โครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนากลยุทธ์การเสริมรายได้และลดต้นทุนการผลิตผักพื้นบ้านของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผัก ตำบลแวงน่าง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” เป็นงานวิชาการรับใช้สังคมบนความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับ สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น โดยมี ดร.เพ็ญแข ธรรมเสนานุภาพ (คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์) และ ดร.นิจพร มาจันทร์ (นักวิจัยชุมชน:เลขานุการเครือข่ายอุ้มชูสารคาม) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
โครงการวิจัยดังกล่าว ประกอบด้วยวัตถุประสงค์การวิจัย คือ วัตถุประสงค์ ๑) ศึกษาบริบท สภาพแวดล้อม ที่สัมพันธ์กับการผลิต ของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักบ้านแวงน่าง ๒) ศึกษาสถานการณ์ปัญหา และพัฒนาการการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา และองค์ความรู้ในการผลิตผักพื้นบ้านของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักพื้นบ้าน ตำบลแวงน่างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ๓) ศึกษาองค์ความรู้ กลยุทธ์ วิธีการ ปัจจัย เงื่อนไข ด้านการจัดการผลิตและการจำหน่ายผักพื้นบ้านเพื่อลดความเสี่ยงของการแข่งขันในตลาดชุมชนแวงน่าง ๔) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การเสริมรายได้และลดต้นทุนการผลิตในตลาดชุมชนแวงน่าง
จุดเริ่มต้น : สถานการณ์และแรงบันดาลใจ
งานวิจัยดังกล่าวนี้ขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างอาจารย์ นิสิตและชุมชน โดยเฉพาะกลุ่ม “เครือข่ายอุ้มชูสารคาม” ที่จัดตั้งขึ้นในชุมชนตำบลแวงน่าง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เดิมมีชื่อกลุ่มว่า “เกษตรกรทำนาแวงน่าง” ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อบริหารจัดการผลผลิตแบบมีส่วนร่วมของชุมชนและดำเนินการต่อรองการจำหน่ายสินค้ากับพ่อค้าคนกลาง โดยมี “ตลาดชุมชนแวงน่าง” เป็นฐานที่มั่นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชนกับชุมชนและชุมชนกับบุคคลภายนอกชุมชน
ปัจจุบันกลุ่มเครือข่ายอุ้มชูสารคาม มีทั้งหมด ๗ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มสวัสดิการชุมชน กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรแบบครบวงจร กลุ่มตลาดชุมชน กลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารพิษ กลุ่มหัตถกรรมพื้นบ้านแบบครบวงจร กลุ่มเลี้ยงโค-กระบือ และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจชุมชน โดยทั้งปวงล้วนจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด พร้อมๆ กับการพยายามเรียนรู้ที่จะบูรณาการศักยภาพชุมชนเข้ากับปัจจัยหนุนเสริมจากภายนอกชุมชนเท่าที่จะกระทำได้
เช่นเดียวกับกรณีตลาดชุมชนแวงน่างก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายในสังคมเมืองมหาสารคาม หรือกระทั่งจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตลาดด้วยการจำหน่าย “ผักพื้นบ้าน” (Indigenous Vegetable) เป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีผู้บริโภคและพ่อค้าสัญจรมาจับจ่ายใช้สอยแลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดอย่างคับคั่งและเนืองแน่นในทุกๆวัน
แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับพบว่า ผักพื้นบ้านที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนเริ่มมีจำนวนลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับข้อมูลสถานการณ์จริงที่น่าสนใจอีกประการก็คือกลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารพิษกลับกลายเป็นกลุ่มที่ยังดำเนินงานยังไม่เข้มแข็งเมื่อเทียบกับอีก ๖ กลุ่มในเครือข่ายอุ้มชูสารคาม ทั้งๆ ที่ชุมชนแวงน่างมีทำเลที่หมายถึงดินและน้ำที่เหมาะสมเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกพืชผักเป็นอย่างมาก
ผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างอาจารย์ นิสิต ชุมชนและภาคีเครือข่าย พบว่าคนในชุมชนพบว่าปัจจุบันชาวบ้านปลูกผักพื้นบ้านและบริโภคผักพื้นบ้านกันน้อยลง จากที่เคยบริโภคผักพื้นบ้านกว่า ๑๓๖ ชนิด ปัจจุบันบริโภคเพียง ๒๖ ชนิด เช่นเดียวกับปัจจัยเหตุที่ส่งผลกระทบให้เกิดการดำเนินงานที่ไม่เข้มแข็งของกลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารพิษก็มีหลายประการ เช่น
ด้วยเหตุนี้ทีมวิจัยจึงทำการประเมินสถานการณ์และออกแบบกระบวนการที่เกี่ยวโยง โดยมุ่งแก้ปมประเด็นเร่งด่วน คือ ๑) ปัญหาการผลิตมีราคาสูง ๒) การลดลงผักพื้นบ้านทั้งด้านคุณค่าและมูลค่า ซึ่งทีมวิจัยเห็นพ้องตรงกันว่าหากสามารถแก้ปัญหาปัจจัยการผลิตที่สูงได้ โดยเฉพาะราคาปุ๋ย สารปราบศัตรูพืช และเมล็ดพันธุ์ ย่อมช่วยให้เกษตรกร “ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้” ไปโดยอัตโนมัติ รวมถึงการวางแผนและยุทธวิธีการจัดการ
ที่เหมาะสมตั้งแต่การปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต การเร่งสร้างทุนทางธรรมชาติผ่านกระบวนการรื้อฟื้นและฟื้นฟูผักพื้นบ้าน เพื่อเป็นกลยุทธ์เสริมในการจัดการความเสี่ยงจากการผลิตและการตลาดไปพร้อมๆ กัน
เรียนรู้คู่บริการผ่านการเรียนและการบริการวิชาการ
การขับเคลื่อนงานวิจัยครั้งนี้ถูกบูรณาการผ่านการเรียน (การผลิตบัณฑิต) ที่เป็นรูปธรรมบนฐานคิดการจัดการเรียนการสอนตามปรัชญา “การศึกษาเพื่อรับใช้สังคม” โดยออกแบบการเรียนรู้ให้ “ผู้เรียนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง” ผ่านรายวิชา “ระบบนิเวศการเกษตร” เพื่อให้นิสิตเกิดความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในแบบ“เรียนรู้คู่บริการ” กล่าวคือเน้นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน เสมอเหมือนการผสมผสานระหว่างองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยกับภูมิปัญญาชุมชนอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
ในทางกระบวนการวิจัย ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นชุมชนและกลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารพิษจำนวน ๑๓๗ คน มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านเครื่องมือหลากรูปแบบ เช่น แผนที่เดินดิน ปฏิทินฤดูกาล สนทนากลุ่มย่อย (Focus group) แบบสำรวจ การสัมภาษณ์ เรื่องเล่า (ผ่านการเล่าและภาพถ่าย) ซึ่งในทุกเครื่องมือจะยึดมั่นในแนวทาง “การจัดการความรู้” กล่าวคือ เน้น “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้” ร่วมกันเป็นหัวใจหลัก มีการลงชุมชนต่อเนื่องและใช้ชีวิตแบบ “ฝังตัวกับชุมชน” ไม่ใช่ไปๆ มาๆ อย่างผิวเผิน ตรงกันข้ามคือลงชุมชนอย่าง “จริงจังและจริงใจ” เพื่อก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อกัน ลดความเลื่อมล้ำระหว่างความเป็นมหาวิทยาลัยกับชุมชน ซึ่งจะช่วยให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคฝ่าย รวมถึงการสร้างเวที “เปิดใจ” เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง (SWOT) ของกลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารร่วมกันอย่างเป็นกัลยาณมิตร
ในทำนองเดียวกันการบูรณาการผ่านการบริการวิชาการก็ปรากฏกระบวนการที่เด่นชัดอย่างน่าสนใจ กิจกรรมหลายกิจกรรมถูกออกแบบแบบร่วมกันระหว่าง “ทีมวิจัย (อาจารย์-ชาวบ้าน) กับชุมชน” โดยกิจกรรม หรือกระบวนการก็แอบอิงอยู่กับสถานการณ์อันเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งคลี่คลาย โดยเฉพาะในเรื่องการ “ลดต้นทุนการผลิต” เพื่อลดทอนการจัดซื้อสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี หรือการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้าน
ด้วยเหตุนี้จึงมีการถ่ายทอดความรู้ ฝึกปฏิบัติการและนำไปใช้จริงร่วมกัน เช่น ฝึกอบรมการผลิตเชื้อราไตรโคเดอมา (ราเขียวข้าวบูด) เทคนิคการใช้ปุ๋ยคอก การผลิตน้ำหมักชีวภาพจากเศษอาหาร พืชผัก มูลสุกร การคัดเลือกและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การตรวจสภาพดินการเฝ้าระวังการระบาดของศัตรูพืช
รวมถึงการติดตามหนุนเสริมจริงในชุมชน หรือแปลงเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่องร่วมกันระหว่างอาจารย์ นิสิตและชุมชนที่มีทั้งกลุ่มนักวิจัยชุมชน กลุ่มเครือข่ายอุ้มชูสารคาม องค์การบริหารท้องถิ่น โดยใช้กลยุทธการทำงานอย่างเป็นทีม ผ่านการ “ทำไป-เรียนรู้ไป” ในแบบ “๓ H” คือ ร่วมใจ (Heart) ร่วมคิด (Head) ร่วมทำ (Hand)
เรียนรู้คู่บริการผ่านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
การวิจัยครั้งนี้สะท้อนถึงการบูรณาการด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นในหลายประเด็น เช่น การสืบค้นภูมิปัญญาชุมชนเกี่ยวกับ “ความรู้และเทคนิค” การปลูกพืชแต่ละชนิดของชาวบ้านแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นกระบวนการอันสำคัญ เนื่องเพราะสามารถทำให้ชุมชนได้ทบทวนศักยภาพของตนเอง และเสริมหนุนให้ชุมชนได้ “แบ่งปันความรู้” หรือ “จัดการความรู้” ร่วมกัน เสมอเหมือนการตอกย้ำของการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมและพึ่งพาตนเองบนฐานวัฒนธรรมอันเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่โบราณกาล
เช่นเดียวกับการได้ร่วมสืบค้นสายธารทางวัฒนธรรมในการผลิตผักพื้นบ้าน หรือบริโภคผักพื้นบ้านแบบปลอดสารในแต่ละเทศกาลของชุมชน (ฮีต ๑๒ คอง ๑๔) ยกตัวอย่างเช่น
หรือกระทั่งภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ว่าด้วยคำพยากรณ์ หรือการทำนายทายทักความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตจากต้นไม้ใบหญ้ารอบท้องทุ่งนา เช่น
ผลพวงของวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดการจัดการศึกษาเพื่อรับใช้สังคม (เรียนรู้คู่บริการ) ที่มุ่งให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้รับใช้สังคมผ่านภารกิจหลักของสถานศึกษา
