Money Market Fund กับแนวคิดที่ว่า Cash Flow ต้องมาก่อน
ดร. วสุ ลอ (ปร.ด.)
Dr.Wasu Low (Ph.D.)
ผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ (อิสระ) 079740
บันทึกฉบับนี่ผมเขียนในฐานนะผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ (อิสระ) ที่อยากนำเสนอสาระต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากการเขียนในฐานนะ สมาชิกสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สชวท.) สำหรับผู้ที่มีงานทำ ก็ย่อมมีรายได้และรายได้ที่ได้มานั้นก็ต้องใช้จ่ายออกไป ถ้าจ่ายออกไปมากว่าที่หามาได้ ก็ต้องหยิบยืมจากเพื่อนฝูง ญาติ พ่อ แม่ หรือไปก็ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ซึ่งหากไม่สามารถบริหารจัดการให้ดีก็จะก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินส่วนบุคคลขึ้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านผมได้มีโอกาสเข้า website ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ Thailand Development Research Institute (TDRI) และได้เข้าไปดูมัลติมีเดียหัวข้อ “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร: 5 ปีหนี้ครัวเรือนพุ่ง 11 ล้านล้านบาท” และแน่นอนครับว่าปัญหาดังกล่าวก็คืนปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนนั้นเอง(ท่านผู้อ่านท่านใดสามารถติดตามได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=He4kk9mnbuY ครับ)
แนวคิดที่ของผมที่ว่า Cash Flow ต้องมาก่อน มีจุดเริ่มต้นจากคำพูดที่ว่า “กระแสเงินสด (ปัจจุบัน-อนาคต) ที่เกิดขึ้นจาการถือครองสินทรัพย์ตลอดระยะเวลาการถือครอง” ดังนั้นสำหรับผมแล้วจึงให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดก่อนเรื่องของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible assets) โดยให้น้ำหนักไปที่กระแสของเงินสดที่ไหลเข้าออก ซึ่งผลต่างของกระแสเงินที่ไหลเข้ากับไหลออกจะเป็นส่วนที่เราสามารถเก็บไว้เป็นเงินในยามฉุกเฉินและเงินออมได้ แต่มันยังต้องอยู่ในรูปแบบของกระแส เหมือนน้ำที่ถูกเก็บไว้ในบ่อแห่งหนึ่งแล้วไหลไปพักอีกบ่อหนึ่ง มันก็เกิดคำถามที่ว่าเก็บพักไว้ในบ่อใหญ่ๆ นิ่งๆ ไม่ได้หรอ ได้ครับแต่ผลสังเกตว่าลักษณะของน้ำนิ่งๆอีกไม่นานมันก็อาจจะเน่าได้ เพราะพอมีได้ซักก้อนหนึ่งก็เริ่มอยากจะใช้ อยากจะซื้อนั้นซื้อนี้ หรือไม่ก็เก็บออมน้อยลง ผมจึงชอบให้มันไหลเป็นกระแส
สำหรับผมการทำเงินให้มีลักษณะเป็นแบบกระแสนั้น ผมทำผ่านทางการซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ (FIF) ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Specific fund) โดยมีเงินลงทุนในลักษณะนี้มีเงินลงทุนขึ้นต่ำ 10,000 บาท โดยจะทำการซื้อต่อเนื่องกันทุกเดือนติดต่อกัน (ผมจะกำหนดเพดานสูงสุดสำหรับการสร้างกระแสเงินสดผ่านวิธีการนี้ เพื่อจะได้นำเงินไปลงทุนในส่วนอื่นที่ได้ผลตอบแทนมากว่า) การลงทุนในรูปแบบนี้เป็นการฝึกวินัยทางการเงินและยังเป็นการสร้างจิตรวิทยาการลงทุนอีกด้วย
ผมขอนำประสบการณ์และข้อมูลจากการลงทุนในทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ (FIF) ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Specific fund) จาก บลจ. แห่งหนึ่งมาเสนอในรูปแบบของตารางที่แสดงรายละเอียดของช่วงเวลาของการลงทุนและอัตราผลตอบแทนในแต่ละรอบของการลงทุน (ย้อนหลัง 10 เดือน)
ครั้งที่ |
เดือนที่ซื้อ |
เดือนที่ได้รับเงิน |
อัตราร้อยละที่คาดว่าจะจ่ายจริงต่อปี (%) |
1. |
ตุลาคม 2558 |
เมษายน 2559 |
1.75 |
2. |
พฤศจิกายน 2558 |
พฤษภาคม 2559 |
1.75 |
3. |
ธันวาคม 2558 |
มิถุนายน 2559 |
1.70 |
4. |
มกราคม 2559 |
กรกฎาคม 2559 |
1.60 |
5. |
กุมภาพันธ์ 2559 |
สิงหาคม 2559 |
1.65 |
6. |
มีนาคม 2559 |
กันยายน 2559 |
1.60 |
7. |
เมษายน 2559 |
ตุลาคม 2559 |
1.60 |
8. |
พฤษภาคม 2559 |
พฤศจิกายน 2559 |
1.55 |
9. |
มิถุนายน 2559 |
ธันวาคม 2559 |
1.55 |
10. |
กรกฎาคม 2559 |
มกราคม 2560 |
1.55 |
ผมหวังว่าเนื้อหาเพียงสั่นๆฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านและอย่าลืมนะครับว่า “การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืน มากกว่า หรือ น้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้และอาจไม่ได้รับชำระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนภายในระยะเวลาที่ กำหนด หรืออาจไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามที่ได้มีคำสั่งไว้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”…การลดลงของผลตอบแทนของตราสารหนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาตรการดอกเบี้ยติดลบที่ธนาคารต่างๆประกาศออกมา เช่น ธนาคารกลางสวิสประกาศอัตราดอกเบี้ยติดลบ -0.75 % ธนาคารกลางสวีเดนประกาศอัตราดอกเบี้ยติดลบ -0.50 % ธนาคารกลางเดนมาร์กประกาศอัตราดอกเบี้ยติดลบ -0.65 % ธนาคารกลางยุโรปประกาศอัตราดอกเบี้ยติดลบ -0.30 % ธนาคารกลางญี่ปุ่นกำหนดอัตราดองเบี้ยทางการ -0.1 % อย่างไรก็ตามก็ผลตอบแทนยังคงสูงกว่า เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ (ในทัศนะของผมมองการฝากประจำว่าเหมือนการเก็บน้ำบ่อใหญ่ไม่ใช้ลักษณะของการไหลของกระแส แม้ว่าบางธนาคารให้ผลตอบแทนคิดเป็น % ต่อปีมากกว่า ทั้งนี้จึงขึ้นกับความต้องการของท่านผู้อ่าน)
สวัสดี
ไม่มีความเห็น