วันขี้เกียจ


วันขี้เกียจ

วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม 2557

วันลืมตาตื่นขึ้นมา ก็แพ้ละ ไม่อยากลุก ต่อรองตั้งแต่ตีสาม นอนต่อยาวจนหกโมงช้า ลุกจากที่นอนเกือบจะแปดโมง

อาบน้ำมาทำงาน มันไม่ทำอะไรเลย การไม่ทำก็สมน้ำหน้าที่จิตมัว ๆ หมอง ๆ แล้ววันนี้ก็ไม่สู้ไม่ฝืน

พอครูย้ำเรื่องที่ ทิ้งค้างคาเรื่องส่งของ ก็เหมือน ใจถูกบีบคั้น โจทย์นี้ไม่ใช่พึ่งเจอ ก็โจทย์เก่าที่ไม่ผ่าน

แต่ก็ย้ำกับตนเองว่าถ้าเป็นแบบนี้แกก็ควรจะถอยได้แล้วนะ

อย่าอยู่สร้างปัญหาอีกเลย

เมื่อความท้อโถมเข้ามา เหมือนอะไร ๆ ก็พัง ย้ำกับตนเองว่า ความผิด ความไม่ดี ก็ตนเองทำ จะมาให้กิเลสโจมตีทำไม เอาแต่ความรู้สึก "ไม่ชอบ" ในความไม่ชอบ มันก็ตัวกู กิเลสก็ตัวกู

วันนี้ข้างในไม่ฟื้น ไม่ฝืนไม่สู้ มันปล่อยไหลลง

หลวงพี่ก็เมตตาช่วย แต่ข้างในเหมือนออกอาการเกินเยียวยา ค่ะ

ณ จุดนี้ สารภาพว่า อะไรจะเกิดก็คงห้ามไม่ได้

ก็ที่พลาดก็เพราะไม่รักษาเอง ก็ได้แต่ สมน้ำหน้าตนเองแล้วก็บอกว่า "สมควร"

ศีลทุกข้อขาดร่วง กับวันไร้สติ

คำสำคัญ (Tags): #aar#ภาวนา
หมายเลขบันทึก: 583065เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2014 00:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 ธันวาคม 2014 00:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

I used to reflect on yesterdays. I used to have high expectations for my life. I has often judged my work, my speech, my way of doing things as 'failed', 'not passed' and 'non good enough'. I used to carry 'dukkha' with me all the time -- everywhere I went.

All things rise from some conditions and fall away when the conditions change or cannot be clung on. A life is just a stream of events --bad and good, ugly and beatiful, hot and cold, ...

Today, I watch the Sun rises again. How beautiful is the reddish sky, colourful flowers, dews sparkling in the morning sunlight, cold and moist gentle breezes, birds chirping, ,,,

The world is like this when we just open our senses and observe.

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท