การบรรยายช่วงแรก อาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา แสดงให้เห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผลบนหลักคิดแบบวิทยาศาสตร์ว่าเมืองไทยเราน่าอยู่แค่ไหน ท่านทำนายว่า "ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน" อย่างไม่ต้องสงสัย ใครๆ ก็อยากจะมาอยู่เมืองไทย เพราะใครๆ ก็คิดว่ามาอยู่เมืองไทยแล้วจะมีความสุข ... แต่แท้จริงแล้ว ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศที่อาศัยเท่านั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ "ใจ"
ท่านถามนิสิตว่า " ...เคยมีความสุขไหมครับ... ความสุขมันหายไปจากตรงไหนครับ ..ชี้ซิครับ..." บางคนชี้นิ้วมายังลำตัว บางคนชี้ไปยังบริเวณหัวหรือหน้า ท่านเฉลยว่า "...ใช่ครับ (พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หัวใจ) หายไปจากใจ..." ทุกคนอยากจะมีความสุข และพยายามค้นหาดิ้นรน
จากการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ผมพบว่าท่านได้บรรยายเรื่องนี้หลายที่หลายเวลา และมีนักเรียนรู้หลายท่านนำมาเขียนเป็นบันทึกแบ่งปันไว้แล้ว เช่น จากคุณวิชิต มมส.( ที่นี่ ) คุณสุรพงษ์ (ที่นี่) เชิญท่านติดตามอ่านดู ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนานจาก "นิทานสีขาว" หลายเรื่องที่ท่านนำมาเล่าสนับสรุปความ เช่น "คุณยายหาเข็ม" (อ่านที่นี่) อาละดีนกับยักษ์ในตะเกียงวิเศษ (อ่านที่นี่) เป็นต้น จะรู้ว่า เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เป็น "ปรมัตถธรรม" ที่เหลือเพียงให้ไปทดลองทำดูเองเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งอันที่จะมาโต้เถียงตีความ
เกือบทุกประเทศในโลกใช้ดัชนีชี้วัดความเจริญก้าวหน้าของประเทศด้วย GNP (Growth National Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเป็นหลัก มีเพียงประเทศเดียวในโลกที่นำดัชนีของความสุขหรือ GNH (Growth National Hapiness) มาเป็นเครื่องชี้วัดระดับพัฒนาการของประเทศ คือประเทศ ภูฎาน ท่านเล่าถึง กษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก คนเดียวกับ "เจ้าชายจิกมี่" ที่คนไทยรู้จักดีเมื่อครั้งมีงานเฉลิมฉลองงานครองราชย์ครบ ๖๐ ปีของในหลวงเรา แล้วยกเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้กับการบริหารประเทศหลังจากได้ขึ้นเป็นกษัตริย์
กษัตริย์จิกมีมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ไปหาวิธีการจัดการศึกษาเพื่อให้ประชากรมีความสุข รัฐมนตรีจึงเชิญวิทยากรนักศึกษาทั่วโลก อาจารย์ ดร.อาจอง เป็น ๑ ใน ๒๐๐ คนทั่วโลกที่ได้รับเชิญในครั้งนั้น ในงานเปิดโอกาสให้ทุกคนได้นำเสนอคนละ ๕ นาที ว่าจะทำอย่างไรให้คนมีความสุข ท่านได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า ส่วนใหญ่คนมักพูดอยู่เสมอว่า "ฉัน ต้องการ ความสุข" หารู้ไม่ว่า "ฉัน" และ "ต้องการ" นั้นเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ดังนั้นคนเราจะไม่พบความสุขที่แท้จริงได้ถ้าไม่ตัดคำว่า "ฉัน" และ "ต้องการ" ออกไป ...สุดท้าย ท่านอาจารย์ อาจอง ได้รับเลือกและเชิญให้ไปฝึกอบรมครูทั้งประเทศที่ภูฎานมี ใช้เวลาทั้งสิ้น ๘๐ วัน (ไป ๑๐ ครั้งๆ ละ ๘ วัน)
ประเด็นคือ ทำไมเราจึงไปให้ความสำคัญกับ "ศัตรูของมนุษย์" การยึดเอา GNP เป็นดัชนีความเจริญเท่ากับการผูกความก้าวหน้าของประเทศไว้กับ "กิเลส" ชัดๆ การผลิตมากๆ ต้องกระตุ้นให้คนมี "ความอยาก" หลอกล่อให้หลงและโลภมากๆ การบริโภคมากๆ เกิดการแข่งขันแก่งแย่งกันอย่างรุนแรง "โทโส" หรือโทสะ ความโกรธ ความเครียดเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากๆ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ความทุกข์จึงเป็นที่สุดของทางสายนี้ ... ท่านสรุปตอนท้ายถึงวิถีทางสู่ความสุขคือการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต
ท่านอธิบาย "ศัตรูของมนุษย์" ด้วยวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจ และไม่น่าจะมีใครปฏิเสธได้ว่า "ไม่จริง" ผมจับประเด็นได้ประมาณนี้ว่า
ท่านสรุปว่า แท้จริงแล้วศัตรูมนุษย์นั้นแท้จริงแล้ว ถูกเก็บบรรจุไว้ใน "จิตใต้สำนึก" ของเราเองแล้ว วิธีที่จะนำเราไปสู่ความสุข คือการศึกษากระบวนการเรียนรู้ของเราเอง เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตนสู่ "ความจริง" ก่อนจะนำเสนอ ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อเข้าสู่ความจริง ดังที่ผมจะตีความพอสังเขปดังนี้
(ผมถือวิสาสะคัดลอกภาพมาจากบันทึกของคุณสุรพงษ์ ( ที่นี่) ขอบคุณท่านไว้ตรงนี้ด้วยครับ)
ทฤษฎีการเรียนรู้ของ อาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย มีบางอย่างคล้ายกระบวนการเรียนรู้แบบของชาวตะวันตกทางประสาทวิทยา และบางส่วนเหมือนนำเอาหลักพุทธศาสนามาอธิบายเพิ่ม โดยยกระดับเป้าหมายให้สูงไปกว่าความรู้หรือการรับรู้ที่ครูให้หรือได้มาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ ดังนี้
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดในการบรรยายคือ การลุกขึ้นตั้งคำถามของนิสิตหญิงคนหนึ่ง ว่า " .. ท่านค่ะ แท้จริงแล้ว มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร?...." อาจารย์ ดร.อาจอง ตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อค้นหาและพัฒนาตนเองให้เข้าถึง "ความจริง" ความจริงคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่ง ไม่มีเกิด ไม่มีดับ แล้วท่านก็ถามกลับว่า "...หนูรู้ไหมว่า อะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเกิด ไม่มีดับ.." นิสิตตอบว่า "นิพพาน" เสียงปรบประสานมือก็ดังสนั่นขึ้นทั่วห้องประชุมทันที
ตอนที่สนุกที่สุดของการบรรยายของท่าน คือตอนท่านเล่าถึงการคิดค้นระบบลงจอดของยายไวกิ้งที่ไปลงจอดของดาวอังคาร ทั้งสนุกตื่นเต้น และเห็นมุมมองของอเมริกันชนชัดทีเดียว....หากท่านอยากอ่านต่อ..ขอมาเลยครับ... วันนี้พอเท่านี้นะครับ ...