การดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE (Quantitative Easing) รอบที่ 3 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed (Federal Reserve) ที่เข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน (Mortgage-backed securities: MBS) จำนวน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน และซื้อพันธบัตรรัฐบาล (U.S. Treasury securities) อีก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2012 นอกจากทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ รวมถึงการลงทุนในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย การไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากมายังตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตรของไทยได้ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยแข็งค่าสูงสุดในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ระดับ 28.67 บาทหรือราว 6% จากปลายปี 2012 อย่างไรก็ดีเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Fed ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจจะเริ่มลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ลงในปีนี้ และสิ้นสุดมาตรการในช่วงกลางปี 2014 ทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกเกิดความผันผวน ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกไปยังสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงใกล้เคียงเงินสด (Near Cash Assets) และทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงจาก 2.35% เป็น 2.60% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 วันหลังมีการส่งสัญญาณ ความตื่นตระหนกต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า Fed จะดำเนินมาตรการดังที่ได้ส่งสัญญาณไว้จริงหรือไม่ และหากมีการลดขนาด QE จริงแล้ว เศรษฐกิจไทยซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าจากมาตรการ QE ค่อนข้างมากจะได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร
แหล่งอ้างอิง: ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC)
เผยแพร่ในนิตยสาร SCG delight ฉบับกันยายน 2556
ไม่มีความเห็น