ในแบบ 4 In 1 (วิจัย การเรียน การบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม) โดยการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ไม่ใช่การถ่ายทอดฝ่ายเดียว หรือการยัดเยียดความรู้ที่ชุมชนไม่ต้องการ หรือไม่ตอบโจทย์ปัญหาของชุมชน จนชุมชนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนได้
ผลของการวิจัยครั้งนี้ ไม่ได้ค้นพบแค่สถานการณ์พืชผักพื้นบ้านที่หายไปจากชุมชน เช่น ผักหนาม ผักออบแอบ ผักหวานบ้าน ผักกูด กระทงลาย ผักก้านก่อง ผักอีฮีน ฟักข้าว หรือผักพื้นบ้านที่กำลังลดลง เช่น ผักลืมผัว ผักกะแยง รวมถึงผักที่ชุมชนที่วิเคราะห์ว่าต้องผลผลิตเพิ่มเพื่อตอบสนองตลาดการบริโภค เช่น สลัด ฟักทอง ตูมซาอุ ผักกาดฮ่อเต้ ผักชีจีน ผักกาดขาวห่อ ทว่ายังเกิดผลลัพธ์อื่นๆ ตลอดจนการค้นพบองค์ความรู้ร่วมกัน ทั้งที่เป็นชุดความรู้เก่าและชุดความรู้ใหม่หลายประเด็น ดังนี้
1.เกิดชุดความรู้อันเป็นกลยุทธและกลวิธีทางการเกษตรที่มีในชุมชน เช่น
2.เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้
3.เกิดฐานข้อมูลสู่การเปลี่ยนแปลงทางการตลาดและชุมชน
บทส่งท้าย
นี่อาจเป็นเพียงกรณีศึกษาการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ผ่านระบบและกลไกของการศึกษาเพื่อรับใช้สังคมของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับ สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่มุ่งให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้ปฏิรูปการเรียนรู้แบบใหม่ที่สอดคล้องกับศตวรรษที่ ๒๑ บนฐานคิดของการจัดการศึกษาที่ใช้ผู้เรียนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง
กระบวนการเช่นนี้ มิใช่เพียงสร้างความเข้มแข็งต่อระบบการผลิตบัณฑิต หรือสร้างองค์ความรู้ให้กับมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งกระบวนการของการพัฒนาชุมชน หรือท้องถิ่นผ่านระบบและกลไกของการศึกษาดีๆ นั่นเอง และกระบวนการสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาชุมชนดังกล่าวก็เป็นกระบวนการที่เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน หรือภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยดังกล่าวนี้ทำให้เห็นว่าอาจารย์ (ผู้สอน) ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่อมจมกับการเรียนการสอนในชั้นเรียน หรือในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เสียทั้งหมด เพราะการไปเรียนรู้กับชุมชน คือการเรียนรู้จริงที่หมายถึง “การเรียนรู้เพื่อให้เกิดการรู้จริง” ที่ประกอบด้วยรู้จริงใน “วิชาชีพ” และ “วิชาคน” เนื่องเพราะการเรียนรู้เช่นนี้จะช่วยให้ผู้เรียน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมองเห็นและสัมผัสจริงกับความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่ใช่การจำลองการเรียนรู้ชีวิตผ่านห้องปฏิบัติการในมหาวิทยาลัย
กรณีเช่นนี้หากขับเคลื่อนสำเร็จ ย่อมหมายถึงว่าผู้สอนและผู้เรียนในฐานะนักวิทยาศาสตร์ย่อมมีความรู้และทักษะในการเป็นนักสังคมศาสตร์เพิ่มขึ้น เมื่อผู้เรียนสำเร็จการศึกษาก้าวออกไปสู่สังคม จึงย่อมมีโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ดีต่อการดำเนินชีวิต มีความตระหนักรู้และตื่นตัวต่อการรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ดำรงตนได้อย่างมีคุณค่าและมูลค่าดังปรัชญาของการจัดการศึกษาเพื่อรับใช้สังคม
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชมกับทีมวิจัยทีมนี้เป็นอย่างมากที่มุ่งสร้าง “ความมั่นคงต่อชีวิตผู้คนผ่านฐานการผลิตปลอดสาร” บนทุนทางสังคมของพวกเขาเอง โดยการเปิดใจที่จะบูรณาการความรู้ใหม่และความรู้เก่าเข้าด้วยกันอย่างเปิดใจและมีสติ และที่สำคัญคือการกำหนดเป้าหมายอนาคตของชุมชนโดยไม่ละเลยที่จะศึกษาทุนทางสังคมของตนเอง ดังจะเห็นได้จากกระบวนการสืบค้นถึงความรู้เดิมที่มีมาแต่โบราณกาล เพื่อเชื่อมโยงกับความเป็นจริงในปัจจุบันไปสู่การออกแบบพื้นที่ใหม่ในการหยัดยืนอย่างเป็นทีม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์สำคัญของชุมชน ซึ่งประเด็นนี้ต้องให้ความเคารพและยกย่องต่อกลุ่ม “เครือข่ายอุ้มชูสารคาม” เป็นที่สุด
หรือกระทั่งการยกย่องให้กำลังใจต่อหัวหน้าโครงการวิจัยฯ (ดร.เพ็ญแข ธรรมเสนานุภาพ) นักวิชาการผู้อยู่ในวิชาชีพการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยมีความรู้และทักษะในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ หรือ “วิจัยเพื่อท้องถิ่น” แต่กล้าที่จะเปิดใจเรียนรู้ไปกับชุมชน และขอความอนุเคราะห์ให้ชุมชนได้ทำหน้าที่ในการเป็น “ครูช่วยบ่มเพาะนิสิต” ไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ก็ช่วยยกระดับความเป็นครูในตัวตนของชุมชนด้วยเช่นกัน
เหนือสิ่งอื่นใดต้องชื่นชมกับผลลัพธ์ (Out come) ที่เป็นรูปธรรมจากงานวิจัยชิ้นนี้ เพราะความสำเร็จเชิงประจักษ์ที่เห็นได้ชัดตราบจนวันนี้ก็คือ กลุ่มปลูกพืชผักปลอดสารเกิดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน เกิดงานและรายได้ในระดับครัวเรือนและกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงการเกิดพลังเครือข่ายของการเรียนรู้และพึ่งพากันกว้างขวางขึ้น ทั้งที่เป็นศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เทศบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ร้านค้าท้องถิ่น เครือข่ายตลาดเขียว
และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกันคือคนในชุมชนเห็นความสำคัญของการลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เป็นการมุ่งมั่นสร้างสร้างสังคมสุขภาวะผ่านการผลิตและการบริโภคที่ปลอดสาร หรือในอีกนิยามก็คือการสร้าง “พื้นที่สีเขียว” ให้กับสังคมอย่างจริงจังอีกครั้ง
หมายเหตุ :
เราสอนเด็กๆ
ผลไปถึงบ้านนักเรียนด้วย
มีนักเรียนชายคนหนึ่งขยันมาก ผู้เขียนเลยให้พันธุ์ผักกวางตุ้งไปปลูกที่บ้าน นักเรียนชายคนนี้ค่อนข้างสนใจดี เก็บพริกเอาไปฝากที่บ้านด้วย(ไม่ค่อยงกเลย 555)..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/597283
ครับ อาจารย์เพชรน้ำหนึ่ง
นอกจากการรวบรวมชื่อผัพพื้นบ้านในชุมชนจากงานวิจัยนี้แล้ว ยังมีงานบริการวิชาการอื่นๆ ที่สืบค้นเรื่องนี้ ซึ่งผมเองกำลังจะนำมาบอกเล่าย้อนหลังเหมือนกัน -
มันเหมือนชวนให้ชาวบ้านได้ค้นหาต้นทุนทางสังคมเดิมๆ ของตนเองดีๆ นั่นเอง ครับ
ค้นหา และแฝงนัยสำคัญว่า จะ "เดินต่อ" อย่างไร
ตั้งประเด็นให้คิด แต่ไม่ชี้นำ ครับ
ครับ ดร.ขจิต ฝอยทอง
การเรียนจากโรงเรียน แล้วหมุนกลับไปยัง "บ้าน" (ครัวเรือน-ชุมชน) นั่นคือ outcome ที่น่าสนใจและต้องชื่นชม รวมถึงสร้างกระบวนการหนุนให้เคลื่อนหมุนเป็นวงจรเรื่อยไปครับ
ชื่นชมครับ- (สุดยอดมากๆ)