โดยปกติธรรศกับธรณ์จะคุ้นเคยกับการกอดกับพ่อแม่เสมอ ในแต่ละวันจะต้องกอดกันวันละหลายๆ ครั้ง รวมทั้งคำพูด “เด็ดๆ ฮาๆ” ซึ่งบางครั้งถ้ามีคนนอกได้ยินก็อาจจะตกใจ ว่าทำไมพูดกับเช่นนี้
วันหนึ่งในงานเลี้ยง ขณะที่ลูกกินอาหารเสร็จแล้ว แต่แม่ยังนั่งกินอาหารอยู่ ธรณ์ก็เข้ามากอดทางด้านหลัง และบอกว่า
ธรณ์ - คุณแม่ครับ ธรณ์ยังไม่ได้กอดแม่เลย
แม่ - อ้าว! เมื่อเช้าก็กอดกันตั้งหลายครั้งนี่คะ
ธรณ์ - ธรณ์หมายถึงตอนมากินข้าวที่งานเลี้ยงต่างหาก
แม่ - แหม! แต่ละวันก็มีหลายตอนเลยนะลูก
ธรณ์ - คุณแม่ครับ ธรณ์รักคุณแม่มาก
แม่ - ขอบคุณครับ แม่ก็รักธรณ์ค่ะ
ธรณ์ - ธรณ์น่ะ อยากให้คุณแม่อยู่กับธรณ์นานๆ แต่ธรณ์ก็รู้ครับว่า วันหนึ่งคุณแม่ก็ต้องตาย เพราะทุกคนก็ต้องตายใช่มั้ยครับ
แม่ - ใช่ค่ะ ธรณ์เก่งมากที่จำได้
พร้อมๆ กันนั้น แม่ก็เห็นคนรอบข้างทำหน้าตกใจ อ้าปากค้าง ตอนแรกคงฟังแบบซาบซึ้ง แต่ตอนจบหักมุมชนิดหักข้อศอกเลย คงเพราะโดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยมีใครพูดกันเรื่องความตาย ส่วนธรณ์กับธรรศนั้น จะพูดเรื่อง “ตาย” อย่างเป็นเรื่องธรรมดา และยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้น
ในบ้านเราจะคุยเรื่อง “ตาย” กันได้ทุกรูปแบบ ในหลายๆ ครั้งก็มีเรื่อง “ตาย” แบบขำๆ ด้วย อาทิ
อีโมติคอน heart อายุ 8 ปี 3 เดือน - 14 ม.ค.55
ตอนลูกอายุ 8 ปีเศษ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเด็กแห่งชาติ ขณะที่พ่อ-แม่-ลูกนั่งรถไปสถาบันสุขภาพเด็กฯ ก็มีประเด็นที่พูดคุยกันดังนี้
ธรณ์ - ธรรศๆๆ ดูรถสปอร์ตคันนั้นสิ สวยมากเลย
ธรรศ - อ๋อ คันเล็กที่อยู่ด้านธรณ์
ธรณ์ - คุณแม่ครับ ธรณ์อยากได้รถสปอร์ต แต่ก็ต้องรอให้พ่อแม่ตายก่อน แต่ธรณ์ก็ไม่ได้อยากให้พ่อแม่ตายนะครับ
แม่ - (555 เอาล่ะสิ ) ทำไมต้องรอให้พ่อแม่ตายก่อนล่ะคะ
ธรณ์ - จริงๆ แล้วธรณ์ไม่ได้อยากให้พ่อแม่ตายนะครับ
แม่ - ค่ะ แม่ไม่ได้ว่าอะไร แม่ถามดูว่าที่ธรณ์พูดหมายถึงอะไร เราคุยกันได้นี่คะ
ธรณ์ - ก็ถ้าพ่อแม่ตาย ลูกก็ได้มรดก ก็เอาไปซื้อรถได้ แต่ธรณ์ก็ไม่ได้อยากให้พ่อแม่ตายนะครับ
แม่ - แล้วธรณ์ทราบเรื่องมรดกได้ยังไงล่ะคะ
ธรณ์ - ก็อาจารย์สอนครับ ลูกเป็นผู้สืบทอด ลูกก็รับมรดกจากพ่อแม่ (นี่ไง มาจากการเรียนรู้นี่เอง)
