746. SOAR Analysis และ 5I (สำหรับพัฒนาตนเอง)
ผมเองยังทำหน้าที่ต่อไป ด้วยการเผยแพร่ความรู้ ด้วยประทับใจกับพระราชดำรัสนี้ครับ
ขอโน้มนำมาใช้ทั้งชีวิต
ผมบอกเลยว่าเมื่อผมรู้มากกว่า ผมจะแบ่งปันครับ
วันนี้แม้เศร้า แต่ขอเปลี่ยนเป็นพลังการให้ความรู้ต่อไปครับ
วันนี้ผมมาตอบคำถามลูกศิษย์เรื่อง SOAR Analysis
SOAR Analysis
เป็น Model สำหรับการสร้างแผนกลยุทธ์ที่เน้นการพัฒนาจากจุดแข็งครับ ...
SOAR ต่อยอดมาจาก Appreciative Inquiry อีกที่ ผมเขียนมาหลายตอนแล้ว
ลองไปดูของเก่าๆ ดู
SOAR มาเป็นคำย่อของคำว่า
Strengths จุดแข็ง
Opportunities โอกาส
Aspiration ความฝัน
Results แรงบันดาลใจ
เวลาเราจะใช้ SOAR เราจะใช้ Model 5I (Initiate, Inquire, Imagine, Innovate, Inspire) ช่วยค้นหา
นั่นคือ
Initiate เรามาเริ่มต้นกันก่อนว่าทำไมต้องใช้ SOAR ทำไม่ SWOT ... ง่ายๆครับ SOAR เน้นที่จุดแข็ง และโอกาส ทำให้เกิดพลังที่จะสร้างสรรค์มากกว่า ไม่เกิดขัดแย้งโดยไม่จำเป็นแต่ต้น จริงๆ เราไม่ได้หนีไม่คิดเรื่องจุดอ่อน ภัยคุกคาม เรามองสองอย่างเป็นความเสี่ยง ที่เราเองก็ต้องพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงขึ้นมา มันจะอยู่ในช่วงที่เรา Innovate แผนการเพื่อบรรลุฝันของเราครับ
เช่นตอนผมจะไปเมืองนอกผมมี
Strenghts จุดแข็งสองอย่างคือผมเก่งภาษาอังกฤษ สองผมเรียนเก่งมาตลอด
Opportunities พ่อกับแม่พอมีทุน ไม่มากแต่พอดี
ผมจัดเลยครับฝันมานานแล้ว Aspiration ผมจะไปเรียน MBA เมืองนอก เข้ามหาลัยดีๆให้ได้
Action เลย ลุยครับ ... มีเสียงทักมาจากข้างบ้านว่าแพงมากลูกเขาใช้ 30,000 บาทต่อเดือน (ต่อมาเรียนไม่จบ) จินตนาการเมื่อ 20 ปีก่อนนะครับ ...แม่ผมหนาว ... ไม่พอ เกรดต่ำอีก เข้าอะไรจะได้หนอ ... แต่ผมลุยครับ ..ผมลุยไปตายเอาดาบหน้า ที่สุดเมื่อลุยไปก็หาช่องทางได้ ผมใช้ไม่ถึง 15,000 บาทต่อเดือน เรื่องเกรดต่ำก็ไปเรียนมหาลัยที่เขาตอบรับ พอทำเกรดได้ 4.00 ก็ทำเรื่องสมัครเข้า Virginia Tech
Result ผมเรียนจบ Virginia Tech มหาลัยสอน MBA ชั้นนำ ไม่ถึงกับ Ivy Leaque แต่ก็ไม่อายใคร ฝรั่งรู้จัก จินตนาการนะครับ มั่วแต่สนใจจุดอ่อน ภัยคุกคามไม่ทันกินครับ เผลอๆจะไม่สำเร็จอะไรเลย
นี่ไงครับที่เราทำไมใช้ SOAR ต่อเลยนะครับ เรามาเริ่มกัน
Inquire ไปที่ Strengthts หาจุดแข็ง ค้นหา จุดเด่น ความภาคภูมิใจ ความไม่เหมือนใครขององค์กร
ผมลองทำของผมเอง..นะครับ จุดแข็งของผมคือ
1.การสอน (ผมได้คะแนนประเมินการสอนติดหนึ่งในสามของคณะมาตลอด ตัวนี้ประเมินเทียบกับอาจารย์พิเศษที่เชิญมาในทุกวิชาด้วย)
2.ผมทำ AI มา 10 ปีมาประสบการณ์ตั้งแต่องค์กรเล็กๆ จนถึงองค์กรขนาดใหญ่
3. มีบทความที่เขียนไว้กว่า 700 บทความ สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้คนทั่วไปได้ ผมไม่เหมือนใครเหรอครับ Style การสอนของผมเน้นการทำจริง ลงมือปฏิบัติ
4. ผมมีเครือข่ายคนที่เคยเรียนกับผม และผู้สนใจในหลายจังหวัด น่าจะครึ่งค่อนประเทศ
5. ผมรู้จักวิทยากร อาจารย์จากหลายองค์กรมาก
จากนั้น Inquire ต่อไปที่ Opportunities โอกาส ใช้จินตนาการ ค้นหาโอกาส เอาจุดแข็งของคุณมาต่อยอดว่ามันน่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง เพื่อทำให้องค์กรไปได้ดียิ่งขึ้น และอีกอย่าง ดูว่าตอนนี้มีโอกาสที่ใครอาจยังมองไม่เห็น แต่คุณคิดว่ามันมีประโยชน์ต่อองค์คุณ ก็ใช้จินตนาการนิด ..
ได้เยอะเลย ทำอะไรได้อีกมากๆ
- ผมสามารถพัฒนาการสอนให้หลากหลายมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ เห็นมีระบบ QA เข้ามา แม้ผมไม่ชอบ แต่ผมน่าจะพัฒนาระบบการสอนของผมให้ได้มาตราฐาน ควรเขียนมคอ. 3,5,7 ที่ผมไม่ชอบ เพื่อวางรากฐานการสอนให้เป็นที่รู้จักในวงการวิชาการมากขึ้น
- ผมสอน และเป็นวิทยากรมานานมา ผมน่าจะยกระดับงานสอน งานวิจัย AI ของผมเป็นศูนย์วิจัยด้าน AI ได้ ดูท่าผมจะสอบงานสอนมากกว่าอย่างอื่น
- เปลี่ยนบทความเป็นหนังสือ
- น่าจะยกระดับเป็นสมาคม Appreciative Inquiry Practitioners ได้แล้ว
- น่าจะออกแบบการสอน วิจัยร่วมกับอาจารย์ วิทยากรท่านอื่นได้มากขึ้น
- ตอนนี้รู้สึกประทับใจเรื่องหลักสูตรของ Coursera น่าจะทำหลักสูตร Online เป็นภาษาอังกฤษ
- ตอนนี้ AEC เปิด น่าจะทำหลักสูตร Online และจ้างล่ามมาเป็นทีมทำงานร่วมกัน แล้วบินไปสอนเวียดนามและพม่า
- ค้นพบในหลวงมีคำสอนที่ตอบโจทย์ที่ติดค้างมานานได้หลายเรื่อง ...เรื่องแรกคือข้างบน...เคยถามคนมีฐานะดี มีตังค์เรียน MBA ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ก็เจอครับ "เกิดมาเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร" คำตอบนี้ทำผมหงุดหงดมานาน คนมีการศึกษาสูง และมีโอกาส ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนี่คนไม่ต้องเรียนสูง และมีฐานะดีก็ต้องทำอยู่แล้ว ต้องทำอะไรมากกว่านี้สิ ...แต่หาฝรั่ง หาคำพูดของผู้รู้ในแวดวงมายินยันไม่เจอ ...มาเจอพระราชดำรัสนี้เมื่อวันก่อน...ตอบโจทย์ครับ ...ใช่เลย
Imagine ตรงนี้ผมต้องคิดต่างให้ไกลเป็นอีกขึ้น โดยมองหาว่าจากจุดแข็งของผม ผมควรมีสร้างฝันอย่างไร (Aspiration) โดยจินตนาการว่าในปี 2040 ในปีนั้นผมเห็นตัวผมเองกำลังสร้างสรรค์ และมอบคุณค่าสิ่งใดให้กับไทย เอเชีย และโลก (ลองกลับไปดู S/O แล้วใช้จินตนาการ)
“ผมฝันว่าในปี 2040 ผมเห็นตัวผมเองกำลังสอน แนะนำ โค้ช ให้คำปรึกษากับนักเรียน และคนทำงานทั่วเอเชีย และในโลก ผมเห็นคนดู Youtube ที่ผมบรรยายเป็นภาษาต่างๆ ผมเห็นตัวผมเองมีโอกาสทำงานสร้างสรรค์หลักสูตร AI ร่วมกับวิทยากรชั้นนำของไทย เอเชีย และของโลก ...AI ที่ผมพัฒนาต่อยอดกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผม และ AI ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนในทุกระดับ ด้วยต้นทุนที่ถูกหรือน้อยที่สุด คนในเอเชียและโลกสามารถพัฒนาองค์กรได้ด้วยต้นทุนต่ำ ได้ผลสูง”
แล้วแผนล่ะ เป็นอย่างไร
เราต้อง Innovate ครับ
Action ตัวนี้เป็นแผนกลุยทธ์แล้ว ต้องกำหนดทิศทางก่อน
1.ทิศทางสำคัญคือความเป็นอาจารย์ ผมเป็นอาจารย์ต่อไป
2. เมื่อเป็นอาจารย์ต้องเดินตามกติของการเป็นอาจารย์
3. ทำตำรา AI ให้จบ แล้วแปลเป็นภาษาเพื่อนบ้าน และภาษาอังกฤษ
4. ฝึกสอนเป็นภาษาอังกฤษ
5. เขียน Blog เป็นภาษาอังกฤษ
6. พัฒนาเครือข่าย AI ในประเทศเพื่อนบ้าน
7. Partnership กับวิทยากรในประเทศเพื่อนบ้าน
8. ผสมผสาน AI กับศาสตร์ใหม่ๆ ปีละศาสตร์
9. สอนต่างประเทศเดือนละครั้ง
สุดท้ายเราต้อง Inspire ให้เกิด Result รวมทั้งค้นหาวิธีการรักษากำลังใจด้วย
ในปี 2040 มีศิษย์ AI ในประเทศ AEC ประเทศละ 5,000 คน
ประเมินความสุขในชีวิตด้วยแบบสอบถาม Happinometer
ประเมินรายได้ตามที่กำหนดไว้ เพื่อครอบคลุมถึงการศึกษาจนถึงปริญญาเอกของลูก และชีวิตหลังเกษียณ
ผมเองต้องรักษาพลังใจตลอด ด้วยการนึกถึงสิ่งดีๆ
เครียดก็ไปชาร์จแบตกับครอบครัว คุยกับเพื่อน ลูกศิษย์ ศึกษาสิ่งใหม่ๆ
ครับผมลองใช้ SOAR Analysis เพื่อพัฒนาแผนกลยุทธ์ของตัวเอง
ลองอ่านตามๆ ดูนะครับ ผมเขียนจากประสบการณ์
ผมจะกลับมาปรับปรุง SOAR ของผมเป็นระยะ
วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
ความเห็น (1)
{ค้นพบในหลวงมีคำสอนที่ตอบโจทย์ที่ติดค้างมานานได้หลายเรื่อง ...เรื่องแรกคือข้างบน...เคยถามคนมีฐานะดี มีตังค์เรียน MBA ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ก็เจอครับ "เกิดมาเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร" คำตอบนี้ทำผมหงุดหงดมานาน คนมีการศึกษาสูง และมีโอกาส ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนี่คนไม่ต้องเรียนสูง และมีฐานะดีก็ต้องทำอยู่แล้ว ต้องทำอะไรมากกว่านี้สิ ...แต่หาฝรั่ง หาคำพูดของผู้รู้ในแวดวงมายินยันไม่เจอ ...มาเจอพระราชดำรัสนี้เมื่อวันก่อน...ตอบโจทย์ครับ...ใช่เลย...} (ไม่น่าจะทึบดำเลย) นี่แหล่ะ องค์ในหลวงของพวกเรา ท่านเอา หลักธรรมชาติ ชน หลักธรรมชาติ