5 เทคนิคเรียนรู้และฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง


1. เรียนพิเศษ:

การเรียนพิเศษเป็นสิ่งจำเป็นมาก คุณต้องการครูเพื่อปูพื้นฐานและแนะแนวการเรียน การเรียนพิเศษก่อให้เกิดการได้ใช้งานจริงคือการทำงานเขียน ทำแบบทดสอบ การสนทนากับเพื่อนและครู และต่อยอดไปสู่การสร้างสังคมคือมีเพื่อนในที่เรียน ถ้าต้องการการสนทนาเยอะอย่างเป็นธรรมชาติให้เรียนกับครูฝรั่ง ใช้คอร์สพื้นฐาน เน้นพูดเยอะ ช่วยได้ ยิ่งพูดเยอะ ยิ่งเป็นเร็ว สุดท้ายไม่ต้องไปนั่งท่องอะไรเลย โดยเฉพาะกิริยาช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 อะไรพวกนั้น ท่องไปเถอะครับ ท่องไปก็ใช้ไม่เป็น แต่ถ้าได้พูดกับฝรั่งบ่อยๆ เป็นเลย

2. มีกลุ่มเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษ:
ไม่จำเป็นต้องเป็นฝรั่งทั้งหมด มาเลย์เซีย เกาหลี ไต้หวัน อะไรก็ได้ คุณจะพบกลุ่มเหล่านี้ได้จากที่เรียนพิเศษ ก็สานสัมพันธ์กันไป ผมเองครั้งหนึ่งก็มีเพื่อนร่วมคอนโดเป็นชาติแถบเอเชียและแขกขาวที่พูดอังกฤษทั้งหมด แล้วผมก็ไปสนิทกับพวกเขา ไปเที่ยวกันในวันหยุด อยู่ด้วยกันทั้งวัน ไปทำกิจกรรมที่โบสถ์ ผมได้พูดภาษาอังกฤษเยอะมากและช่วยผลักดันศักยภาพทางภาษาอย่างมากมายมหาศาล

3. มีตำราประจำตัว:
ภาษาอังกฤษสำคัญที่โครงสร้างประโยค คือถ้าคุณรู้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษซึ่งมันมีอยู่ไม่กี่อย่าง อาทิ I do... /I do not... /I can... /I cannot... /I want... /I will... ฯลฯ แล้วตามด้วยคำศัพท์ คำกิริยา ฯลฯ เหล่านี้คือการสร้างโครงสร้างประโยค ถ้าคุณผสมโครงสร้างประโยคได้ ก็จบแล้วครับภาษาอังกฤษ ที่เหลือเป็นเรื่องของการเอาคำศัพท์มาปะติดปะต่อและการเลือกใช้ Tense ซึ่งความท้าทายของภาษาคือ Tense ซึ่งในภาษาอังกฤษแยก ปัจจุบัน อดีต อนาคต แบ่งเป็นอย่างต่ำ 6 tense และคำกิริยาก็ดันแยกออกเป็นสามตามแต่ละ tense:

Simple present: Sun goes up every morning.
Simple past: Sun went down at 6PM yesterday.
Future: Sun will go up 5AM in summer.
Present continuous: I am going to the shop in the afternoon.
Past continuous: I was going to the shop when you called.
Future continuous: I will be going to shop this time tomorrow
Present perfect: I have gone out already.
Past perfect: I had gone out by the time you came back yesterday.
Future perfect: I will have gone out by the time you come back tomorrow.


ถามว่างงไหม... ตอบตรงๆ ผมโคตรงงเลย ไม่รู้อะไรเป็นอะไร นี่คือเบาะๆ แค่ได้แค่นี้ก็ครอบคลุมการสร้างประโยคได้มากแล้ว เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องไปท่องมาก อย่างที่บอกยิ่งท่องยิ่งลืม ให้หาโอกาสเรียนสด พูดสด เขียนสด จะช่วยได้ พอได้พูด ได้ยิน ได้ฟังแล้วให้หันกลับมาหาตำราเพื่อกระชับทักษะให้แม่นขึ้น ตำราจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องพูดแบบนั้น และถ้าคุณจะพูดแบบนี้ต้องผสม tense แบบไหนถึงจะถูกต้องจริงๆ ผมแนะนำตำราสองอัน

SIDE by SIDE Student BookSide by Side Student Book by Steven J. Molinsky: เป็นตำราเรียนภาษาที่ไม่หนามาก ทำเป็นภาพการ์ตูนไล่เรียงการใช้ tense ที่ผมบอกไปอย่างเรียบง่ายผมอ่านตำรานี้เอาอยู่เลย เพราะมันช่วยให้ผมเข้าใจหลักการใช้ tense ที่ถูกต้อง กล่าวคือผมมีพื้นฐานการสร้างประโยคการพูดมาแล้ว พอมาเรียน tense มันจะไปไว เป็นการตัดแต่งความรู้รั่วๆให้มันเป็นระเบียบขึ้น หนังสือชุดนี้มีหลายเวอร์ชั่น ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเวอร์ชั่นไหนเป็นเวอร์ชั่นไหน แต่เล่มเดิมที่ผมอ่านมันเป็น Student Book ปกเขียวตามรูป ผมซื้อไว้นานเป็นสิบปีที่ Kinokuniya สาขา The Emporium ตอนนี้คงต้องไปหาใน Amazon กันเอง


