" ล้อการเมือง ผ่านกิจกรรมฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์แบบสันติวิธี"
เตือนใจ เจริญพงษ์
งานขิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 แล้ว จึงขอนำมาฝากเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่าน ดังนี้
ช่วงเวลาที่ผ่านมา มักมีคำถามจากผู้หลักผู้ใหญ่เสมอมา ว่าบรรดานักเรียนนิสิต นักศึกษาบ้านเมืองเรายุคนี้ คิดอย่างไร สนใจและติดตามเหตุการณ์ความเป็นไปการบ้านการเมือง การปกครองของประเทศกันมากน้อยแค่ไหน นอกเหนือจากเรียนทฤษฎีจากตำราในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะจะเป็นการตอบโจทย์ในการสะสมภูมิปัญญา การพัฒนาองค์ความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ จนสามารถรับไม้ผลัดช่วงต่อของการทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งต้องมีวุฒิภาวะ ความพร้อมต่อการทำงานในหน้าที่ และภารกิจในวันหน้าได้อย่างมีคุณภาพ ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ และจรรยาบรรณ ซึ่งจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ขณะนี้ มหันตภัยร้ายแรง คือ "กระแสวัตถุนิยม" ที่มีอิทธิพลและคุกคามแบบค่อยๆหล่อหลอมวิถีชีวิตของชนชั้นนักเรียน นิสิต นักศึกษา แทบทุกสถาบันการศึกษาตามเขตเมืองต่างๆของประเทศเราไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็น มือถือ ท็อปแล็ต แฟชั่นแบรนด์เนม ความฟุ่มเฟือง ความหรูหรามีให้เห็นในชั้นนี้ แม้กระทั่งรถเก๋งยี่ห้อแพงแสนแพงกลับมีให้เห็นจนชินตา ซึ่งก็คงต้องขอให้สถาบันครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครองลดการมอมเมาลูกหลานด้วยเงินตรา และวัตถุนิยมเสียที อีกทั้งให้พ่อแม่ ครู อาจารย์ และสังคมโดยรวมต้องเร่งช่วยกันปลุกจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนทัศนะคติให้ลูกหลานเราหันกลับมาอยู่อย่างพอเพียงโดยเร็ว อย่างไรก็ตามขอชมเชยนักเรียน นิสิต นักศึกษาส่วนหนึ่งที่ขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียน และมุมานะกัดฟันทำงานหนักหาเงินเรียนหนังสือเพื่อสร้างอนาคตของตนเองอย่างเต็มที่ อาจมีบางส่วนที่มีการแสดงออกทางการเมืองภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย และไม่ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมโดยรวมแต่อย่างใด
ผู้เขียนได้มีโอกาสชมการแข่งขันฟุตบอลประเพณีของจุฬา-ธรรมศาสตร์ ที่สืบทอดจนเป็นประเพณีเหมือนๆกันทุกยุคสมัย ล่าสุดก็อดขำขันเป็นนัยเหมือนกับคนหมู่มากของประเทศ เพราะนั่นเป็นการสะท้อนแง่มุม แนวคิดของนิสิต นักศึกษา ได้แต่นึกในใจว่า "อ้าว…เยาวชนยุคนี้เขาก็สนใจ ติดตามเรื่องของบ้านเมืองกันเหมือนกันนะ" ก็ยังดีที่นิสิต นักศึกษายุคนี้ ล้อ "การบริหารจัดการบ้านเมือง" ผ่านกิจกรรมฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์อย่างสันติ ขอย้ำว่าเป็นเพียงการหยิบยกเรื่องราวบางเรื่องมาจัดทำเป็นกิจกรรมอย่างสันติวิธี ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาโดยตลอด มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างไร แม้ในภาวะที่รัฐบาลยังประกาศการใช้กฎอัยการศึกในประเทศก็ตาม ก็ต้องขอบคุณรัฐบาลยุค คสช.ที่เข้าใจถึงเจตนารมณ์การล้อการเมืองของเยาวชนกลุ่มนี้
อนึ่งการที่เยาวชน และคนรุ่นใหม่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม นับเป็นเรื่องที่ดีที่ควรยกย่องสนับสนุน ดังนันรัฐบาล และคสช.ควรสนับสนุนและเปิดโอกาสให้นักศึกษา และคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเหมาะสมในโอกาสต่อๆๆไป เพราะจะเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมากยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญที่สุด คือ ขอฝากให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย บางเรื่องเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง คนในชาติแตกความสามัคคี แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ส่งผลทำให้การพัฒนาประเทศถอยหลังเข้าคลอง หากหันกลับมามองบ้านเมืองเราซึ่งอยู่ภาวะชะงักงัน หรืออาจเรียกว่า "เกียร์ว่าง" จนอาจจะเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศหลายๆด้านอย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านการเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ- การค้า อุตสาหกรรม-วิทยาศาสตร์ การเกษตร การท่องเที่ยว รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม เป็นต้น หลายด้านถูกจัดลำดับร่วงหล่นแบบเกาะรั้งท้าย แม้ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าได้พยายามบริหารจัดการอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
อนิจจา!!! บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรในอนาคต ก็ขอให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาเรียนรู้และใส่ใจ จดจำในทุกเรื่องราว ทุกแง่มุมของประเทศ เพื่อใช้เป็นประวัติศาสตร์นำมาไตร่ตรอง หาถูกและผิดให้ได้ ครั้นเมื่อ เป็นผู้ใหญ่เสียเอง
…..จะได้ใช้วิจารณญานว่าในการทำหน้าที่แห่งตน
….. ไม่ว่าเป็น ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ จะได้เป็นแบบมีคุณภาพ และ สง่างามหรือ ที่เรียกว่า…การเป็นคนดี และคนเก่งของสังคมไทยอย่างแท้จริง นั้นเป็นอย่างไร
มิใช่เป็น …ข้าราชการ….แบบผลมะเดื่อเน่า
เป็นนักการเมือง…แบบผลมะเดื่อเน่า
และเป็นนักธุรกิจแบบ…แบบผลมะเดื่อเน่า
### "แบบผลมะเดื่อเน่า" เป็นอาการที่เนื้อข้างในของลูกมะเดื่อ ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งเน่าเสียหมดทั้งผล แต่ดูจากภายนอกก็ไม่รู้ว่าเน่า ถือเป็นภาพลวงตาที่ดูดีแต่ภายนอกเท่านั้นเอง
เมื่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ยุคนี้เป็นผู้ใหญ่ภายภาคหน้า ก็จะจดจำเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นอย่างมีวิจารณญาณ และมีเจตนารมณ์ในการดำรงตนเป็นคนดี แสวงหาความรู้ ความก้าวหน้าในหน้าที่ และมีจิตอาสาต่อสาธารณะ ซึ่งจะเป็นความหวังของคนในชาติได้ว่าต่อไป…คนไทยจะมีระเบียบวินัย มีการเคารพกฎหมาย มีจิตสำนึกที่เป็นคนดี มีความสามัคคี ไม่โกงกิน รักชาติ ศาน์ส กษัตริย์ ที่สำคัญมีการเพิ่มพูนสมรรถนะขีดความสามารถของประชากรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง 3 แกนหลัก ได้แก่ ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ ที่เป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ให้เหินห่างมโนภาพต่อการเปรียบเปรยคุณค่าของอาชีพข้างต้นว่า"แบบผลมะเดื่อเน่า" กันเสียที
…………………………………………………………………………………