แม่ - อ๋อ งั้นธรณ์ลองคิดดูอีกแบบนะลูก ถ้าธรณ์ทำงานหาเงินได้เอง ธรณ์ก็ซื้อของได้เลยนะครับ ไม่ต้องรอให้พ่อแม่ตาย ไม่ต้องรอมรดก
ธรณ์ - ครับ แล้วรถคุณพ่อก็ โอ.เค. นะคุณแม่
แม่ - ค่ะ แล้วธรณ์เห็นมั้ยคะคุณปู่-คุณย่า คุณตา-คุณยายก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่พ่อกับแม่มีบ้านมีรถ ซื้อของอะไรๆ ได้เอง เพราะเราทำงานหาเงินเองไงคะ ถ้ารอมรดกก็ยังซื้ออะไรไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครตาย ยังไม่ได้มรดก เราทำงานเอง หาเงินเองดีกว่านะคะ พอเราเก็บเงินได้เราก็ซื้อของได้
ในมุมมองของลูก รวมทั้งของเด็กคนอื่นๆ จะมองอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก พูดตรงๆ หน้าที่ของพ่อแม่ (หรือผู้ใหญ่) คือ
>> สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำ …. “ รับฟัง ” ความคิดเห็นของลูก
>> หากพ่อแม่สงสัยอะไรให้ซักถาม “ สิ่งที่ลูกคิด สิ่งที่ลูกทำ ” อย่าคิดเองในแบบที่ผู้ใหญ่คิด
>> ลูก “ ไม่ใช่จำเลย ” พ่อแม่ควรซักถามด้วยน้ำเสียงที่ “ ปกติ ” อย่าให้ลูกรู้สึกว่าถูกคาดคั้น หรือสิ่งที่ลูกคิดนั้นผิด เพราะถ้าลูกรู้สึกไม่ดีกับปฏิกริยาของพ่อแม่ กระบวนการปกป้องตัวเองจะเริ่มทำงาน ลูกจะไม่อยากตอบคำถาม จะหลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังตัวเมื่อจะสื่อสารกับบุคคลนั้นๆ ในครั้งต่อไป
>> ลูกอาจจะสามารถแยกแยะว่าอะไรผิดอะไรถูกได้ แต่อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ หรือที่เรียกว่า “ กาลเทศะ ” รวมทั้ง “ มุมมอง และวิธีคิด ” เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกทราบ เพราะบางเรื่องสิ่งที่ลูกพูด อาจจะถูกต้อง แต่ไม่เหมาะกับกาลเทศะ
>> สุดท้าย .... จะขอบคุณเสมอที่ลูกพูดได้ ถามได้ แม้จะถามเยอะ และพ่อแม่ก็จะต้องตอบคำถามเยอะด้วยก็ตาม เพราะการที่ลูกพูดได้ ถามได้ แสดงว่าลูกสงสัย รู้จักคิด หรืออย่างน้อย .. ลูกเป็นเด็กปกติ ไม่ได้เป็นใบ้
หากเรามองเรื่อง “ตาย” ว่าเป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมดา เราก็จะรู้สึกว่าคำว่า “ตาย” เป็นคำธรรมดาๆ เป็นคำที่พูดกันได้ มิใช่คำไม่ดี เพราะจะพูดหรือไม่พูดก็ “ตาย” กันทุกคน
ก็เป็นเรื่องน่าแปลกว่า เรื่องที่ลูกจะต้องพบแน่ๆ ทำไมการสอนให้รับรู้ จึงมักมองว่าเป็นเรื่องแปลก
9 ต.ค.57