Michael Swan's Practical English Usage: อันนี้คือโคตรของโคตรการใช้ไวยากรณ์ (Gramma) สำหรับเซียนภาษาที่คล่องภาษาแล้วและต้องการตรวจสอบการใช้งานไวยากรณ์บางรายการที่ไม่แน่ใจ หนังสือเล่มนี้แยกหมวดหมู่ไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษอย่างดีมาก มีประโยชน์สุดๆและแนะนำให้เป็นตำราภาษาอังกฤษสามัญประจำบ้าน เล่มนี้ผมซื้อไว้เป็นสิบปีเหมือนกัน ที่ Kinokuniya สาขา The Emporium

4. ฝึกฟังภาษาอังกฤษผ่าน Youtube และ Pod Cast:
ผมใช้บ่อยคือการเปิด Youtube พวกการพูดอย่าง TED Talk และ Pod Cast ที่ Blogger ฝรั่งชอบบันทึกแล้วนำไปเผยแพร่บัน Blog การฟังเป็นการฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะต้องใช้สติและสมาธิสูง ข้อมูลจะเข้าหัวได้ดีกว่าการฟังจากการดูหนังฝรั่ง

ปัญหาของภาพยนตร์ฝรั่งแบบอเมริกันคือภาษาอังกฤษแบบอเมริกันพูดเร็ว เป็นภาษาแสลงและภาษาโจ๋ๆที่เข้าใจยาก ผมดูหนังฝรั่งอเมริกันไม่เคยเข้าใจอะไรที่มันพูดเลย

แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์อังกฤษอันนี้มีความเป็นภาษาที่ฟังออกและเข้าใจง่ายมากกว่าเยอะ ที่ผ่านมาคนมักแนะนำให้ดูหนังฝรั่งเพื่อฝึกภาษา แต่ผมขอแนะนำไปโหลด talk show ของนักพูดใน Youtube ดีกว่าเพราะคนเหล่านี้มีภาษาพูดที่ถูกต้องและชัดเจนมากกว่าเยอะ คุณสามารถทดสอบความแตกต่างได้โดยการเข้า Youtube ไปดู clip หนังฝรั่งอเมริกันแล้วลองไปดู clip สอนการพูดโดย Roger Love จะเห็นว่าแตกต่างกันมากในเรื่องของความชัดเจนของภาษา

5. อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ:
การอ่านเป็นการฝึก พัฒนา และลับคมความรู้ภาษาอังกฤษในระยะยาวได้เป็นอย่างดี คุณสามารถเลือกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้มากมายตามใจชอบ สนใจเรื่องใดอ่านเรื่องนั้น เรื่องที่คุณสนใจจะเป็นแรงผลักดันให้อยากอ่านอยากศึกษา ส่วนข้อแนะนำในการอ่านหนังสือคือหลีกเลี่ยงหนังสือที่เป็นวิชาการมากเกินไป เพราะหนังสือเหล่านี้เป็นเนื้อหาหนัก เขียนโดยนักวิชาการ ด็อกเตอร์ และผู้มีความรู้สูง ซึ่งปัญหาของคนมีความรู้สูงมากเกินไปคือถ่ายทอดภาษาที่เข้าใจอยู่คนเดียว คุณควรเลือกอ่านหนังสือที่เขียนโดยคนทั่วไปทีอยากแชร์ประสบการณ์และความรู้ของตัวเอง คนทั่วไปเหล่านี้เขียนด้วยภาษาง่ายๆเหมือนผมและคุณ อ่านง่าย เข้าถึงง่าย ช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาได้เร็วเพราะไม่เครียดในความเป็นวิชาการอันซับซ้อน

นี่คือ 5 วิธีฝึกภาษาอังกฤษสำหรับคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ ที่ต้องทำสม่ำเสมอทุกวันอย่าหยุด ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาแม้ผมทำงานที่ใช้ภาษาแต่ก็ไม่หยุดฝึก ผมอ่าน Blog ฝรั่ง ฟัง Youtube Talk show และฟัง Podcast และอ่านหนังสือต่างประเทศ อ่านสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง บางเล่มซื้อมาอ่านไม่รู้เรื่องทั้งเล่มก็มี ประสบการณ์หลากหลายกับการฝึกภาษา แต่อย่าลืมว่านี่คือ Life time learning เรียนแล้วหาโอกาสใช้งานด้วย ประสบการณ์สำคัญที่สุด

คำสำคัญ (Tags): #kmpprep
หมายเลขบันทึก: 601944เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2016 18:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2016 18:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท