกเข้ามา บริเวณหน้าต่างและประตูมีผ้าม่านเก่าๆสีครีมปิดบังภายในบ้านเพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้พบเห็นจากภายนอก
เมื่อนายอำเภอคนก่อนเสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทั้งที่อายุของท่านยังไม่ถึงสี่สิบปี ชาวบ้านต่างพูดกันเซ็งแซ่ถึงความลึกลับของนายอำเภอคนเก่า เมื่อท่านย้ายมาอยู่ได้ไม่นานก็มีพฤติกรรมแปลกๆ จนชาวบ้านละแวกนี้เกิดความสงสัยในตัวท่านเป็นพิเศษ
พิมพ์กำลังทำความสะอาดบ้านหลังนี้อย่างขะมักเขม้น เพื่อให้ทันได้พักอาศัยในเย็นวันนี้ ดนัยเริ่มยกข้าวของเครื่องใช้มาจัดวางอย่างเป็นระเบียบทีละห้อง
ลูกชายอายุสามขวบของเขากำลังนั่งเล่นหุ่นยนต์ตัวเล็กๆสี่ห้าตัวอยู่กลางห้องโถงซึ่งทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พิมพ์กำลังสาละวนอยู่ในห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องใต้ดิน ห้องนี้ทั้งอับและชื้น บนพื้นห้องมีของใช้นายอำเภอคนเก่าหลงเหลืออยู่ พิมพ์มองเห็นตู้หลังหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ชิดผนังตรงข้ามกับประตูห้อง มันทำด้วยไม้แดงเนื้อดี บานประตูสลักลายกนกดอกบัวตูมอย่างวิจิตรบรรจง มันคงสภาพพร้อมใช้งานได้ แต่เหตุใดจึงมีไม้ตอกตะปูไขว้กันเป็นรูปกากบาทผนึกไว้ ตรงกลางระหว่างไม้ที่พาดผ่านตัดกันนั้นมีอักขระสีแดงจารึกเอาไว้ พิมพ์กลัวว่าตู้ใบนี้จะผุพังเพราะความชื้นของพื้นที่บริเวณนี้ มันน่าจะใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าตั้งไว้เฉยๆ
"ดนัยคะ ด้านบนมีค้อนไหมคะ ช่วยมาเปิดตู้หลังนี้ให้พิมพ์หน่อย พิมพ์อยากได้ตู้นี้ไปใส่เสื้อผ้า" น้ำเสียงขอร้องอย่างอ่อนโยนส่งเสียงดังบอกสามีที่อยู่ด้านบน ซึ่งดนัยไม่เคยขัดใจภรรยาของเขาอยู่แล้ว เช่นเดียวกับพิมพ์ที่ให้เกียรติและมอบความไว้วางใจให้กับผู้เป็นสามีอย่างไม่มีข้อกังขา
"ครับ เดี๋ยวผมลงไป" เมื่อดนัยหาค้อนเจอ ก็รีบเดินลงไปยังชั้นใต้ดินเพื่อทำตามความประสงค์ของภรรยา
พิมพ์ยืนมองตู้หลังนั้นเหมือนคิดอะไรอยู่ เมื่อดนัยลงไปถึง เธอก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน
"ไม่เปิดดีกว่าค่ะ มันอาจเป็นความประสงค์ของผู้ที่ผนึกมันไว้ หรืออาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรดู"
ดนัยมองตู้หลังนั้นไม่ถนัดตานัก เพราะร่างสูงระหงของพิมพ์ยืนบังตู้อยู่ เขาจึงพาตัวเขาไปยืนข้างพิมพ์ เมื่อสายตาของเขาสบกับตู้หลังนั้น ลมปริศนาวูบหนึ่งก็พัดมาต้องหน้าของเขาทันที ดนัยผู้ตามใจภรรยาไม่เคยขัด เริ่มอยากรู้ว่าภายในตู้นั้นมีอะไรอยู่ แต่ด้วยความต้องการของผู้เป็นภรรยาเปลี่ยนความประสงค์ไปแล้ว จึงยากที่ตนจะฝืนทำมัน ทันใดนั้นมโนสำนึกด้านมืด บอกกับเขาว่า "เปิดตู้ดูสิ มันมีอะไรในนั้น" มโนสำนึกฝ่ายดีค้านว่า"อย่าไปยุ่งกับของคนอื่นเลย เชื่อภรรยาของนายบ้างสิ" แล้วมโนสำนึกด้านมืดบอกอีกว่า"เปิดตู้นั้นเดี๋ยวนี้" ดูเหมือนว่าเสียงสั่งการสุดท้ายจะมีอิทธิพลต่อการกระทำของเขา เพราะเขากำลังตกอยู่ใต้อำนาจคำสั่งนั้นเสียแล้ว จิตสั่งการให้เท้าของเขาก้าวย่างไปยืนประจันหน้ากับตู้หลังนั้น แล้วใช้ค้อนงัดไม้ที่ผนึกตู้นั้นออกที่ละอัน ขณะที่เขาเอื้อมมือกำลังจะเปิดมันก็ต้องชะงักไปชั่วขณะ เมื่อมือหนึ่งแตะที่แผ่นหลังของเขา พร้อมกับพูดว่า
"ดนัยคะ อย่าเปิดเลยค่ะ พิมพ์ว่าถึงมันไม่มีอะไรในนั้น เราคงจะยกมันไม่ไหวแน่ๆ เพราะดูท่ามันจะหนักเอาการ"
ดนัยไม่พูดอะไร เหมือนเขาไม่ไยดีกับเสียงของผู้พูด เขาละจากสิ่งที่ได้ยินเอื้อมมือเปิดตู้นั้นทันที แล้วสิ่งที่เขาทั้งสองได้เห็นก็คือภาพถ่ายสีขาวดำ ขนาดเท่ากับสมุดวาดภาพ กรอบรูปทำด้วยไม้แกะสลักรูปพญานาคสองตัวหันหัวและหางชนกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ในสายตาของทั้งคู่ มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน พิมพ์รู้สึกว่าภาพนั้นเป็นเพียงภาพหญิงโบราณธรรมดา แต่ดนัยยังคงตาค้างกับภาพที่ปรากฏ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และหรี่ลงชั่วขณะ แล้วกลับเบิกกว้างและลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ดนัยเอ่ยกับพิมพ์ว่าผู้หญิงในรูปนี้เป็นใครกันนะ เหตุใดมันถึงสำคัญจนต้องผนึกเอาไว้
ภาพหญิงสาวหน้าตาเรียวเล็ก สอดรับกับฟันสวยเรียงเหมือนจัดวางอย่างพิถีพิถัน มวยผมเป็นก้นหอยสูงเกือบฟุตครึ่ง ริมฝีปากบางเล็กรับกับเรียวแขนซึ่งพอดีกับไหล่ที่ตั้งตรงสง่างาม แม้นางในภาพไม่ยิ้มแต่นัยน์ตาช่างงอนงามชวนให้หลงใหลไปในบัดดล ดนัยจ้องมองเรียวปากในภาพนั้นรู้สึกร้อนวูบวาบ และอยากพบหญิงสาวในภาพขึ้นมาทันทีทันใด อาการแบบนี้เขาเคยรู้สึกเมื่อสมัยแตกเนื้อหนุ่มที่พบสาวแรกรุ่น ไม่มีผิด โลหิตในร่างกายของเขาสูบฉีดซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์


ตกเย็นวันนี้ทั้งคู่ชำระล้างร่างกายจากสิ่งสกปรกที่ช่วยกันทำความสะอาดบ้านเมื่อตอนกลางวัน ดนัยพาครอบครัวท่องราตรีชมเมืองใหม่ที่ตนต้องทำความรู้จัก ทั้งความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองนี้ แต่ในจิตใต้สำนึกของเขายังคงคิดวนเวียนถึงหญิงในภาพนั้นตลอดเวลา
วันนี้ทั้งคู่รับประทานอาหารเย็นที่ถนนคนเดิน ซึ่งผู้คนเดินขวักไขว่กระทบไหล่กันไปมาเพราะนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ เมนูอาหารเย็นวันนี้ของครอบครัวเศียรสมุทรก็คือขนมจีนทรงเครื่อง ซึ่งต้นคิดลูกชายของนายอำเภอดนัย บอกว่าอร่อยมาก ต้นคิดทานอาหารตามประสาเด็กสามขวบ เส้นขนมจีนครึ่งหนึ่งกระจายเต็มโต๊ะ เขาใช้ซ่อมตักเส้นขนมจีนส่วนที่เหลือทานจนหมดชาม มันเป็นอาหารพื้นบ้านที่มีลักษณะเหมือนก๋วยเตี๋ยว แต่แทนที่จะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวกับใช้เส้นขนมจีนแทน และใช้น้ำซุปที่ทำจากเครื่องในหมู ล้วนๆ
คืนนี้เป็นคืนแรกที่ครอบครัวเศียรสมุทรจะผักผ่อนกายาในห้องที่เขาไม่เคยได้อาศัยมาก่อน พิมพ์เปลี่ยนผ้าม่านห้องนี้ใหม่ ซึ่งเตรียมมาจากบ้านพักหลังเก่าที่ดนัยย้ายมา มันดูใหม่กว่าผ้าม่านผืนเก่า แต่มีความบางกว่า เมื่อลมพัดมาครั้งใดจึงทำให้ผ้าม่านสะบัดพลิ้วตามแรงลม อากาศเย็นสบายเหมาะสำหรับการพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ดูเหมือนการหลับใหลในคืนนี้จะยาวนานจนถึงเช้า
เมื่อทั้งคู่อยู่ในนิทรา เสียงลมยังพัดเป็นระลอกใบไม้ไหวติงระริกริ้วตามแรงปะทะของลม อากาศเริ่มหนาวชื้นเพราะอยู่ใกล้ฝั่งโขงเพียงห้าร้อยเมตร มันแตกต่างตรงที่ไม่มีเสียงจิ้งหรีดเรไรแข่งกันส่งเสียงหาคู่เลย แล้วเสียงกระซิบจากผู้ที่ไม่ปรากฏตนก็ดังขึ้นในโสตของพิมพ์
"ได้ยินไหม เสียงต้นคิด อยู่ด้านล่าง"
ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ พิมพ์สะดุ้งตื่นขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงต้นคิดดังมาจากด้านล่าง จนทำให้เธอต้องพรวดพราดตามเสียงที่ได้ยินไปทันที
"อิอิ สนุกจังเลย แม่จ๋า"
"ต้นคิด ลูก! ต้นคิด หนูอยู่ไหน"
พิมพ์เปิดไฟทุกดวงที่ร่างอันบอบบางของเธอผ่านสวิตซ์ไฟไป เมื่อเดินลงบันไดไปถึงห้องใต้ดิน เธอเอื้อมมือเปิดประตูอย่างระมัดระวัง "แอ๊ด........."ในความมืด แสงสว่างจากภายนอกเริ่มแผ่รัศมีเข้าไปภายในห้อง เห็นแสงสลัว พอให้เธอจะเดินเข้าไปโดยที่แข้งขาจะไม่ปะทะกับอะไรในนั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือหาสวิตซ์ไฟในห้องนั้นให้เจอ ช่างเป็นการยากที่ผู้มาอยู่ใหม่อย่างเธอจะเจอมันในเวลาอันสั้น เสียงต้นคิดยังดังอยู่เป็นระยะ ทันใดนั้นประตูก็ปิดสนิทเสียงดังตั๊บ! มันทำลายความสว่างเท่าที่มีอยู่ในตอนนั้นจนหมดสิ้น หัวใจของเธอเต้นรัวระริก ดวงตาของเธอมืดสนิทไปชั่วขณะ หูของเธอยังคงได้ยินเสียงของลูกชายสุดที่รักแต่ความมืดก็ทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลย เธอใช้มือคลำหาลูกบิดประตูเพื่ออาศัยแสงสลัวจากด้านนอกหาสวิตซ์ไฟ ในขณะที่ควานหาลูกบิดประตูเธอพร่ำเรียกชื่อลูกชายไม่ขาดปาก ทันใดนั้นมือของเธอก็สัมผัสกับลูกบิดประตู แต่เมื่อหมุนมันไปมากลับเปิดไม่ออก
ในเวลาเดียวกันบนห้องนอนที่ดนัยนอนหลับอยู่ อณูร่างหญิงนางหนึ่งปรากฏบนปลายเตียงของเขา ดนัยมีอาการหลับๆตื่นๆ เปลือกตาขยับขึ้นพอที่เขามองเห็นร่างนั้นพอเลือนลาง ร่างเลือนลางนั้นเริ่มลูบไล้ปลายเท้าของดนัยขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดนัยก็เกิดความต้องการทางกามรมย์อย่างถึงที่สุด ร่างนั้นลุกล้ำขึ้นไปถึงที่หวงห้ามของดนัยแล้วอารมณ์ของทั้งสองก็เริ่มเร่าร้อนรุนแรงขึ้นตามลำดับ เพียงเวลาไม่นานการเริงรมย์ของทั้งคู่ก็สิ้นสุด พร้อมกับพละกำลังของดนัยที่ใช้ไปเมื่อสักครู่นี้จนทำให้เขาหลับไปทันที ร่างเลือนลางเริ่มจางหายไปพร้อมกับห้วงนิทราของดนัย
ขณะเดียวกันประตูห้องใต้ดินก็เปิดออก ทีละน้อย "แอ๊ด......." แสงสว่างจากภายนอกเริ่มแผ่รัศมีเข้ามา ลมวูม หนึ่งพัดมาพร้อมกับประตูที่เปิดออก เสียงต้นคิดหายไปแล้ว แต่พิมพ์กังวลว่าลูกชายจะยังอยู่ในห้องนี้ ความสว่างพอรำไรทำให้เธอมองเห็นสวิตซ์ไฟ กองหนังสือที่วางระเกะระกะเป็นอุปสรรคในการสร้างความสว่างของเธอ แต่เธอก็สามารถเอื้อมมือเปิดไฟได้สำเร็จเมื่อความสว่างจากหลอดไฟปรากฏขึ้นเธอมองไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกชาย แล้วเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงอะไร หรือเธอจะหูฝาดไปเอง เธอปิดไฟและเดินออกมาจากห้องนั้นมาด้วยความฉงน เมื่อมองหาต้นคิดทั่วบริเวณบ้านไม่เจอ จึงตัดสินใจกลับไปยังห้องนอน ต้นคิดกลับหลับสนิทบนเตียงนอนที่มีขอบเตียงสูงทั้งสี่ด้านจนเธออดคิดไม่ได้ว่าลูกชายที่เพิ่งอายุครบสามขวบเมื่อเดือนที่แล้วจะลงจากเตียงนี้ไปได้อย่างไร แต่ก็ช่างมันเถอะตอนนี้ก็ดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องเตรียมของใส่บาตรแต่เช้าเธอจึงพยายามข่มใจให้หลับไปพร้อมกับความฉงนใจ
เช้านี้เธอรีบตื่นนอนเพื่อไปจ่ายตลาดให้ทันใส่บาตร ซึ่งเมื่อคืนนี้เธอกับดนัยเซอร์เวย์สถานที่จับจ่ายไว้แล้ว สายตาของคนในตลาดมองเธออย่างผู้มาใหม่ แต่มันไม่หน้าแปลกที่จะต้องมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น เพราะคนแบบเธอคงมีทุกวันในเมื่อที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนอยากมาสัมผัส เธอคงต้องปรับตัวอีกมากเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างกำลังทำให้เธอสับสน
เมื่อพิมพ์ทำอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่ดนัยยังคงหลับอยู่ จึงรีบขึ้นไปปลุกดนัย เธอโน้มตัวก้มลงกระซิบที่ข้างหูดนัยเบาๆ
"ดนัยคะ ตื่นได้แล้วค่ะ ไปใส่บาตรกัน"
ดนัยลืมตาขึ้นช้า ๆ ด้วยความรู้สึกที่อ่อนเพลียเล็กน้อย เขาหันมายิ้มให้กับภรรยาผู้เลอโฉม พร้อมกับดึงร่างแบบบางของเธอโน้มลงมาประชิดตัวเขา แล้วกระซิบที่ข้างหูเธอว่า
"เมื่อคืนนี้ พิมพ์สุดยอดจริง ๆ"
พิมพ์งงกับคำพูดนั้น
"อะไรนะคะ" ดนัยยิ้มที่มุมปาก ส่งสายตามีเลศนัยให้กับเธอแล้วก็เดินออกไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ปล่อยให้ พิมพ์งงกับคำพูดนั้นอีกแล้ว ตอนนี้สมองของเธอเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ซึ่งเธอจะได้คำตอบจากใคร
ครอบครัวเล็ก ๆ ของนายอำเภอดนัย รอตักบาตรบริเวณหน้าบ้านพักนายอำเภอ ไม่นานจึงมองเห็นภิกษุรูปหนึ่งเดินมาแต่ไกล พิมพ์จัดแจงอาหารที่จะนำมาใส่บาตรอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ภิกษุรูปนั้นหยุดที่หน้าบ้านพัก ทั้งสามก็สลับกันใส่บาตรและรอรับพร หลังจากที่ภิกษุรูปนั้นให้พรเรียบร้อยแล้ว ได้บอกกับดนัยว่า
"หมั่นทำบุญให้มากนะนายอำเภอ สิ่งชั่วร้ายจะทำอะไรไม่ได้" สิ้นประโยคสายตาท่านหันทิศทางมองบ้านหลังนั้น เหมือนกับว่าท่านกำลังมองใครสักคนที่ยืนอยู่บนบ้านหลังนั้นก่อนที่จะเดินลับตาไป มองจากใบหน้าที่สงบสำรวม น้ำเสียงที่สุขุมเยือกเย็น ประกอบกับรอยย่นบนใบหน้าของท่านบ่งบอกว่าท่านคงครองเพศบรรพชิตมานานจนตบะแก่กล้าเป็นแน่
พระธรรมสุทโธ เป็นพระที่จำพรรษาในวัดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งโขง ซึ่งเป็นเขตหมู่บ้านสานะคามประเทศเพื่อนบ้าน มองจากฝั่งไทยสามารถมองเห็นวัดนี้ได้เด่นชัด ท่านพายเรือข้ามฝั่งเพื่อบิณฑบาตแต่เช้ามืด เป็นเช่นนี้มานานจนชาวเชียงคานเลื่อมใสศรัทธา และต้องข้ามฝั่งไปทำบุญตักบาตรเมื่อมีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ เป็นเวลากว่าห้าสิบปีแล้วที่ชาวเชียงคานเห็นท่านปฏิบัติเช่นนี้มา
วันนี้ดนัยขอให้ทางอำเภอหาแม่บ้านให้ เพื่อแบ่งเบาภาระของพิมพ์ เพราะเธอต้องดูแลลูกชายด้วย แม่บ้านคนเดิมสมัยนายอำเภอธนินทร์ยังมีชีวิตอยู่จึงได้รับหน้าที่นี้
"แม่ช้อยครับ นี่พิมพ์ภรรยาของผม"
"สวัสดีค่ะ คุณพิมพ์"
"สวัสดีค่ะ แม่ช้อย"
"เรียกป้าช้อยก็ได้ค่ะ กันเองดี คุณพิมพ์ยังสาวและสวยไม่น่าเชื่อว่ามีลูกแล้ว มีอะไรให้ป้าช่วยก็บอกมาเลยนะคะ บ้านป้าอยู่แถวนี้ ว่าง ๆ เชิญคุณพิมพ์ไปเที่ยวบ้านป้าบ้างนะคะ"
"ขอบคุณที่เชิญค่ะ ไว้มีโอกาสพิมพ์จะไปนะคะ"
การสนทนาทำความรู้จักใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพิมพ์ก็มอบหมายหน้าที่ดูแลบ้านให้กับแม่ช้อย ส่วนอาหารและเสื้อผ้า เธอจะเป็นคนดูแลเอง
แม่ช้อยเป็นคนคุยสนุก ซึ่งดนัยก็หวังเช่นนั้นเพราะอยากให้แม่ช้อยอยู่เป็นเพื่อนคายเหงาให้พิมพ์ พิมพ์เปิดประเด็นเรื่องใดแม่ช้อยสามารถเล่าเรื่องนั้นให้พิมพ์ฟังได้โดยเธอไม่เบื่อเลย วันนี้ก็เช่นกัน เธออยากรู้เรื่องการเสียชีวิตของนายอำเภอธนินทร์ แม่ช้อยก็ตอบคำถามทุกคำได้อย่างหน้าติดตาม
"ป้าช้อยคะ นายอำเภอธนินทร์ท่านป่วยเป็นอะไรเหรอคะ"
"ป้าไม่เห็นท่านป่วยเป็นอะไรหรอกค่ะ การตายของท่านเป็นปริศนา แพทย์สรุปว่าท่านหัวใจล้มเหลว แต่ป้าว่าคงไม่ใช่ ซึ่งคนแถวนี้ก็คิดเหมือนกัน ก่อนหน้าที่ท่านจะเสีย ท่านทำตัวแปลก ๆ ชอบเขียนสมุดบันทึก และบ่นพรึมพรำอยู่คนเดียว บางครั้งเหมือนคุยกับใครอยู่"
"ท่านมีครอบครัวไหมคะ"
"ท่านยังโสดนะคะ อายุสามสิบเก้าปี เห็นว่ากำลังดูใจอยู่กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยคะ แต่ป้าเห็นเธอมาที่นี่แค่ครั้งเดียว ก็ไม่เห็นอีกเลย"
"ตอนกลางวันท่านรีบกลับมาที่บ้านแทบทุกวัน แล้วก็ขลุกอยู่ในห้องเป็นเวลานาน สักพักก็ลงมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดทำงานใหม่ แล้วจึงกลับเข้าอำเภอไป แต่ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเวลาป้าซักผ้าให้ท่านทีไรเสื้อผ้าท่านมีกลิ่นสาป ๆ พิกล ทั้งที่ใส่แค่ครึ่งวันนะคะ"
การสนทนาเป็นไปอย่างน่าสนใจ จนแม่ช้อยเล่าถึงภาพถ่ายผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนายอำเภอธนินทร์รักมาก ทุกวันแม่ช้อยต้องเทน้ำแดงตั้งไว้หน้ารูปนี้ตลอด วันไหนลืมนายอำเภอธนินทร์จะดุแม่ช้อยจนแกต้องจำใส่ใจเอาไว้ว่าต้องเทน้ำแดงทุกวัน
"จนเช้าวันเกิดเหตุ ป้าเห็นท่านยังไม่ลงมารับประทานอาหารเช้า จึงไปเคาะประตูเรียก เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบ ป้ากลัวว่าท่านจะเป็นอะไร จึงไปบอกคนสวนให้มาพังประตูเข้าไป ภาพที่เห็นมันทำให้ป้าตกใจมากจนปานนี้ภาพนั้นยังติดตาป้าไม่เคยลืม นายอำเภอธนินทร์เปือยกายตัวขาวซีดนอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง คนสวนเอาผ้าห่มคลุมตัวท่านไว้แล้วป้าก็รีบโทรแจ้งตำรวจ"
การเสียชีวิตของนายอำเภอธนินทร์เป็นเหตุให้ตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานว่างลง และนายอำเภอดนัยจึงย้ายมาดำรงตำแหน่งแทน อายุของนายอำเภอดนัยมากกว่านายอำเภอธนินทร์เพียงสามปี แต่ด้วยท่านมีภรรยาอายุเพียงสามสิบปีจึงทำให้ท่านดูไม่แก่แต่กลับยังเป็นหนุ่มที่สาวเห็นต้องเหลียวหลัง พิมพ์พบกับนายอำเภอดนัยเมื่อท่านไปดำรงตำแหน่งในอำเภอที่พิมพ์อาศัยอยู่ ทั้งคู่ต่างดูใจกันเป็นเวลาสามปีจึงตัดสินใจแต่งงานกัน ด้วยความเหมาะสมในทุกด้านทั้งฐานะ หน้าตา และชาติตระกูล ทั้งสองจึงใช้ชีวิตคู่โดยไม่มีข้อกังขาจากผู้ใด ครอบครัวเล็กๆของพวกเขาจึงใช้ชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ และเธอก็เป็นแม่บ้านที่ดี มีเสน่ห์ปลายจวัก ใครได้ชิมฝีมือของเธอเป็นต้องติดใจจนต้องยกนิ้วให้เสมอ
