บอกกับตัวเองว่า…นี่เป็นเพราะวัย “ได้" แล้วนะเนี่ย จึงต้องมาหาข้อมูลในการชะลอริ้วรอย…555+
และหาไปหามาก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เจอเข้ากับเรื่องราวนี้จนต้องเอามาเขียนบันทึกเล่าสู่กันฟัง
"ไม่อยากเจอตีนกาก็อย่ายิ้ม" น่าจะเป็นกฎเหล็กของสาวใหญ่คนนี้ "เทสส์ คริสเตียน"
แทบไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าด้วยการไม่ยิ้ม ไม่แสดงออกทางอารมณ์มาเป็นเวลาเกือบสี่สิบปีแล้ว...สี่สิบปี?? ใช่สี่สิบปี...ตั้งสี่สิบปี!! (อันนี้เดือนถามเอง ตอบเองเพื่อความแน่ใจ 555++)
เธอไม่ยิ้มแม้กระทั่งวันที่ลูกสาวของเธอลืมตาดูโลก โดยเธอบอกว่า..."ฉันรู้สึกดีใจที่ลูกสาวฉันเกิดมาแต่ฉันก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องยิ้ม"
และผลที่ได้รับนะเหรอ??? อายุล่วงเลยเข้าห้าสิบแล้ว เธอยังหน้าตึงเปรี๊ยะไม่มีริ้วรอยมากวนใจโดยที่เธอไม่ต้องพึ่งครีมบำรุงราคาแพงและการฉีดโบท็อกซ์เลยนะซี แค่ทำหน้าเฉยๆ แค่เนี๊ยะ (แค่เนี๊ยะ???)
แหม....ความอดทน ความตั้งใจจริง และการลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้ผลคุ้มค่าเสมอไม่ว่าเรื่องอะไร...เนอะ
แถม ดร.นิค โลเวอ คุณหมอด้านผิวหนังยังออกมาเห็นด้วยกับวิธีของเธอ ด้วยการยืนยันว่า การไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่แสดงอารมณ์บนใบหน้าสามารถต้านริ้วรอยบนผิวหนังได้จริง
แต่วิธีการถนอมผิวหน้าแบบนี้นักจิตวิทยาชาวลอนดอนไม่เห็นด้วยนะเออ "อมานด้า ฮิลลส์" ออกมาแย้งว่า "การยิ้มเป็นสิ่งที่ดี เพราะขณะที่เรายิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟิน หรือฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ฉะนั้นยิ่งยิ้มมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น"
"ไม่ยิ้มสิจะยิ่งแย่ ทำหน้าเป็นหุ่นยนต์ ไร้อารมณ์ สมองไม่มีทางรับสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสุขในตัวเราได้หรอก"
"และที่สำคัญ การยิ้มก็เป็นเสน่ห์ ทำให้ใครๆอยากเข้าหาเรา แต่ถ้าทำหน้าตาอมทุกข์ ผลจะออกมาตรงกันข้ามเลย เผลอๆจะนำความทุกข์มาสู่ตัวเราจริงเสียด้วยซ้ำ ต่อให้ตอนแรกกำลังมีความสุขดีอยู่แล้วก็เถอะ"
ฟังข้อมูลทั้งสองด้านนี้แล้ว ใครอยากหน้าเต่งตึงแต่ไร้อารมณ์ หรือสดใสมีเสน่ห์แต่มีริ้วรอยตามวัยก็ตามอัธยาศรัยเลยนะคะ ส่วนเดือนมีพื้นฐานนิสัยขี้เกียจอยู่แล้ว จะให้เก๊กตลอดเพื่อความตึงก็คงไม่ไหวล่ะค่าาาา ขอเป็นไปตามวัยแล้วกัน ^^
ขอขอบคุณและภาพประกอบจาก
ไม่มีความเห็น