เมื่อเช้าครูเมตตาโทรมา ถามเรื่อง "คิดว่าตนเองสอนยากไหม"
ตอบท่านตามจริงว่า "สุด ๆเจ้าค่ะ"
เมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่า ตนเองจะสอนยากสอนเย็นอะไรขนาดนี้ บอกตรง
ติดนิสัย กูเก่งมาแต่ไหนแต่ไร
แต่พอจะลงมือทำจริง ๆ กับ กร่อย ไม่ได้เรื่อง ซะทุกที
ครูบอกว่า "ท่านถามตนเองว่า ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกับติ๋ว"
คำตอบที่ตอบครูเมื่อเช้าแบบใจสว่างวาบว่า
"ทุกครั้งที่ครู ลงไม้ลงมือ หรือ เอ็ดตะโล"
ใจหนูตอนนั้นมันจะหนัก ๆ แน่น ๆ โกรธ ๆ เครียด ๆเพ้อ ๆ เหม่อ หลง ๆต่างกรรมต่างวาระ"
ทุกครั้งที่ครูลงมือ จิตหนูจะหลุดจากสภาพ เน่า ๆ แน่น ๆ โกรธ เหมือนใจหลุดจากการจองจำของกิเลสก็ว่าได้ค่ะ
อย่างครั้งแรกที่สังเกตเห็นกับตนเอง
คือเกือบจะสี่ปีมาแล้วค่ะตอนนั้นขับรถกลับจากพาครูไปทำธุระจากอุบล
ทั้งขาไปและกลับเป็นความรู้สึกเครียด ๆ กังวล ๆ กลัว
แต่พอกลับเข้าวัดมา หนูพูดจาไม่รู้เรื่อง ถามอะไรตอบมั่ว ๆ ครูฟาดฝ่ามือมาโดนหน้า พลั๊วะ เท่านั้นแหละ
"จิตข้างในสว่างวาบ เกิดปีติน้ำตาคลอ"
จนเป็นสภาวะปีติแบบนั้นค้างอยู่อย่างนั้น 2 วัน จนพี่ที่มาภาวนาด้วยกันทักว่า หน้าเปลี่ยนดูสว่างขึ้น
รู้กับตนเองแล้วยิ้มว่า "ได้ของดี โดนฝ่ามืออรหันต์เข้าให้ จนจิตหลุดจากสภาวะครอบงำของกิเลสไปชั่วขณะ"
แต่เพราะที่ผ่านมาหนูยังมีกิเลส และไม่ค่อยเพียร
เมื่อไหร่ที่กิเลสครอบงำ แล้วหนูไม่สู้ แต่มันยังหน้ามึนไปหาครู
ท่านก็จัดการซะแบบไร้รูปแบบ
ถ้ามองด้วยตาของคนแบบโลก ๆ ก็จะว่า ครูทำร้ายหนู
แต่น้อยคนที่จะมีตาปัญญามองเห็นเข้าไปในจิตว่า
"พอครูลงมือลงไม้ แล้ว จิตข้างในหนูสว่างขึ้น พ้นจากการครอบงำ หรือตกเป็นทาสของกิเลส พอจะมีสติปัญญามาบำเพ็ญเพียรต่อไปได้"
หนูเป็นลูกศิษย์ที่ จิตใจพัฒนาขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะวิธีแบบนี้ของครู
ท่านจะตีกิเลสในใจหนูขึ้นมา แล้วหาวิธีให้หนูได้เห็นมันชัด ๆ แล้วเรียนรู้ทำความเข้าใจ
ถ้าเห็นด้วยสติ ใจที่มีสมาธิ กิเลสในใจจะเหี่ยวแฟ๊บลงทันทีค่ะ แล้วท่านก็ใช้ได้ผลทุก ๆ ครั้งกับหนู
แต่หนูก็รู้อีกว่า ครูใช้กำลังภายในเยอะ แทบหมดแรงทุกครั้งที่ท่านทุ่มพลังช่วยหนู
เป็นความละเอียดที่ลงลึกไปถึงข้างในจิต ที่ผู้ไม่รู้ อาจจะพลาดพลั้งปรามาสครูได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงมากของการมาปรามาสครู เพราะใจท่านบริสุทธิ์มาก ๆ เจตนาต่อลูกศิษย์ หรือ ผู้คนท่านไม่มีเจตนาร้ายเลย มีแต่ช่วยเหลืออย่างไร้ข้อแม้
ท่านถามให้หนูทบทวน
"แล้วทำไมครั้งที่ครูลงมือกับน้องอีกคนที่เคยได้รับการฝึกมาคู่กัน ผู้คนถึงว่าร้ายครู"
หนูคิดย้อนจากตนเองว่า
"เพราะน้องไม่ได้เห็นใจของตนเองที่เปลี่ยนแปลงข้างใน ว่าหลุด หรือ คลายจากสภาวะครอบงำ เพราะมัวแต่โกรธ หรือ กิเลสในใจน้องเองเล่นงาน สิ่งที่ส่งมาจากใจน้องจึงเป็นกิเลสซ้ำว่า ถูกทำร้าย ซึ่งหนูก็เคยเป็น"
ก็เลยเป็นการสร้างบ่วงกรรมต่อไป ของเขาและผู้คนที่มาปรามาสครู
กรรมของการปรามาสผู้มีใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนั้นรุนแรงและให้ผลรวดเร็วมาก ในความเขลาของหนูเองก็ได้รับผลมาแล้ว บางเหตุปัจจัยก็ยังเสวยวิบากอยู่ ยังดีที่ครูเมตตาจับมือไว้สม่ำเสมอ จะว่าไปครูไม่เคยปล่อยมือใครเลยต่างหาก มีแต่คนอื่นเท่านั้นแหละที่ปล่อยมือจากครู ครูยังเมตตาผู้คนโดยการทำให้ดู ฝึกให้เป็น ผู้แพ้ แพ้แบบโลก ๆ แต่ชนะโดยธรรม ชนะกิเลสในตนเอง และที่สำคัญหนูได้ทั้งหลวงพี่ รวมถึงหลวงปู่ คอยย้ำเตือนสอนสั่งทั้งทางตรงและทางอ้อม ชี้ทางว่า สิ่งที่ครูปฏิบัติต่อหนูประเสริฐที่สุดแล้วของผู้เป็นครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อลูกศิษย์
ในประวัติครูบาอาจารย์ไปอ่านโลด องค์ไหนองค์นั้น ยิ่งองค์ที่จิตดื้อด้าน หรือ ติดสภาวะ ท่านไล่ลงเขามาแล้วก็มี
บางองค์แบบถึงใจ เพราะไปส่งการบ้านครูบาอาจารย์ว่า
"ตอนนี้ใจไม่มีความโกรธแล้ว"
ครูบาอาจารย์ไม่รอช้า เอ่ยสอบอารมณ์มาทันที "อีสัตว์นรก"
ผู้ที่กราบเรียนครูบาอาจารย์ว่า ไม่มีความโกรธ โมโหหน้าดำหน้า แดง สะบัดหน้า ชึ้บ แล้วบอกว่า
"หลวงพ่อเป็นพระไม่มีคุณธรรม" ครูบาอาจารย์แท้ ๆ ท่านงามอย่างนี้ ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในใจลูกศิษย์ลูกหา เพื่อได้ขัดได้เกลา ได้แก้ได้ไข บางเคส ท่านไล่หนีจากวัดก็มี ตามแต่กุศโลบาย แล้วพอท่านเหล่านั้นผ่านสภาวะนั้น ๆ ได้ ก็กลับมากราบขอขมาและเจริญในธรรมกันทุกองค์ ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านท่านก็เคยมีบันทึกไว้ ว่าก็ไปรับกรรมตามเหตุปัจจัย
นำประเด็นที่ครูเมตตาจุดประกายมาใคร่ครวญต่อกับตนเอง
ครูทำให้เห็น เรื่อง "การเป็นผู้แพ้"
บอกให้เป็น ให้ฝึกให้หัด เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม คำสอน พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
บ่ลืนครู เชื่อครู ปฏิบัติข้อวัตร
ทางรอดของหนูมีแค่นี้ ถ้าปฏิบัติได้ยังไงก็รอด
ครูเป็นให้ดูด้วยการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ความสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ครูชี้ให้หนูได้ทำ ท่านได้ทำมาหมดแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว จนไร้ข้อกังขา ท่านจึงนำมาสอนให้ลูกศิษย์ได้ฝึกฝนเพื่อความก้าวหน้าและเจริญต่อไป
สาธุ กราบขอบพระคุณค่ะ
ไม่มีความเห็น