แต่วันนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจในฝีมือการทำอาหารของเธออีกแล้ว เมื่อดนัยรับประทานอาหารน้อยลง การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างผิดวิสัย เพราะหลายครั้งสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของสามี อะไรกันนะที่ทำให้เป็นเช่นนี้ หรือความรักของเธอกับเขากำลังจะจืดจางลง เวลาของความสุขในครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอกำลังจะหมดไปงั้นหรือ ในถิ่นที่เธอติดตามเขามาเสมือนกับว่าตอนนี้เธอตัวคนเดียว ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงทางใจเสียแล้ว ความเฉยชาของเขาเริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอเกิดความสงสัยสุดขีดจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรมของสามี
เมื่อถึงเวลาเข้านอน ดนัยรีบร้อนเดินลงไปห้องใต้ดิน เขาพูดคุยกับรูปภาพหญิงสาวในตู้หลังนั้น พิมพ์แปลกใจกับพฤติกรรมของสามี แต่เธอก็เก็บเรื่องนี้เอาไว้โดยไม่เอ่ยถามเหตุผลแต่ประการใด
คืนนี้เธอกับดนัยนอนหลับเช่นทุกคืน และแล้วเสียงกระซิบจากความเงียบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ฟังสิ เสียงต้นคิดอยู่ด้านล่าง"
เธอสะดุ้งตื่นขึ้น แต่ด้วยเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เธอจึงรอบคอบขึ้นกว่าเดิม โดยรุดไปดูที่เตียงนอนของต้นคิด ต้นคิดยังคงหลับสนิท เสียงแว่วนั้นแผ่วเบาลงจนจางหายไป เธอกลับมานอนที่เตียงพร้อมกับบ่นพรึมพรำว่าสงสัยจะหูฝาดไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เตียงขยับ ผ้าห่มด้านของดนัยเลื่อนออกจากตัวเขาทีละน้อย และเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างคร่อมทับร่างของดนัยอยู่ พิมพ์ไม่รอช้ารีบเขย่าดนัยทันที
"ดนัย ดนัยคะ"และแล้วเสียงที่ไม่คาดคิดก็ดังขึ้น
"มึงอย่ายุ่งงงงง....."มันดังขึ้นพร้อมกับร่างของพิมพ์ที่กระเด็นลงมาจากเตียงเสียงดัง "ตุ๊บ" เธอรีบคลานไปอุ้มต้นคิด ซึ่งกำลังหลับอยู่แล้วพาร่างอันบอบช้ำของเธอขยับให้หลังพิงประตู เธอกอดต้นคิดไว้แน่น และนั่งมองดนัยด้วยความเป็นห่วงระคนกับความหวาดกลัว แล้วร่างลางๆของผู้หญิงผมยาวตนหนึ่งก็ปรากฏเป็นเงาสีเทาๆขึ้น เธอกำลังจะร่วมเพศกับสามีของพิมพ์ ดนัยยังเคลิ้มกับอาการหลับๆตื่นๆ โดยไม่สนใจสายตาของผู้เป็นภรรยา พิมพ์ส่งเสียงแผ่วเบาทั้งน้ำตานองหน้าเรียกชื่อสามีของเธอ ไม่นานความเจ็บปวดในหัวใจก็เข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว ด้วยภาพที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นต่อหน้าเธอ มันกำลังกัดกินความรู้สึกดีๆที่เธอมีให้ดนัยไปเรื่อย ๆ แต่เธอก็ยังพร่ำเรียกชื่อดนัยไม่ขาดปาก
"ดนัย ดนัย" แต่อย่างไรก็ตามด้วยความรักสามี สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่สามารถพรากเธอจากตรงนั้นไปได้ เธอทนดูดนัยกับหญิงตนนั้นร่วมรักกันตรงหน้าจนภารกิจบนเตียงสิ้นสุดลงร่างนั้นก็จางหายไป ดนัยไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว พิมพ์ถลาเข้าไปหาดนัยพร้อมกับวางต้นคิดข้างๆกับผู้เป็นพ่อ แล้วเขย่าเรียกชื่อสามีทั้งน้ำตา
"ดนัย ดนัย " รู้สึกว่าดนัยไม่ได้ยินเสียงเธอเสียแล้ว เธอทรุดลงข้างเตียงเฝ้ามองร่างของสามีเป็นเวลาเท่าใดมิอาจทราบได้ รู้แต่เพียงว่าเธอสะดุ้งตื่นในตอนเช้า เมื่อตื่นขึ้นสิ่งแรกที่ยังอยู่ในภวังค์ความคิดของเธอก็คือดนัย เธอรีบปลุกดนัยอีกครั้งแต่เขายังคงไม่รู้สึกตัว พิมพ์เกิดความสับสนกับเรื่องที่ไม่คาดคิด มันเหมือนกับความฝัน แต่ถ้าเธอฝันไปเหตุใดดนัยจึงยังไม่ฟื้น และตอนนี้ที่พึ่งเดียวที่เธอคิดถึงก็คือแม่ช้อย เวลาช่างประจวบเหมาะ เสียงสวรรค์ที่เธอกำลังรอคอยก็ดังขึ้น
"คุณพิมพ์คะ ป้ามาแล้วค่ะ" พิมพ์รีบวิ่งลงบันไดมาหาแม่ช้อยอย่างรวดเร็ว
"ป้าช้อย ช่วยพิมพ์ด้วย มันเหลือเชื่อมาก พิมพ์จะทำอย่างไรดี ป้าช้อย"
ภาพหญิงผู้สง่างามที่แม่ช้อยเคยเห็นทุกวันนั้นหายไป พิมพ์ ผมยุ่งรุงรัง คาบน้ำตาติดตามแก้มเนียนๆเป็นทางยาวถึงคางเรียวแหลมทั้งสองข้าง นัยน์ตาแดงช้ำจากการสูญเสียน้ำตามากเกินปริมาณ
"เดี๋ยวก่อน! คุณพิมพ์ ทำใจดีๆ ไว้ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ป้าฟังก่อน"
พิมพ์เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ช้อยฟัง โดยที่ไม่น่าเชื่อว่าแม่ช้อยจะเชื่อทุกคำพูดที่เธอบอกอย่างสนิทใจ
"ป้าเชื่อคุณพิมพ์ค่ะ เรื่องนี้คงต้องพึ่งตาคงอีกแล้ว"
"ตาคงเป็นใครคะ"
"ตอนที่นายอำเภอธนินทร์เสียชีวิต นอกจากตำรวจแล้ว ผู้ที่ตำรวจเชิญมาในวันเกิดเหตุก็คือตาคง เมื่อตำรวจอ่านบันทึกเล่มนั้นจึงได้เชิญตาคงมาด้วย วันนั้นตาคงขอลงไปห้องใต้ดิน แกทำอะไรบางอย่างในนั้นนานร่วมชั่วโมงก็ออกมา และกำชับให้ตำรวจหากระดาษหน้าที่หายไปจากสมุดบันทึกให้เจอ
"ตาคงทำอะไรคะ"
"ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เห็นแกลงไปแล้วก็กลับขึ้นมา ตำรวจสรุปสำนวนคดีตามคำวินิจฉัยของแพทย์ว่านายอำเภอธนินทร์เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันค่ะ"
แม่ช้อยอาสาไปตามตาคงที่วัดหมู่บ้านสานะคาม เมื่อกลับมาตาคงไม่ได้มาด้วยแต่ฝากคำพูดมาบอกพิมพ์ว่าวันนี้เป็นวันแข็งที่ด้านมืดมีอำนาจมากกว่าซึ่งถ้าแกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรและอาจได้รับผลเสียมากว่า เที่ยงวันนี้นายอำเภอดนัยก็จะฟื้นเอง และกำชับให้พิมพ์หากระดาษหน้าที่หายไปจากสมุดบันทึกเล่มนั้นให้เจอ มันสำคัญมาก หากไม่ได้มันมา เร็วๆนี้นายอำเภอไม่รอดแน่ คำพูดที่ได้ยินจากปากของแม่ช้อย ทำให้เธอหวั่นวิตก และเมื่อดนัยฟื้นเวลาเดียวกับที่ตาคงบอก พิมพ์จึงเชื่อในคำพูดทุกคำของตาคง และสมุดบันทึกเล่มนั้นคงเป็นเล่มเดียวกับที่นายอำเภอธนินทร์เขียนก่อนจะเสียชีวิต เธอต้องหากระดาษหน้าที่หายไปจากสมุดบันทึกนั้นให้เจอ
ตอนนี้พิมพ์เริ่มมั่นใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างในบ้านหลังนี้และสมุดบันทึกเล่มนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดนี้ด้วย
"ข้อความในกระดาษแผ่นนั้นมีอะไรกันนะ มันจึงสำคัญถึงขนาดนี้"
สมุดบันทึกเล่มนั้นคงอยู่ในสถานีตำรวจ เพราะมันเป็นหลักฐานสำคัญที่ตำรวจต้องเก็บเอาไว้ พิมพ์อาศัยตำแหน่งหน้าที่ของสามี ทำความรู้จักกับตำรวจที่รับผิดชอบคดีของนายอำเภอธนินทร์ เธอนัดพบนายตำรวจที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
พิมพ์จับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน จนนายตำรวจอาวุธโสเริ่มบทสนทนาก่อน
"คุณพิมพ์อยากรู้เรื่องคดีของนายอำเภอธนินทร์เหรอครับ"
"เออ! ค่ะ พิมพ์อยากอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้น"
"คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็นความลับของทางราชการ"
"แต่คดีก็ปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ"
"ถึงแม้ว่าคดีจะปิดไปแล้ว หลักฐานก็ต้องเก็บตามอายุของคดี เผื่อมีการลื้อคดีครับ"
"ถ้าอย่างนั้นขอความกรุณาให้คุณตำรวจช่วยเล่าเรื่องในสมุดนั้นให้พิมพ์ฟังหน่อยจะได้ไหมคะ พิมพ์คิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดนัยกำลังเป็นอยู่ตอนนี้แน่ๆ ตอนนี้ครอบครัวของพิมพ์กำลังเจอกับเรื่องประหลาดที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง"
"ในสมุดเล่มนั้นเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นายอำเภอธนินทร์รำพันถึง ส่วนใหญ่เป็นข้อความที่แสดงถึงความเจ็บปวดทรมานและโหยหาผู้หญิงที่เขารัก มีข้อความตอนหนึ่งเขียนสารภาพว่าเขารักผู้หญิงที่ไม่มีตัวตนเขามองเห็นเธอได้แค่เลือนลาง
"เธอเป็นใครคะ"
"ผมคงบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ คุณพิมพ์หาส่วนที่หายไปจากสมุดเล่มนั้นดีกว่า มันอาจจะบอกได้ว่าเธอเป็นใคร"
ความใคร่รู้ทำให้เธอหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องเดียว จนแม่ช้อยต้องรับภาระทุกอย่างในบ้านแทน ดนัยเก็บตัวอยู่แต่ในห้องและไม่ยอมไปทำงาน ต้นคิดจึงต้องตกอยู่ในความดูแลของเธอด้วย แม่ช้อยสังเกตเห็นต้นคิดมีพฤติกรรมบางอย่างเหมือนกับนายอำเภอธนินทร์ เด็กน้อยเริ่มพูดคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็น ยิ้มกับสิ่งที่ว่างเปล่าตรงหน้า และหัวเราะสนุกสนานกับใครสักคน เธอรู้สึกหวาดหวั่นในใจลึกๆ ว่าสิ่งลึกลับเริ่มเบนความสนใจมาหาเด็กน้อยผู้นี้ด้วยแล้ว
พิมพ์เฝ้าครุ่นคิดถึงสมุดบันทึกเล่มนั้น อะไรๆจะง่ายขึ้น หากเธอเห็นรูปพรรณสัณฐานของมัน เธอตัดสินใจไปพบนายตำรวจอีกครั้ง ร้อยเวรพาเธอนั่งรอที่ห้องทำงานของนายตำรวจที่เธอไปพบ แล้วสายตาเธอก็มองเห็นภาพหนึ่งที่แขวนไว้บนผนังห้องเหนือเก้าอี้ทำงาน ภาพนั้นมีหญิงสาวคนเดียวกับที่อยู่ในตู้ไม้เก่าที่บ้านพักนายอำเภอ มันเป็นภาพเก่าสีขาวดำใส่กรอบราคาแพง นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ห้าคนยืนถ่ายภาพสลับกับหญิงสาวห้าคน ซึ่งคาดว่าจะเป็นภรรยาของบุรุษในเครื่องแบบเหล่านั้น ในบรรดาหญิงห้าคนเธอยืนสง่าตรงกลาง และขณะที่เธอมองภาพนั้นไม่วางตา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
"ก๊อก ก๊อก รอนานไหมครับ คุณพิมพ์"
"ไม่นานค่ะ" ขณะตอบคำถาม พิมพ์ยังไม่ละสายตาจากภาพนั้น
"ผู้หญิงในภาพนั้นเป็นใครคะ" นายตำรวจมองตามทิศทางสายตาของพิมพ์ไป
"อ๋อ เป็นภาพภริยานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รุ่นแรกที่ประจำอยู่ที่นี่ครับ ภาพนี้เป็นสมบัติเก่าแก่ของสถานีเรา"
"ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นใครคะ"
"ผมไม่รู้จักชื่อท่านหรอกครับ คนแถวนี้เล่าต่อๆกันมาว่า ตำรวจหลายนายเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันเพราะท่าน จนท่านต้องจบชีวิตโดยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย มันเป็นเรื่องเล่าไม่รู้จริงเท็จประการใด คุณพิมพ์ถามทำไมครับ"
"พิมพ์เห็นภาพเธอในบ้านพักค่ะ"
"เหรอครับ น่าแปลก เพราะท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว ซึ่งคงนานกว่าจะสร้างบ้านพักหลังนั้นด้วยซ้ำ"
"มันถูกผนึกเอาไว้ในตู้ซึ่งลงอักขระเอาไว้ "
"หา! อะไรนะครับ"นายตำรวจวัยฉกรรจ์ตกใจกับเสียงที่ได้ยิน
พิมพ์ทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง รู้สึกว่านายตำรวจจะเห็นเค้าความเกี่ยวโยงระหว่างนายอำเภอธนินทร์กับนายอำเภอดนัยแล้ว
"ตู้นั้นอยู่ที่ไหนครับ"
"ในห้องใต้ดินค่ะ"
"ตาคง" นายตำรวจเรียกชื่อผู้ที่ผนึกภาพนี้เอาไว้ ซึ่งพิมพ์รู้แล้วว่าตาคงเป็นใคร
"ตาคงทำไมคะ"
"ตาคงอยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้นด้วย ทางเราอ่านสมุดบันทึกนั่นแล้วแน่ใจว่าต้องมีเรื่องเร้นลับที่เราไม่สามารถจัดการได้ จึงต้องเชิญตาคงมาด้วย เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานและตรวจสอบที่เกิดเหตุทุกซอกมุมแล้ว จึงให้ตาคงอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้น แกจึงขอลงไปห้องใต้ดิน แกใช้เวลาในนั้นอยู่นานจึงออกมา แล้วบอกให้ทางเราหาหน้าที่ถูกฉีกออกไป แต่ค้นหากันถึงสองวันก็ไม่พบจนผลการชันสูตรของแพทย์ออกมาสรุปว่านายอำเภอธนินทร์เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน"
"พิมพ์อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร"
"เธอน่าจะตายไปแล้วประมาณเกือบร้อยปีแล้วกระมัง ผมรู้แต่ว่าในสมัยนั้นความงามของเธอเป็นที่เลื่องลือจนโจษจันกันมาถึงทุกวันนี้ คุณพิมพ์คงไม่ได้มาหาผมเพราะเรื่องนี้หรอกนะครับ"
"ค่ะ พิมพ์อยากเห็นสมุดบันทึกเล่มนั้น มันจะเป็นการง่ายหากพิมพ์เห็นรูปเล่มของมัน อาจช่วยให้พิมพ์หากระดาษแผ่นนั้นได้ง่ายขึ้น"
นายตำรวจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจ เปิดภาพสมุดเล่มนั้นจากคอมพิวเตอร์ของเขาให้พิมพ์ดู สมุดเล่มนั้นดูเก่าคร่ำคร่าปกสีน้ำตาลแดงมองจากรูปเล่มบ่งบอกถึงการใช้งานหลายต่อหลายครั้ง มันมีขนาดเท่าหนังสือขายหัวเราะ หน้าปกเขียนด้วยลายมืออ่านง่ายว่าบันทึกของธนินทร์ ติณวงศ์ เธอพอจะมองภาพออกและต้องการหากระดาษหน้านั้นโดยเร็วจึงขอตัวลากลับ
พิมพ์ขับรถเก๋งขนาดกะทัดรัดของเธอเรียบถนนชายโขงมาตามทางที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมถนนจนติดกันทั้งสองฝั่ง กิ่งของมันแผ่สาขาจรดกันปกคลุมจนเป็นซุ้มถนนทอดยาวตลอดถนนเส้นนี้ หากเป็นรถขนาดใหญ่อย่างรถสิบล้อผ่านทางนี้ไม่ได้แน่เพราะหลังคารถคงไม่พ้นกิ่งไม้เหล่านั้น เธอใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สายตาเธอมองแม่น้ำโขงที่กำลังไหลเชี่ยว ถนนคดเคี้ยวขนานไปตามสายน้ำสีโอวันติน จะว่าไปแล้วหากไม่คำนึงถึงแนวหินที่กั้นดินเซาะริมฝั่งโขงและฟุตบาทข้างทาง ถนนเส้นนี้ก็ใกล้กับแม่น้ำโขงเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น มนต์เสน่ห์ของเชียงคานหน้าหลงใหลจนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากไม่เกิดเรื่องประหลาดนี้ขึ้นเธอกับครอบครัวอาจปักหลักอยู่ที่นี่เป็นแน่ สถานที่แห่งนี้เรียบง่ายงดงามแต่กลับมีเรื่องราวลึกลับซับซ้อนจนเธอข่มตาให้หลับในแต่ละคืนนั้นยากยิ่งนัก
เมื่อพิมพ์หมุนพวงมาลัยรถเข้าประตูบ้านพักเธอก็เห็นว่ามีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่กับแม่ช้อยที่ม้านั่งหน้าบ้านพักซึ่งมีสนามหญ้าขนาดย่อมสีเขียวขจีรองพื้นม้านั่งอยู่ เธอจอดรถแล้วตรงดิ่งมาหาชายผู้นั้น ต้นคิดวิ่งมารายงานว่าชายคนนั้นชื่อตาคง เธอทำความเคารพผู้อาวุธโสตามธรรมเนียมไทย ตาคงมองหน้าพิมพ์ด้วยความหวั่นวิตก แล้วก็เล่าเรื่องในตำนานโบราณเรื่องหนึ่งโดยไม่กล่าวอารัมภบท
"นานมาแล้วเล่ากันว่ามีหนังสือผูกเล่มหนึ่ง จารด้วยอักขระฝักขาม เล่าถึงตำนานพญานาคสามตัว ตัวหนึ่งเป็นเพศเมียยาวห้าเมตร อีกสองตัวเป็นเพศผู้ยาวหกเมตร พญานาคทั้งสามโตมาพร้อมกัน เมื่อถึงเวลาต้องสืบทอดเผ่าพันธุ์ สุทโทนาคผู้เป็นใหญ่ในลุ่มน้ำโขงให้นางพญานาคเลือกพญานาคตัวใดตัวหนึ่งที่โตมาพร้อมกัน นางพญานาคปฏิเสธการเลือกคู่ ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อนางแปลงเป็นคนมาเล่นน้ำที่ริมฝั่งโขงได้พบชายผู้หนึ่งที่นางรักและผูกพันด้วยจนถึงขั้นได้สมสู่กับชายผู้นั้น ต่อมานางได้ตั้งท้องจึงเป็นเหตุให้นางปฏิเสธการเลือกคู่ สุทโธนาคจึงให้นางเลือกระหว่างการเป็นพญานาคที่มีชีวิตอมตะแต่ต้องเลือกพญานาคตามที่ตนกำหนดให้ หรือจะยอมอยู่กับชายที่ตนรักแต่ต้องมีอายุไขตามธรรมดาของมนุษย์โลกเท่าที่จะมีได้ นางเลือกที่จะเป็นมนุษย์ธรรมดาและขออยู่กินกับชายที่ตนรัก นางตั้งท้องถึงสามปีจึงคลอดบุตรสาวหน้าตาน่าเอ็นดูผู้หนึ่ง ให้ชื่อว่า "น่านคำ" พญานาคหนุ่มทั้งสองอาฆาตแค้นที่นางเลือกอยู่กินกับมนุษย์และเจ็บแค้นที่นางมีบุตรผิดเผ่าพันธุ์ จึงสาปให้พ่อของเด็กน้อยตายก่อนวัยอันควร และขอให้บุตรสาวที่เกิดมา ผิดหวังเพราะความรักอยู่ร่ำไป หากพบชายที่ตนรักและชายผู้นั้นมีใจตอบ ขอให้คนที่นางรักมีอันเป็นไปจนนางต้องเจ็บปวดแสนสาหัส และขอให้โหยหาความรักจนไม่รู้จักจบสิ้นชั่วกัปชั่วกัลป์ ส่วนนางพญานาคเจ็บปวดที่ต้องเสียคนรักจนตรอมใจตายในที่สุด"
"และภาพที่คุณตาผนึกเอาไว้ในตู้นั้นก็คือน่านคำ ใช่ไหมคะ"
"นังหนู เอ็งฉลาดมาก" ตาคงเอ่ยปากชมพิมพ์ เมื่อเธอเรียนรู้และเข้าใจอะไรง่ายขึ้น มันเป็นการดีสำหรับเวลาที่เหลืออันน้อยนิดนี้
และด้วยภาษาและท่าทางของตาคง พิมพ์คิดว่าแกคงไม่ใช่หมอผีธรรมดาแน่นอน นอกจากแก่กล้าเรื่องคาถาอาคมแล้ว คงต้องช่ำชองเรื่องอักขระโบราณด้วย มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้พิมพ์รู้สึกว่าตาคงเป็นผู้เดียวที่จะช่วยเธอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายนี้ได้
"พิมพ์สงสัยว่าในกระดาษแผ่นนั้นมีอะไร ทำไมถึงสำคัญมากจนต้องหามันให้เจอ"
"ในห้วงเวลาที่โลกของน่านคำและโลกของเราอยู่คนละด้านกัน ซึ่งมันนับจากเวลาข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ เมื่อใดที่พระจันทร์เต็มดวงเป็นข้างขึ้นทั้งสองไม่มีทางจะเจอกันได้ นายอำเภอธนินทร์ใช้สมุดบันทึกหน้านี้ติดต่อกับน่านคำ และมีข้อความตอนหนึ่งที่น่านคำบอกที่ซ่อนร่างของเธอไว้ในกระดาษแผ่นนั้น หากเราพบมัน ก่อนที่คืนเดือนมืดคืนต่อไปจะเริ่มขึ้นเราก็จะช่วยนายอำเภอได้ หากไม่พบคืนนั้นคงเป็นคืนสุดท้ายของนายอำเภอดนัย เพราะการสมสู่ครั้งนี้จะทำให้นายอำเภอดนัยสูญเสียธาตุในกายจนหมดสิ้น เราต้องหามันให้เจอเพื่อนำร่างนั้นข้ามไปทำพิธีส่งวิญญาณและล้างคำสาปของพญานาค"
"ทำไมต้องข้ามไปฝั่งนั้นล่ะคะ"
"ผู้เดียวที่สามารถทำพิธีนี้ได้ มีเพียงหลวงปู่ธรรมสุทโธเท่านั้น ท่านมีตบะแก่กล้า และที่สำคัญท่านเป็นลูกผสมเช่นเดียวกับน่านคำ จึงเป็นผู้เดียวที่จะล้างคำสาปของพญานาคได้ อย่าช้าเลย นังหนูลงมือกันเถอะ"
แห่งเดียวที่คิดว่าเป็นที่ซ่อนของกระดาษซึ่งกุมชะตาชีวิตของดนัยเอาไว้ คือห้องใต้ดิน พิมพ์และตาคงบึ่งตรงไปยังห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับ แม่ช้อยอุ้มต้นคิดตามไปติดๆ ระหว่างที่ทั้งคู่ค้นหากระดาษแผ่นนั้น แม่ช้อยดูแลต้นคิดไม่ห่างตาและอยู่ใกล้ห้องที่พิมพ์กับตาคงกำลังค้นหากระดาษแผ่นนั้น เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
ทั้งพิมพ์และตาคงแบ่งพื้นที่กันค้นหา ซึ่งภายในห้องมีกองหนังสือกฎหมาย หนังสืออ่านเล่น สมุดที่ใช้แล้ว กล่องเล็กๆ อีก เจ็ดแปดกล่อง และกองเสื้อผ้าเก่าของนายอำเภอธนินทร์วางเต็มไปหมด ภายในห้องมีกลิ่นอับและอากาศที่ไม่ปลอดโปร่งเป็นอุปสรรคในการค้นหา ทั้งสองแบ่งโซนกันค้นหาทุกซอกทุกมุม ทุกหน้าของหนังสือแต่ละเล่ม การค้นหาใช้เวลานานจนค่ำ ความเหนื่อยล้าไม่ปรากฏให้เห็น ในสมองของทั้งสองคนมีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องการ แม่ช้อยเฝ้ามองเป็นระยะ ๆ สลับกับดูความปลอดภัยให้กับต้นคิด การค้นหาดำเนินต่อไปจนนาทีสุดท้าย เหลือเพียงที่เดียวก็คือตู้เก่าหลังนั้น แต่ทั้งสองก็รู้ดีว่าในนั้นมีเพียงรูปของน่านคำเท่านั้น พิมพ์เกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีว่าทำไมตู้อย่างดีจึงอยู่ในนี้ และทำไมตาคงต้องนำภาพน่านคำผนึกไว้ในตู้นี้ จึงได้รับคำตอบว่า ตู้นี้หนักมากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ตาคงให้ตำรวจสี่นายยกตู้นี้ไม่ขยับเลย มันคงอยู่ที่นี่ก่อนที่นายอำเภอธนินทร์จะย้ายมา ส่วนรูปน่านคำตาคงไม่สามารถนำมันออกจากบ้านหลังนี้ได้เพราะเมื่อจับรูปนี้ออกประตูบ้านไปมือของตาคงก็แสบร้อนเหมือนไฟเผา ในเมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องนำรูปนี้เก็บไว้ที่นี่และลงอาคมไว้เพื่อไม่ให้น่านคำติดต่อกับดวงวิญญาณของนายอำเภอธนินทร์ จนกว่าดวงวิญญาณของนายอำเภอ
ธนินทร์ไปสู่สุคติหลังเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา ไม่งั้นวิญญาณของท่านต้องตกเป็นทาสรักของน่านคำไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
"หรือว่าที่ซ่อนร่างของน่านคำจะอยู่หลังตู้โบราณนี้ "
"เรายกมันออกไม่ได้แน่ๆ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ลองวิธีนี้ดู" เมื่อพิมพ์พูดจบก็เดินขึ้นบันไดไป แม่ช้อยรอจังหวะให้คุณพิมพ์ออกจากห้องนั้นอยู่พักหนึ่งแล้ว เพราะรอบอกเรื่องสำคัญ ด้วยเกรงว่าอาจจะสายไป
"คุณพิมพ์คะ ป้ามีเรื่องจะบอก" ในระหว่างที่พิมพ์กำลังกดโทรศัพท์หาเบอร์ช่างเจาะผนัง เธอถามแม่ช้อยโดยไม่ไยดีกับคำถามของตนมากนัก
"มีอะไรคะป้าช้อย"
"คุณต้นคิดค่ะ"
เมื่อได้ยินชื่อลูกชายผู้เป็นที่รัก เธอละกิจสำคัญที่เธอกำลังทำอยู่หันมาถามแม่ช้อยทันที
"ต้นคิดเป็นอะไรเหรอค่ะ"
"เออ.... สองสามวันก่อน ป้าสังเกตเห็นคุณต้นคิดพูดอยู่คนเดียว เหมือนกับว่าแกกำลังเล่นอยู่กับใคร ท่าทางแกสนุกสนาน ป้าว่ามันอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้นะคะ"
"น่านคำคงต้องการคนที่หนูรักทั้งสองคนแล้วล่ะหนูพิมพ์ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอโหยหามันมาตลอด" ตาคงฟังการสนทนาของทั้งสอง และร่วมแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ผู้ฟังต้องหนักใจทวีคูณขึ้นไปอีก
สมองของพิมพ์เหมือนถูกบีบด้วยของแข็งขนาดใหญ่ เธออึ่งไปชั่วขณะ แล้วรวบรวมสติสัมปชัญญะกดโทรศัพท์หาหมายเลขโทรศัพท์ช่างเจาะผนังทันที ไม่นานช่างเจาะผนังในอำเภอก็มาถึง เขาเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับลักษณะงานตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน เพราะด้วยเสียงของผู้โทรศัพท์ติดต่อดูจะต้องการทำกิจนั้นโดยเร็ว
เมื่อถึงห้องนั้น พิมพ์บอกพิกัดของภารกิจกับช่างเจาะผนังที่จะต้องทำ เธอเปิดตู้นั้น แล้วเอื้อมมือหยิบภาพน่านคำด้วยความระมัดระวัง มันเหมือนกับว่าสายตาของน่านคำกำลังอาฆาตแค้นการกระทำของพิมพ์ ภาพนั้นช่างน่ากลัวเกินกว่าที่จะบังคับมือให้หยุดสั่นได้ แต่เธอก็กำมันแน่ ทันใดนั้นขาของเธอก็สะดุดกับกล่องหนังสือที่วางระเกะระกะในห้องนั้น จนเสียหลัก ภาพของน่านคำหลุดจากมือของเธอกระแทกพื้น กระจกแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เธอรีบก้มลงหยิบภาพนั้นขึ้นมาแต่กระจกและกรอบรูปที่แตกร้าวกลับหลุดลงพื้นอีกครั้ง ซีกหนึ่งของกระจกที่แตกมีกระดาษสีครีมแทรกอยู่หลังภาพนั้น เธอรู้สึกมีความหวังที่เห็นกระดาษแผ่นนั้นเพราะคิดว่ามันคือหน้าที่หายไปจากสมุดบันทึก สายตาเธอจดจ้องอยู่กับกระดาษแผ่นนั้น โดยไม่สนใจเสียงเหล็กแข็งที่กระทบผนังตู้เสียงดังกรื๋น...กรื๋น เธอหยิบมันขึ้นมาและบรรจงเปิดมันอย่างใจจดใจจ่อ และแล้วสายตาของเธอก็ต้องผิดหวังกับข้อความในกระดาษแผ่นนั้น เพราะลายมือที่น่านคำเขียนโต้ตอบกับนายอำเภอธนินทร์เป็นอักขระโบราณซึ่งเธอไม่สามารถแปลความหมายได้ เธอคิดว่าตาคงอาจช่วยอ่านข้อความนั้นได้ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามตาคง ตาคงกับเป็นฝ่ายเรียกชื่อเธอก่อน
"หนูพิมพ์"ตาคงเรียกพิมพ์ขณะเดียวกับที่สิ้นเสียงเจาะผนังแต่กับมีเสียงหนึ่งแว่วมาแทน มันเหมือนเสียงน้ำไหล พิมพ์มองตามเสียงตาคงไป เธอก็พบว่าหลังตู้นั้นมีอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มนุษย์สามารถลอดเข้าไปได้
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ช่างเจาะผนังจับไฟฉายแล้วกระโดดเข้าไปในอุโมงค์นั้น พร้อมกับรายงานสภาพด้านในเป็นระยะๆ
"โห... อุโมงค์นี้เป็นทางยาวเลยครับ น่าจะถึงแม่น้ำโขง เดี๋ยวนะครับ! มันมีทางแยกด้วย แต่เป็นทางตัน... เฮ้ย!"
เมื่อตาคงได้ยินเสียงอุทานของช่างเจาะผนัง ก็รีบกระโดดตามไปทันที กลิ่นสาปทวีความรุนแรงตามฝีเท้าที่รวดเร็วของตาคง ทันใดนั้นตาคงก็พบสิ่งที่หามาทั้งวัน นั่นก็คือ ร่างของน่านคำ เธอนอนแน่นิ่งอย่างสงบอยู่บนแผ่นหินขนาดเท่าตัวของเธอ ตาคงขอร้องให้ช่างเจาะผนังช่วยหามร่างนี้ออกไปที่ห้องใต้ดิน ทั้งสองแบกร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง พร้อมกับต่อสู้กับน้ำหนักของร่างนั้นที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงปากอุโมงค์ ตาคงกับช่างเจาะผนังวางร่างนั้นลงกับพื้นห้องที่กวาดกองหนังสือออกพอวางร่างของน่านคำได้ ทั้งสามคนนิ่งมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ร่างเธอไม่เน่าเปื่อยแต่กับแห้งหนังหุ้มติดกระดูกและแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ใบหน้าของเธอยังคงเค้าความงามอยู่เปลือกตาของเธอเปิดกว้างมองเห็นแววตาฉายแววที่เหมือนกับว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ กลิ่นสาปยังคงรบกวนระบบการหายใจของทุกคนจนต้องกลั้นสอดอากาศเป็นระยะ
ตาคงขอร้องให้ช่างเจาะผนังปิดเรื่องนี้เป็นความลับ และให้ช่วยนำร่างนี้ข้ามฝั่งโขงไปที่วัดแห่งนั้น ด้วยกลัวผู้อื่นจะแตกตื่น จึงต้องนำร่างนี้ไปภายในคืนนี้ ตาคงติดต่อเรือของเพื่อนสนิทและใช้รถของช่างเจาะผนังบรรทุกร่างนั้นไปถึงท่าเรือ เมื่อยกร่างของน่านคำขึ้นเรือก็เกิดลมพัดต้นไม้ริมฝั่งโขงโบกสะบัดไปมา และลมนั้นก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตาคงบอกทุกคนว่า "เร็วเข้า" พิมพ์อุ้มต้นคิดไว้กับอก แม่ช้อยถือของที่เตรียมตามคำสั่งของตาคงพะรุงพะรังเต็มมือ เมื่อวางร่างน่านคำลงกลางพื้นลำเรือ ตาคงพนมมือร่ายคาถาเพื่อสยบเหตุวิปริต ทุกคนประจำที่ ในใจของพิมพ์ยังคงเป็นห่วงสามีที่เอาแต่เก็บตัวในห้อง แต่เธอก็หวังว่าพิธีกรรมคืนนี้จะทำให้เขาเป็นปกติ
ระหว่างล่องเรือข้ามฟาก น้ำโขงไหลแรง และเชี่ยวเป็นเกลียวสาดกระเซ็นเป็นฟองฝอยปะทะเรือเป็นระลอก ลมลึกลับเสียงอื้ออึ่งพัดวนรอบลำเรือตลอดเวลา เมื่อถึงกลางน้ำ ตาคงตรงไปที่หัวเรือ แล้วร่ายคาถาอีกครั้ง แกเป่ามนต์กำไว้ในมือและฟาดลงที่หัวเรือสุดแรงเกิด สายตาอันแกร่งกล้าของตาคงกำลังต่อสู้กับอำนาจมืด ซึ่งมันต้องการขัดขว้างหรือทำลายเรือลำนี้ไม่ให้ถึงที่หมายได้ตามประสงค์ แต่เพื่อนเก่าแก่ของตาคงสามารถบังคับเรือขึ้นฝั่งได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามลมประหลาดยังคงพัดแรงอยู่ไม่หยุด เมื่อถึงที่จอดเรือหน้าวัด ตาคงกับช่างเจาะผนังพยายามยกร่างน่านคำขึ้นจากพื้นเรือ แต่ยกเท่าไหร่ร่างนั้นก็ไม่ยอมขึ้น ทั้งสองประสานสายตากันและลองใหม่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล กลับทำให้เรือลดระดับจมลงใต้น้ำไปทีละน้อย เพราะน้ำหนักของร่างน่านคำกำลังหนักขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงน่าสิ่วน่าขวานทุกคนก็เห็นภิกษุรูปหนึ่งยืนอย่างสำรวมอยู่บนลานวัดซึ่งติดกับบันไดขั้นสุดท้าย บันไดทอดยาวมาถึงริมโขงกะด้วยสายตาประมาณสามสิบกว่าขั้น ตาคงวิ่งขึ้นไปหาภิกษุรูปนั้นโดยเร็ว พิมพ์เดินเข้าใกล้ผู้ครองเพศสมณเท่าระยะสายตาที่มองเห็นได้ จึงจำได้ว่าท่านคือภิกษุที่ครอบครัวเธอตักบาตรวันนั้นนั่นเอง ท่านมอบสิ่งหนึ่งให้ตาคง ตาคงรีบนำสิ่งที่กำไว้ในมือลงบันไดมา มันคือด้ายสายสิญจน์เส้นหนึ่ง ตาคงไม่รอช้ารีบกางออกคล้องใส่คอของน่านคำ ดูเหมือนเหตุการณ์ที่ผิดปกติจะเริ่มเบาลงเพราะสังเกตจากการยกระดับของลำเรือเหนือผิวน้ำ ตาคงกับช่างเจาะผนังยกร่างนั้นอีกครั้ง รอบนี้ร่างนั้นเบาเกินกว่าจะทำให้ทั้งคู่หยุดพักเพราะจำนวนขั้นบันได ทั้งคู่หามร่างนั้นจนถึงลานกว้างซึ่งเตรียมกองฟืนเรียงอย่างเป็นระเบียบไว้เรียบร้อยแล้ว ตาคงนำสิ่งที่เตรียมมาจัดวางรอบกองฟืน แล้วทุกคนก็นั่งประจำที่ ซึ่งเป็นลานวัดที่มีต้นโพธิ์ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขายื่นมาถึงลานวัด
ภิกษุตบะกล้านามว่าพระธรรมสุทโธ ประจำบนอาสนะ แล้วทำพิธีส่งวิญญาณให้กับน่านคำ ในระหว่างที่ท่านสวดภาวะนาอยู่นั้นร่างสะท้อนวิญญาณของน่านคำก็ปรากฎขึ้น เธอมีกริยาสงบเสงี่ยมเดินทอดเท้านวยนาดมานั่งอย่างสำรวมตรงหน้าพระธรรมสุทโธ แล้วนิ้วอันเรียวงามก็พนมกราบลงที่พื้น พระธรรมสุทโธพยักหน้าสายตาสื่อเป็นนัยให้เธอละวางจากสิ่งที่ยึดติด แล้วก็ทำพิธีล้างคำสาปให้กับเธอ ร่างนั้นยืนขึ้น เดินตรงไปหาซากร่างบนกองฟืน ในขณะที่ร่างของเธอมอดไหม้ วิญญาณของเธอก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แววตาเปี่ยมด้วยความสุข ใบหน้าเบิกบานสว่างไสวเป็นประกายวาววับ เธอยิ้มให้กับพิมพ์สายตาของเธอแสดงนัยขอบคุณพิมพ์ที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากคำสาปซ้ำซากนั้น ก่อนที่ร่างละกิเลสจะสลายไปพร้อมกับควันเพลิงครั้งสุดท้าย
ทุกคนยืนนิ่งระลึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา มันคงเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนลืมไม่ลง และเชื่อสนิทใจว่าวิญญาณและคำสาปมีอยู่จริง มันเป็นบทพิสูจน์ความรักชั้นยอด ซึ่งเกิดจากความรักบริสุทธิ์ที่พิมพ์มีให้กับดนัย ทำให้ปกป้องครอบครัวที่เธอรักเอาไว้ได้ เธอจะจดจำน่านคำเอาไว้ และขอให้น่านคำไปสู่สุคติ หากชาติหน้ามีจริงขอให้เธอได้พบกับชายที่รักและจริงใจ และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นตามที่ใจปรารถนา พิมพ์โล่งใจที่เรื่องร้ายๆ จบลงเสียที ไม่แน่ว่าเธออาจปักหลักที่เชียงคานเมืองแห่งมนต์เสน่ห์และตำนานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามความรัก และความกล้าของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็สามารถต่อสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นเรื่องเร้นลับที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้

หมายเลขบันทึก: 622084เขียนเมื่อ 25 มกราคม 2017 12:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม 2017 12:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท