หลังการได้รับยาฉีด Peg-Intron พร้อมยากิน Ribavirin ผ่านไปรอบแรกตามการอนุมัติของสปส. เป็นเวลา 3 เดือนรวม 12 เข็มคิดเป็นเงินจำนวนกว่า 156,000 บาท แต่พอถึงรอบที่ 2 ปรากฎว่าไม่ผ่านการอนุมัติ ด้วยเหตุผลที่เข้าใจว่าไวรัสตับอักเสบซีชนิดที่1น่าจะรักษาหายขาดยาก
คุณปู เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลโรคตับ ใจดีมีเมตตาคนนั้นได้ปรึกษากับคุณหมอถึงวิธีที่จะรักษาต่อเนื่องได้อย่างไร โชคดีหน่อยยาฉีด Peg-Intron ราคาลดลงอย่างมากจากราคาประมาณ 13,000 บาท เหลือ 3,500 บาท หากจะรักษาต่อก็เหลืออีก36เข็ม คิดเป็นเงินราคาใหม่เหลือประมาณ 126,000 บาท โดยในแต่ละเดือนต้องใช้เงิน 14,000 บาท
บริษัทที่ผู้เขียนทำงานอยู่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ปีหนึ่งไม่เกิน 50,000 บาท เฉลี่ยก็ได้ค่ายาถึง 14 เข็มหรือ 3เดือนครึ่งเลยทีเดียว แต่เนื่องจากการไม่อนุมัติยาของ สปส. อยู่ในเดือนพฤศจิกายน 2555 จะสิ้นปีอยู่แล้ว และผู้เขียนก็ใช้ค่ารักษาพยาบาลไปแล้วบ้าง ผู้เขียนจึงได้ปรึกษากับหมอว่าหากจะทำเรื่องซื้อยาล่วงหน้าได้หรือไม่ หมอก็ใจดีทำใบรับรองชื่อโรคเพื่อทำการการเบิกยาล่วงหน้า3เดือน ทำให้ผู้เขียนได้ยาฉีดถึงเดือนมกราคม 2556
และต่อไปผู้เขียนก็ยังจะต้องเรียกร้องประกันสังคมเพิ่มอีกตามคำแนะนำของหมอและคุณปู ที่นำเรื่องส่งตัวเพื่อยืนยันว่าผู้เขียนตอบสนองต่อยาที่ใช้รักษาเป็นอย่างดีและทำให้จำนวนไวรัสลดลงอย่างมากจนถึงขึ้น<12 ซึ่งหมายความว่าน้อยจนสามารถบอกว่าหายขาด หรือเหลืออยู่น้อยมาก แต่ยังต้องรักษาต่อจนครบเทอม 1 ปี
เป็นเรื่องราวที่ทรงคุณค่ากับการเดินทางของคนไข้ไวรัสตับอักเสบซีคนหนึ่ง แต่อีกหลายคนจะได้รับอานิสงค์มากมายมหาศาลครับ
พี่ชื่นชมการต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิของคุณนะคะ
และคิดว่าประกันสังคมควรทบทวนการเบิกจ่ายยาเมื่อมีข้อมูลสนับสนุนมากพอว่ายารักษาได้ผล