เปรียบเทียบหลักราชการ พระราชนิพนธ์รัชการที่ ๖ และหลักสมรรถนะข้าราชการ ถ่ายทอดลงสู่หลักการปฏิบัติงาน
วิธีการปฏิบัติงานให้ได้มาตามสมรรถนะด้านต่างๆ
..........วิธีการปฏิบัติงานให้ได้มาตามสมรรถนะด้านต่างๆโดยใช้แผนภูมิโยงความสัมพันธ์ ซึ่งอาจเหมือนกันหรือแตกต่างกัน ตามความรู้ในแต่ละด้านที่ได้เรียนมา และแตกต่างกันตามวิธีคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนเทคนิดการแก้ไขปัญหา ความถนัด ทำให้การโยงในแผนภูมิ หรือการเลือกวิธีการปฏิบัติงาน การพัฒนาปรับปรุงคู่มือการปฏิบัติราชการและการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามแต่บุคคล ซึ่งต่างกันตามประสบการณ์ที่มี และตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ
รูปขยายแบบละเอียดคลิ้กที่นี่ ==>> เปรียบเทียบหลักราชการกับหลักสมรรถนะข้าราชการXPS.xps
. ......จากแผนภูมิโยงทำให้ทราบว่า สมรรถนะหลักข้าราชการ ที่ ก.พ. กำหนด ล้วนอาศัยวิธีการต่างๆที่กล่าวไว้ครอบคลุม ในหลักราชการ(พระราชนิพนธ์ ร.๖) หรือหลักการทำราชการ ทุกประการ หรือกล่าวง่ายๆก็คือ หากเราดำรงชีพโดยใช้หลักราชการแล้ว ก็เห็นว่าการประเมิน ผลงานและสมรรถนะนั้น ก็ไม่ใชเรื่องลำบากงานลำบากใจอย่างไรเลย เพราะหลักราชการนั้น กล่าวไว้ครอบคลุมทุกด้านของสมรรถนะที่ ก.พ.กำหนด ซึ่งการทำแผนภูมิโยงทำให้เราทราบว่า สมรรถนะที่ กพ. กำหนดนั้น เราจะใช้หลักการอะไร (ตามหลักราชการ)ในการทำให้สมรรถนะตัวนั้นสำเร็จ...เป็นการหาปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ Key Success Factor... KSF ให้เราทราบได้นั่นเองครับ
สรุปหลักราชการ (พระราชนิพนธ์ ร.๖)
สรุปหลักสมรรถนะข้าราชการ ตาม กพ.กำหนด
1. สมรรถนะหลัก (Core Competency: CC) หมายถึงทักษะ และคุณลักษณะที่ทุก คนในองค์กรจำเป็นต้องมี เป็นพื้นฐานที่จะนำองค์กรไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ ซึ่งสมรรถนะ หลักประกอบไปด้วย
2. สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ (Functional Competency: FC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะที่บุคลากรจำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายที่ วางไว้ สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ ประกอบไปด้วย
3. สมรรถนะด้านการบริหาร (Management Competency: MC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะด้านการบริหารจัดการที่จำเป็นสำหรับพนักงานที่มีหน้าที่ในระดับ จัดการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายวางไว้ ซึ่งสมรรถนะด้านการบริหาร ประกอบไปด้วย
4. ความรู้ตามสายงาน (Job Competency: JC) หมายถึง ความรู้เฉพาะสายงานที่ จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ให้บรรลุเป้าหมายวางไว้ ซึ่งความรู้ตามสายงาน ประกอบไปด้วย
..... อ่านต่อได้ที่:
https://www.gotoknow.org/dashboard/home#/posts/582728
........สรุปว่าการที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุเกณฑ์ตามสมรรถนะที่กำหนด ของแต่ละคน แต่ละปสก ที่รับมาล้วนใช้วิธีปฏิบัติหลักๆที่เหมือนกัน แต่อาจแตกต่างในการนำวิธีการ หรือ ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ Key Success Factor.... KSF มาใช้ปรับปรุงการทำงานต่างกัน เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้และวิธีคิด ตลอดจนศิลปการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน อาจเด่นด้านที่ไม่เหมือนกัน ถนัดในเรื่องไม่เหมือนกัน แต่สมรรถนะหลักๆจะเหมือนกัน
...... ซึ่งก็คงต้องเรียนรู้ ....ทดลอง...ทำ.....จนเกิดวิธีปฏิบัติงานที่ดี .....แล้วทุกท่านจะหาเทคนิคหรือวิธีการด้วยตนเอง ที่จะทำให้บรรลุผลต่างกัน ทั้งนี้การนำหลักราชการ... มาปฏิบัติล้วนทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสมรรถนะที่ กพ. กำหนดได้แน่นอนครับ ถ้าแต่ละท่านลองทำเชื่อมโยงดูแล้ว น่าจะเห็นภาพแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจให้ทำงานไม่มากก็น้อย เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่า KSF ในแต่ละสมรรถนะ... จะได้มาง่ายหรือต้องใช้เวลา.... แบบนี้ทำให้เกิดความท้าทายในการพัฒนาสมรรถนะของตนเองกันด้วยครับ.....
..... อ่านเรื่องสมรรถนะ Competency และ Functioning Competency ต่อได้ที่:
https://www.gotoknow.org/dashboard/home#/posts/582728
..............................................................................................................
ที่มา : หมอโรจน์
หลักราชการ
พระนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2457 หนทางไปสู่ความสำเร็จประกอบด้วย คุณวิเศษ 10 ประการ
1. ความสามารถ เป็นสิ่งที่ต้องการสำหรับคนที่จะใช้เป็นผู้บังคับบัญชาคน ไม่ว่าในหน้าที่ฝ่ายทหารหรือพลเรือน และเมื่อผู้ใหญ่เขาจะเลือกหาผู้บังคับบัญชาคน เขาย่อมจะเพ่งเล็ง ดูความสามมารถมากกว่าภูมิวิชา (ถ้าเขาคิดถูก)
2. ความเพียร คำว่า " เพียร " แปลว่า " กล้าหาญไม่ย่อท้อต่อความยากและบากบั่น เพื่อจะข้ามความขัดข้องให้จงได้ โดยใช้ความอุตสาหะวิริยะภาพ มิให้ลดหย่อน " ผู้ที่ตีราคาว่าเป็นคนมีวิชามักจะลืมคำนึงข้อนี้ จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดผู้มีวิชาน้อยกว่าตน จึงกลับได้ดีมากกว่า
3. ความไหวพริบ แปลว่า " รู้จักสังเกตเห็นโดยไม่ต้องมีใครเตือนว่า เมื่อมีเหตุนั้นๆ จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นๆ เพื่อให้บังเกิดผลดีที่สุดแก่กิจการทั่วไป และรีบทำการอันเห็นควรนั้นโดยฉับพลันทันท่วงที "
4. ความรู้เท่าถึงการ แปลว่า " รู้จักปฏิบัติการให้เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง "
5. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือ " ตั้งใจกระทำกิจการซึ่งได้รับมอบให้เป็นของตนนั้นโดยซื่อสัตย์สุจริต ใช้ความอุตสาหะวิริยะภาพเต็มสติกำลังของตน ด้วยความมุ่งหมายให้กิจการนั้นๆ บรรลุซึ่งความสำเร็จโดยอาการอันงดงามที่สุดที่จะพึงมีหนทางจักไปได้ "
6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป หนทางที่ดีที่สุดจะดำเนินไปเพื่อให้เป็นที่นิยมแห่งคนทั้งหลายมีอยู่ ต่อความประพฤติซื่อตรงทั่วไป รักษาตนให้เป็นคนควรที่เขาทั้งหลายจะเชื่อถือได้ โดยรักษาวาจาสัตย์ พูดอะไรเป็นนั่นไม่เหียนหันเปลี่ยนแปรคำพูดไป เพื่อความสะดวกครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่คิดเอาเปรียบใครโดยอาการอันเขาแข็งไม่ได้ ไม่ยกตนข่มท่าน หาดีใส่ตัว หาชั่วใส่เขา เมื่อผู้ใดมีไมตรีต่อก็จอบแทนด้วยไมตรีโดยสม่ำเสมอ
7. ความรู้จักนิสัยคน ถ้าเป็นผู้น้อยเป็นหน้าที่จะต้องศึกษาและสังเกตให้รู้นิสัยของผู้ใหญ่ ต้องรู้ว่าความคิดเห็นเป็นอย่างไร ชอบการทำงานอย่างไร ชอบหรือชังอะไร เมื่อทราบแล้วก็อาจที่จะวางความประพฤติและทางการทำงานของตนเองให้ต้องตามอัธยาศัยของผู้ใหญ่นั่นได้ ที่แนะนำเช่นนี้ไม่ใช่แปลว่าให้ สอพลอ เป็นแต่ให้ผ่อนผันให้เป็นการสะดวกที่สุดแก่การเท่านั้น................... .......ถ้าตนเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาคนมากๆ การรู้จักนิสัยก็ยิ่งมีความจำเป็นยิ่งขึ้น เพราะเราไม่ใช่ฝูงแกะ ซึ่งจะต้องไม่ได้โดยวิธีร้อง " ยอ " หรือเอาไม้ไล่ตี
8. ความรู้จักผ่อนผัน คนโดยมากมีหน้าที่บังคับบัญชา ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนมักเข้าใจคำว่า " ผ่อนผัน " นี้ผิดกันอยู่เป็นสองจำพวกคือ จำพวก ๑ เห็นว่า การผ่อนผันเป็นสิ่งทำเสียระเบียบทางการไป จึงไม่ยอมผ่อนผันเลยและแผลงคำว่า " ผ่อนผัน " ว่า " เหลวไหล " เสียทีเดียว อีกจำพวก ๑ เห็นว่าประการใดๆ ทั้งปวง ควรจะคิดถึงความสะดวกแก่ตัวเองและบุคคลในบังคับบัญชาของตนเป็นที่ ๒ จึงยอมผ่อนผันไปเสียทุกอย่าง จนเสียทั้งวินัยและแบบแผนและหลักการทีเดียว ก็มีทั้ง ๒ จำพวกนี้เข้าใจผิดทั้ง ๒ พวก
9. ความมีหลักฐาน
1.มีบ้านเป็นสำนักมั่นคง คือ ไม่ใช่เที่ยวเกระเกเส ไม่แอบนอนซุกๆ ซ่อนๆ หรือเปลี่ยนย้ายจากที่โน่นไปที่นี่ เป็นหลักลอย
2.มีครอบครัวอันมั่นคง คือ มีภรรยาเป็นเนื้อเป็นตัว ซึ่งจะออกหน้าออกตาไปวัดไปวาได้ ไม่ใช่หาหญิงแพศยามาเลี้ยงไว้สำหรับความพอใจชั่วคราว
3.ตั้งตนไว้ในที่ชอบ คือ ไม่ประพฤติเป็นคนสำมะเลเทเมา สูบฝิ่นกินเหล้าหรือเป็นนักเลงเล่นเลี้ยงและเล่นผู้หญิง ซึ่งล้วนแต่เป็นอบายมุข
10. ความจงรักภักดี แปลว่า " ความสละตน เพื่อประโยชน์แห่งท่าน " คิดถึงแม้ว่าตนตนจะได้รับความเดือดร้อน ความรำคาญ ตกระกำลำบาก หรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่รักก็ย่อมได้ทั้งสิ้น เพื่อมุ่งประโยชน์แท้จริงให้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/329611 ข้อความ ร.6 จากเวบเพจหมอโรจน์ ของคุณครับ
.........................................................................................................................................................
ไม่มีความเห็น