เมื่อต้องการที่จะทำธุรกิจในประเทศจีนก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศจีน อาทิเช่น ประชาชนชาวจีนมีความนิยมสินค้าในด้านไหนเป็นส่วนใหญ่ ศึกษาถึงวัฒนธรรมประเพณีการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวจีน ประชาชนชาวจีนมีความเชื่อในด้านต่างๆ อะไรบ้าง ที่สำคัญกฏหมายของประเทศจีนทางด้านการค้าและการขนส่งที่จะต้องทราบ เป็นต้น เพื่อเป็นการทำให้ธุรกิจของเรานั้นดำเนินธุรกิจไปได้อย่างราบรื่นหรือประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจน้อยที่สุด ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ทำธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปจีน
กลยุทธ์แรกคือ กลยุทธ์เชิงธุรกิจแนวรุก จะต้องทำให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเราให้เป็นที่รู้จักของคนจีน โดยการโปรโหมดสินค้าและผลิตภัณฑ์ในย่านแหล่งการค้าใหญ่ๆและมีการจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจให้แก่คนจีนใด้เลือกบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเรา
กลยุทธ์ที่สองคือ กลยุทธ์เชิงธุรกิจแนวรับ การทำธุรกิจมีความจำเป็นต้องศึกษาคู่แข่งทางการตลาด เพื่อเป็นการหาข้อได้เปรียบและข้อที่เสียเปรียบของธุรกิจของเรากับคู่แข่งทางการค้า อาจจะมีการออกแบบแพ็กเก็ตจิ้นให้ดูน่าสนใจมากขึ้นเพื่อสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเรานั้นจะได้มีความโด่ดเด่นและสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่าคู่แข่ง
กลยุทธ์ที่สามคือ กลยุทธ์เชิงธุรกิจแนวทางแก้ไข ทำการวิเคราะห์ Swot เพื่อหาจุดเด่น จุดด้อย โอกาส และอุปสรรค์ให้กับธุรกิจของเรา เพื่อดูว่าในจุดด้อยของธุรกิจเรานั้นจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างและสามารถทำการแก้ไขจุดด้อยนี้ได้อย่างไร
กลยุทธ์สุดท้ายคือ กลยุทธ์เชิงธุรกิจแนวทางป้องกัน เมื่อวิเคราะห์ Swot ของธุรกิจของเราเสร็จแล้วนั้นก็จะต้องหาแนวทางป้องกันอุปสรรค์จากการดำเนินงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นถ้าไม่มีสินค้าเพื่อส่งขายในปริมาณที่ลูกค้าต้องการจะมีวิทีการทำอย่างไรได้บ้าง อาจจะโดยการยืดระยะเวลาการส่งสินค้าและลดราคาให้ในปริมาณที่เหมาะสม
เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ธุรกิจของเรานั้นประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน ก็ควรที่จะปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจของเราสามารถดำเนินธุรกิจไปได้โดยไม่เกิดปัญหาและอุปสรรค์ตามมาในภายหลังนอกจากนี้ต้องมีแนวทางการรับมือหากเกิดปัญหาและอุปสรรค์ในระหว่างการดำเนินงานได้ จึงจำเป็นจะต้องอาศัยกลยุทธ์ทั้งสี้นี้ในการปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ในทางที่ดีขึ้น
ไม่มีความเห็น