เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับแกนนำนิสิตและอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้จิตอาสาพัฒนาชุมชน” ระหว่างเวลา 13.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม 2 อาคารพัฒนานิสิต เกี่ยวกับประเด็น “การใช้เครื่องมือในการจัดการเรียนรู้คู่บริการบนฐานวัฒนธรรมชุมชน”
โครงการดังกล่าวเป็นการนำนิสิตในสังกัดโครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งที่เป็นชั้นปีที่ 1 และชั้นปีที่ 2-4 ลงไป “ฝังตัว” ในชุมชนเพื่อเรียนรู้ชุมชนและจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนภายใต้หลักคิด “เรียนรู้คู่บริการ” ในระหว่างวันที่ 22-29 กรกฎาคม 2559 ณ บ้านศาลา ต.โนนแดง อ.บรบือ จ.มหาสารคาม
โครงการดังกล่าวบูรณาการการเรียนรู้ภายใต้วัตถุประสงค์สำคัญๆ คือบ่มเพาะเรื่องจิตอาสา หรือจิตสาธารณะแก่นิสิต เพื่อให้นิสิตตระหนักในบทบาทและหน้าที่ของตนเองที่มีต่อการรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมอย่างสร้างสรรค์ มีความรู้และทักษะในการเรียนรู้ชุมชนและสังคม ตลอดจนการสานสัมพันธ์อันดีงามของนิสิตรุ่นพี่กับรุ่นน้อง รวมถึงการบริการสังคม หรือบริการวิชาการแก่สังคม ฯลฯ
รู้ตัวตนโครงการ : “รู้ตัวเรา” เพื่อแบ่งเบาภาระคนอื่น
ประเด็นเบื้องต้นที่ผมให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ การนำหลักคิดจาก “9 ข้อคิดการเรียนรู้ชุมชน” มาสื่อสารกับนิสิต ซึ่งแนวคิดที่ว่านั้นคือองค์ความรู้ที่ผมใช้ในรายวิชาการพัฒนานิสิตและภาวะผู้นำ รวมถึงงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่ผมรับผิดหลักในประเด็นการจัดการเรียนรู้ระหว่างนิสิตกับชุมชนบนฐานวัฒนธรรมชุมชนขามเรียงฯ
หลักๆ คือการย้ำเน้นให้นิสิตได้ทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของโครงการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้จิตอาสาพัฒนาชุมชน” โดยเริ่มต้นจากการชวนให้นิสิตได้ถอดความหมายของคำต่างๆ ในชื่อโครงการที่ประกอบด้วย “แลกเปลี่ยน/เรียนรู้/จิตอาสา/พัฒนา/ชุมชน
ใช่ครับ—ถอดความหมาย เพื่อให้รู้ความหมาย และวิธีการที่เกี่ยวโยงเพื่อให้บรรลุซึ่ง “ความหมาย” เหล่านั้น
นอกจากนั้นยังย้ำเน้นให้นิสิตได้ทบทวนถึงกรอบแนวคิดสำคัญๆ ของโครงการภายใต้ประเด็นง่ายๆ คือ
โดยส่วนตัวผมมองว่าประเด็นเหล่านี้สำคัญมากมายก่ายกองเลยทีเดียว เพราะหากเราไม่เข้าใจว่าเรากำลังจะไปทำอะไ ร และไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรที่จะไปเรียนรู้และแลกเปลี่ยน หรือสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน รวมถึงหากไม่รู้และไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้ ย่อมก่อเกิดปัญหาต่อการขับเคลื่อนทั้งปวง กลายเป็นภาระให้ใครอื่นต้องมาแบกหาม กลายกลับทำให้งานล่าช้า หรือกระทั่งชะงักและล่มสลายในบางกระบวนการของกิจกรรมบางกิจกรรมก็เป็นได้
นอกจากนี้แล้วผมยังชวนให้นิสิตได้ร่วมแชร์ความคิดเกี่ยวกับวาทกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมให้นิสิตได้ “รู้ตัวตน” หรือ “รู้ตัวเรา” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแก่นสารความคิด หรือองค์ความรู้ที่นิสิตจะต้องตระหนักในการขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้ เช่น
หรือแม้แต่การบอกย้ำให้นิสิตได้รู้หมุดหมายการเรียนรู้ของตนเอง หรือการคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมที่กำลังจะจัดขึ้นกับปลายทางการเรียนรู้เชิงนโยบายของมหาวิทยาลัยมหาสารคามสู่การผลิตบัณฑิตผ่านวาทกรรมสำคัญๆ เช่น การศึกษาเพื่อรับใช้สังคม ปรัชญา (ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน) เอกลักษณ์ (เป็นที่พึ่งของสังคมและชุมชน) อัตลักษณ์นิสิต (เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน)
ประเด็นเหล่านี้ผมก็ไม่อาจละเลยที่จะบอกกล่าว --
ทดสอบ : จุดอ่อนจุดแข็งของชุมชน
เพราะได้รับรู้มาล่วงหน้าแล้วว่ามีนิสิตบางกลุ่มได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการมาบ้างแล้ว ซึ่งหมายถึงการสำรวจชุมชนและการเตรียมพื้นที่รองรับการออกค่าย ดังนั้นผมจึงสร้างสถานการณ์แบบไม่นัดหมายด้วยการ “ทดสอบ” โดยให้นิสิตสะท้อน “จุดแข็งและจุดอ่อน” ของชุมชนเป็นประเด็นๆ
แน่นอนครับ ผมมีเจตนาชัดเจนว่าเมื่อนิสิตสะท้อนข้อมูลมายังผมแล้ว ผมก็จะผูกโยงเข้ากับกิจกรรมที่กำลังจะเดินทางไปขับเคลื่อนว่ากิจกรรมอะไรสัมพันธ์กับจุดอ่อนจุดแข็ง หรือบริบทชุมชนอย่างไร เพราะในแก่นคิดแล้วกิจกรรมย่อมมีสองลักษณะ คือ
กรณีดังกล่าวนี้ปรากฏในกิจกรรมหลักๆ เช่น ปรับปรุงระบบไฟฟ้า+ติดตั้งพัดลม ต่อเติมลานปูนอเนกประสงค์ บริการวิชาการรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม (ศิลปะ - แกะสลัก - รำวงมาตรฐาน - พานบายศรี) พัฒนาหมู่บ้าน (ทำความสะอาด) มอบไม้กวาดทางมะพร้าวให้ชุมชน ฯลฯ ซึ่งย้ำชัดเจนว่านิสิตควรต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ให้ชัดว่ากิจกรรมที่จะจัดขึ้นนั้นสัมพันธ์กับจุดอ่อนหรือจุดแข็งของชุมชนอย่างไรบ้าง
และทั้งปวงนั้น ผมจึงสรุปอีกครั้งอย่างหนักแน่นว่า นี่คือการพัฒนาโจทย์บนบริบทของชุมชน หรือเรียกเป็นภาษานักกิจกรรมง่ายๆ ว่า “จัดกิจกรรมบนความต้องการของชุมชน” นั่นเอง
กรณีดังกล่าวนี้ ถึงแม้นิสิตจะยังไม่ตกผลึกมากนัก จนไม่สามารถสะท้อนข้อมูลอย่างชัดแจ้งได้ เพราะไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการพัฒนาโจทย์อย่างจริงจัง แต่อย่างน้อยก็ได้สะกิดให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่และแกนนำค่ายได้ทบทวนเรื่องนี้อีกรอบ และนำประเด็นเหล่านี้ไป “ปฐมนิเทศค่าย” ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้เริ่มต้นจากการ “รู้เขา-รู้เรา” ไปพร้อมๆ กัน
เครื่องมือ : เรียนรู้คู่บริการบนฐานวัฒนธรรมชุมชน
ประเด็นว่าด้วยเรื่อง “เครื่องมือ : เรียนรู้คู่บริการบนฐานวัฒนธรรมชุมชน” เป็นผลพวงความรู้จากงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่ผมเป็นหัวหน้าโครงการฯ ซึ่งค้นพบว่ากิจกรรมนอกหลักสูตรที่ดี เมื่อต้องขับเคลื่อนในมิติเรียนรู้คู่บริการร่วมกับชุมชนนั้น จำต้องหยัดยืนอยู่บนฐานวัฒนธรรมชุมชนเป็นหัวใจหลัก กล่าวคือ บูรณาการไปกับ ฮีต 12 คอง14 หรือฮีต 12 คองสังคม อันเป็นจารีตประเพณี หรือกิจกรรมที่มีอยู่ในชุมชนนั้นๆ มิใช่ขับเคลื่อนแบบไม่ดูกาละความพร้อมหรือสายธารอดีตและปัจจุบันของชุมชน
ในทำนองเดียวกันนั้น ผมย้ำให้นิสิตได้ตระหนักว่า การเรียนรู้ชุมชนต้องมีเครื่องมือนำพาไปสู่การเรียนรู้ กิจกรรมจะจ้องสัมพันธ์กับบริบทชุมชน ไม่เช่นนั้นจะเหมือน “เกาไม่ถูกที่คัน” ด้วยเหตุนี้การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่มีพลังในที่สุด เช่น
ใช่ครับ-เครื่องมือเหล่านี้ผมบูรณาการมาจากชุดความรู้ของคุณหมอโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์และคณะ รวมถึงองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้จาก สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น
นอกจากนั้นยังเสนอแนะให้นิสิตลองศึกษาเรื่อง “เศรษฐกิจชุมชน” ด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ความมั่นคงในชุมชนและทะลุถึงฐานคิดเชิงวัฒนธรรมและอื่นๆ อีกจิปาถะ รวมถึงการท้าทายให้นิสิตนำข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือข้างต้นผูกโยงไปสู่เครื่องมืออื่นๆ ด้วยตนเอง เช่น แผนที่เดินดิน ผังเครือญาติ ระบบสุขภาพชุมชน เพราะทุกๆ ส่วนล้วนเชื่อมร้อยทะลุถึงกัน
เช่นเดียวกับการย้ำเน้นถึงวิธีการ หรือเครื่องมืออื่นๆ เช่น ศิลปะในการสัมภาษณ์ การเข้าสังเกตการณ์เป็นหนึ่งเดียวในกิจกรรมของชุมชน การจัดการความรู้ผ่านภาพถ่าย หรือกระทั่งการเรียนรู้และเก็บข้อมูลชุมชนผ่านกิจกรรม “พ่อฮักฮัก” อย่างจริงจังและจริงใจ มิใช่มีพ่อฮักฮักไว้เพียงเพื่อช่วยงานช่าง สนับสนุนอาหารการกิน หรืออำนวยความสะดวกเรื่องที่นอนห้องน้ำห้องท่า ฯลฯ
ท้ายที่สุด : การสร้างบรรยากาศของ “คนค่าย”
ท้ายที่สุดผมไม่ลืมฝากประเด็นกับนิสิตไปว่า “เราเป็นเพียงผู้เรียนรู้ มิใช่นักเสกสร้าง” ดังนั้นการงานจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเรายึดมั่นในหลักคิดของการทำค่ายแบบ “เรียนรู้คู่บริการ” อันหมายถึงการทำงานแบบมีส่วนร่วมระหว่างนิสิตกับชุมชน ต่างฝ่ายต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไปพร้อมๆ กัน
รวมถึงการให้ความสำคัญกับสถานที่สำคัญๆ ในชุมชน เพราะสถานที่เหล่านั้นจะทำหน้าที่บางอย่างในสังคม ซึ่งนิสิตจะต้องเรียนรู้ที่จะถอดรหัสทางวัฒนธรรมออกมาให้ได้มากที่สุด มิใช่ตอบได้แค่ว่าสถานที่ตรงนั้นคืออะไร เรียกชื่อย่างไร ตั้งอยู่จุดไหนของชุมชน แต่ตอบไม่ได้ว่าสถานที่ตรงนั้นทำหน้าที่ใด ผู้คนให้ความสำคัญเพราะอะไร ...
เฉกเช่นกับการเสริมสร้างบรรยากาศในค่ายให้มีชีวิตผ่านกิจกรรมอื่นๆ เช่น การจัดกิจกรรมในแบบบันเทิงเริงปัญญา ที่หมายถึงให้ได้ทั้งความรู้และความสนุก ผ่านการนันทนาการ ผ่านการ AAR ประจำวัน การทำจดหมายข่าวชาวค่าย การเขียนจดหมายถึงกันและกัน การสร้างกฏค่ายแบบมีส่วนร่วมเพื่อฝึกวินัย คุณธรรมจริยธรรมต่อตนเองและการอยู่ร่วมกัน การทำสมุดบันทึกค่ายของส่วนกลางเพื่อให้แต่ละคน รวมถึงชาวบ้านและผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนได้บันทึกเรื่องราวการตรวจเยี่ยมและข้อเสนอแนะต่างๆ เสมอเหมือนการสะท้อนงาน หรือการเสนอแนะต่องานค่ายไปในตัว
หรือแม้แต่การจัดแบ่งเวรยามในการ “ไปวัด” หรือ “ไปจังหัน” และ “ไปเพล” เพราะนี่ก็คืออีกหนึ่งกระบวนการเรียนรู้ชุมชนที่สำคัญมากๆ ----
ภาพ อติรุจ อัคมูล / สุริยะ สอนสุระ / จันเพ็ญ ศรีดาว /อัมพล นุกิจ
....
ในวันที่ฝนตั้งเค้าจะมาแล้วไม่มา
16 สิงหาคม 2559
มหาสารคาม
จากได้เข้าอบรมก่อนลงชุมชนของค่ายพัฒนาชุมชนบ้านศาลา บรบือ ได้นำเทคนิคการเก็บข้อมูล โดยใช้ เทคนิคการลงพื้นที่รอบหมู่บ้าน เทคนิคการสัมภาษณ์ เทคนิคการจดบันทึก โดยมีหัวข้อหลักอยู่ 4 เรื่องในการเก็บข้อมูลของบ้านศาลา คือ ประวัติศาตร์ความเป็นมาของหมู่บ้าน ประเพณีฮีต 12 ของหมู่บ้านศาลา บุคคลสำคัญของหมู่บ้าน และเศรษฐกิจของหมู่บ้าน การทำงานแบ่งเป็นกลุ่มๆ 4 กลุ่ม กลุ่ม ประวัติศาสตร์ ประเพณีฮีต 12 บุคคลสำคัญ เศรษฐกิจ ในกระบวนการทำงานแบ่งกลุ่มสลับกันในหัวข้อต่างๆมาร่วมเป็นหนึ่งแยกย้ายกันลงพื้นที่ เทคนิคที่สำคัญคือการสัมภาษณ์การสัมภาษณ์พยายามกระชับให้น้องสัมภาษณ์ในเชิงพูดคุยมากกว่าการถามตรงๆ เทคนิคต่างๆมีความสำคัญสามรถได้ความรู้ข้อมูลที่ต้องการแต่อาจจะใช้เวลาและเนื่องจากข้อมูลบางอย่างไม่แน่นอข้อมูลที่ตรงกันจึงเนื่องจากบางข้อมูลบ้างอย่างอาจมีระยะเวลาที่ยาวนานมากทำให้น้อยคนในปัจจุบันที่รู้
ได้ภาพบริบทของการทำงานของนิสิตร่วมกับชุมชน
ได้เห็นการทำงานที่บริการสังคมอย่างแท้จริง
ของแท้เลยครับ
สวัสดีครับ คุณใจเพชร สุปัญบุตร
สวัสดีครับ ดร.ขจิต ฝอยทอง
กิจกรรมครั้งนี้ เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตรล้วนๆ เลยครับ เป็นค่ายอาสาพัฒนาบนฐานคิดเรียนรู้คู่บริการ เลยจำต้องทดลองติดอาวุธทางความคิดว่าด้วยเครื่องมือการศึกษาชุมชมลงไปผ่านแกนนำค่ายที่เป็นนิสิตรุ่นพี่ -- เพื่อให้นิสิตรุ่นพี่ได้ออกแบบการเรียนรู้และพาน้องใหม่ลงสู่ชุมชน
เท่าที่ประเมินจากนิสิตบางกลุ่ม ก็ตอบรับด้วยดี ชื่นชอบกับการจัดการเรียนรู้เช่นนี้ แถมยังเป็นการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ไปในตัว
จากที่ได้ร่วมกันทำกิจกรรมในค่าย ที่ชุมชนบ้านศาลา ตำบลโนนแดง อำเภอบรบือนั้น ผมก็ได้เห็นถึงสิ่งต่างๆภายในชุมชนมากมายหลายอย่าง ได้ช่วยศึกษาข้อมูลต่างๆของชมชุน ทั้งประวัติ เศรษฐกิจ ประเพณี หรือแม้แต่กระทั่งปฏิทิน ตามฮีตต่างๆ ได้ร่วมกันพัฒนาชุมชนบ้านศาลาให้มีบริบทที่ดียิ่งขึ้น ได้เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสามัคคี ของคนในชุมชนบ้านศาลา และพวกเราเอง ได้แลกเปลี่ยนประสบการที่ตนเองมีอยู่ ถ่ายทอดให้กับน้องๆ รวมถึงคนในชุมชน ได้รู้ถึงวิธีการแก้ไขงานต่างๆที่ตนเองได้พบเจอมาและปรับแรุงแก้ไขให้ได้สมบูรณ์ รวมถึงการมีมนุษสัมพันธ์กับคนอื่น ในการปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแม้แต่การสัมภาษณ์บุคคลในชุมชนเพื่อให้ได้ข้อมูลมี่ถูกต้อง และสิางที่ได้รุ้ประเด็นหลักๆของการมาค่ายในครั้งนี้คือ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์+การเรียนรู้+กาาอาสาช่วยเหลือ+การพัฒนาชุมชน นั่นเอง จากระยะเวลา 8 วันสำหรับการอยู่ในค่าย ทำให้ได้รุ้ถึงความรัก ความผูกพัน จากทุกๆคน ทั้งเพื่อนๆพี่ๆในค่าย รวมถึงคนในชุมชน
สวัสดีครับ คุณนายจักรกฤษ พรมมา
สิ่งที่ได้จากการอบรมแล้วนำไปใช้ในค่าย
การรู้จักพื้นที่
กิจกรรมที่จะทำให้ผู้เข้ากิจกรรมทุกคนรู้จักพื้นที่คือกิจกรรม “การย่างเลาะบ้านให้รู้จักเปิงบ้าน” นี่คือกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สอบถามได้พูดคุยกับคนในหมู่บ้านในเรื่องต่างๆเช่น ประวัติหมู่บ้าน เศรษฐกิจและสังคม ทำเนียบผู้นำของชุมชน ประเพณีและวัฒนธรรม กิจกรรมนี้จึงทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ถึงฐานข้อมูลของหมู่บ้านได้ดี
เรียนรู้คู่บริการ
การที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พูดคุยสอบถามในเรื่องต่างๆของชุมชนและได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากชุมชนว่าชุมชนนั้นขาดอะไร และมีอะไรที่ดีอยู่แล้วเช่น บ้าน วัด โรงเรียน จะมีแค่โรงเรียนที่ยังมีความต้องการปรับแต่งพื้นที่สนามอเนกประสงค์ เพราะฉะนั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ได้ปรึกษากันว่าจะเพิ่มเติมลานอเนกประสงค์และทาสีห้องเรียนใหม่ นี่คือหัวใจหลักของค่าย เรียนรู้คู่บริการ
นายเนติพงษ์ พงอุดทา
ชื่นชมการเลือกใช้เครื่องมือในการศึกษาชุมชน และมีนิสิตมาสะท้อนว่าได้เรียนรู้อย่างไรบ้าง
ไม่มากก็น้อยที่นิสิตได้ติดตัวไป พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเข้าใจที่มาที่ไปของสังคมที่ตนไปอาศัยอยู่ทำงานมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อตนเองและงานในอนาคตแน่นอนค่ะ