การใช้แพทย์วิถีธรรม ดูแลอาการหอบ


แบ่งปันประสบการณ์ ดูแลอาการหอบด้วยแพทย์วิถีธรรม

การใช้แพทย์วิถีธรรม ดูแลอาการหอบ

เทคนิคหลักที่ใช้ การหายใจแบบกปาลภาติแบบแพทย์วิถีธรรม
ใช้ธรรมะ อาบ(น้ำ) ดีท๊อกซ์ กดจุด

การปรับสมดุลร้อนเย็น

วันที่ ๒๕ กันยายน ประมาณสามทุ่ม จู่ๆเริ่มมีอาการหายใจติดขัดมีเสียงคล้ายแมว ก็ใจเย็นคิดว่าอีกเดี๋ยวก็นอนแล้ว ในอดีตอาการประมาณนี้ถ้าได้นอนพักเลย ตื่นมาก็หาย แต่ผ่านไปสักชั่วโมงก็ยังไม่นอน(ติดเฟสบุ๊ค) เริ่มรู้สึกร้อนบริเวณศีรษะ ก็เลยจะล้างหน้าล้างตา แล้วเข้านอน พอลุกขึ้นเดินไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเหนื่อยหอบ เหลือบไปมองกระจกเห็นตาทั้งสองข้างแดง ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า “งานเข้า ฉันประมาทอีกแล้ว” ตั้งสติทบทวนว่าจะทำอะไรบ้าง หยิบมือถือเดินเข้าห้องน้ำ กว่าจะถึงห้องน้ำก็เหนื่อยแทบขาดใจ เปิด MP3 ธรรมะจากมือถือ แล้วเอาน้ำราดตัว ราดศีรษะทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ ตั้งสติหายใจรู้ว่าควรหายใจออกมากกว่าเข้า แต่ก็ทำหายใจแบบกปาลภาติแบบแพทย์วิถีธรรมไม่ไหว จึงทำเพียง พยายามยืดเวลาหายใจออกให้ยาวขึ้นโดยหายใจออกทางปากช้าๆ เท่าทีทำได้ ช่วงนั้นร่างกายเหมือนอยากหายใจเข้าอย่างเดียว แต่ก็รู้ว่าถ้าทำตามที่ร่างกายต้องการคือเร่งการหายใจเข้า สุดท้ายมันจะเหนื่อยกว่าเดิม พอเริ่มหอบน้อยลง ก็ทำดีทอกซ์ด้วยน้ำประปา แค่น้ำเข้าไปในร่างกาย ทุกรูขุมขนในร่างกายก็เกร็ง ขนลุก เส้นผมพยายามตั้ง จริงๆ ตั้งแต่ราดน้ำก็เริ่มรู้สึกว่ามือ เท้าเริ่มเย็น แต่มันก็บรรเทาความร้อนบริเวณลำตัวได้อยู่ น่าจะเป็นร้อนเย็นพันกัน เหมือนทุกครั้งที่เอ้อระเหยไม่รีบปรับสมดุลตอนเริ่มหายใจติดขัด ปล่อยให้ร่างกายทำงานปรับสมดุลอย่างหนัก เกิดมีความร้อนแทรกจนเป็นร้อนเย็นพันกัน ถึงแม้จะรู้ว่าควรใส่น้ำอุ่นในน้ำดีทอกซ์ แต่ถ้าเดินไปเปิดสวิตซ์เครื่องทำน้ำอุ่น หรือไปต้มน้ำ ต้องทรมานจากการหอบแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจทำดีทอกซ์ด้วยน้ำธรรมดา มีลมออกมากกว่าปกติ อาการหอบยังคงเหลืออยู่มากแต่ลดความลึกลงคือไม่ถึงลิ้นปี่ เลยตัดสินใจทำดีทอกซ์ครั้งที่สอง แค่ใส่น้ำเข้าไปมือเท้าเย็นมาก ทำไงดี คิดได้ว่ามือเราตอนนี้เย็นกว่าน้ำธรรมดา จึงเอามือแช่น้ำในขัน เพื่อแลกเปลี่ยนอุณหภูมิ ส่วนเท้าก็เอามาถูกันเพื่อให้เกิดความร้อน แล้วก็เตือนสติตนเองให้ใส่ใจกับการหายใจออกช้าๆ ทางปาก
ดีทอกซ์ครั้งที่สองก็ผ่านไปด้วยดี ยังมีลมออกอีก และรับรู้ว่ามีความร้อนออกจากลำตัวมากขึ้น เอาน้ำราดตัว ตัดสินใจขอลองดีทอกซ์อีกครั้ง ครั้งที่สามรู้สึกว่าทำก็เหมือนไม่ทำ อาการมือเท้าเย็น ขนลุก ไม่มี ลมออกไม่มี อาการหอบที่เป็นอยู่ก็ยังทรง เลยหยุด 

เดินกลับไปห้องนอนอาการเหนื่อยหอบแทบขาดใจก็กลับมา ยิ่งพอล้มตัวลงนอน อาการเหมือนปลาขาดน้ำ กระเด้งตัวเองขึ้นแทบไม่ทัน (การนอนทำให้การหายใจลำบากขึ้น) ตั้งสติอีกครั้งทำอะไรดี ก่อนอื่นหายใจ หายใจออกทางปากช้าๆ อย่ากลัวว่าจะหายใจไม่ทันแล้วเร่งหายใจเข้า เพราะสุดท้ายมันจะเหนื่อยขึ้น ทำใจว่าคงต้องนั่งหลับ ถ้าใจเราไม่ดิ้นรนอยากนอน เดี๋ยวสักครู่อาการหอบจะลง แล้วพอจะหลับได้อยู่ ฟังธรรมะไปเพราะช่วงเวลาก่อนจะหลับจะได้ไม่ฟุ้งซ่านเปลืองพลังงานที่ควรใช้ในการรักษาตัวไปกับความกังวลต่างๆ หลับได้สักครึ่งชั่วโมง ประมาณห้าทุ่มตื่นมาเพราะปวดปัสสาวะ ปัสสาวะใส ปริมาณมาก การเปลี่ยนอิริยาบถ กระเพื่อมให้อาการหอบกลับมาอีก ใจก็เริ่มคิดแล้วว่า คืนนี้ทั้งคืนแน่ แล้วก็ใช่ ทุกหนึ่งชั่วโมงได้ตื่นมาปัสสาวะ หอบ ตั้งสติกับการหายใจออกช้าๆ ทางปาก ฟังธรรม ตั้งสติเตือนตนไม่ฟุ้งซ่าน กดจุดบริเวณกลางอกถึงลำคอ พบว่ามีลมออกมา แล้วก็กดจุดหลิงต้าว (หัวใจ) จุดเน่ยกวาน(เยื่อหุ้มหัวใจ) จุดปอดฉื่อเจ๋อ และจงฝู่ จุดเหล่านี้ไม่รู้สึกถึงปฎิกิริยาใดๆ แต่รู้สึกสบายใจว่าได้ทำอะไรให้ปอดกับหัวใจ ซึ่งช่วงนี้ทำงานหนัก แล้วก็พยายามนั่งหลับในท่าต่างๆ ได้ลองเอนกายนอนอีกครั้ง พบว่าอย่าเสี่ยงเลยเสียเวลานอนต้องมาเริ่มตั้งสติหายใจใหม่ ได้ลองชงน้ำขิงซองทานด้วยตอนราวๆเที่ยงคืน เหมือนมันช่วยให้อาการหอบทุเลาเร็วขึ้น แต่กว่าจะได้มาซึ่งน้ำขิง เหนื่อยมากไม่คุ้ม นั่งตั้งสติหายใจคุ้มกว่า ใช้เวลาในการคลายอาการหอบแล้วกลับไปนั่งหลับแต่ละครั้งประมาณ 5-10 นาที แล้วก็หลับสนิท (ประโยชน์ของการเป็นหอบแต่เด็ก ทำให้มีความสามารถในการหลับได้ทุกสถานการณ์) จริงๆคิดถึงการหยอดหู ตาจมูกเหมือนกัน ซึ่งเคยทำให้อาการภูมิแพ้จมูกเบาลง แต่อะไรสักอย่างบอกว่ายังไม่ควรทำตอนทีอาการมันเกินภูมิแพ้มาแล้วเลยไม่ได้ทำ พอตีสอง ระหว่างพยายามหลับ เสียงพ่อครูที่สอนเรื่องความรักสิบมิติ ก็ลอยเข้าหู ประมาณว่าส่วนใหญ่คนจะให้ความรักกับลูกมากกว่าให้กับพ่อแม่ดูอย่างสังคมตะวันตกสิ พอลูกโตก็แยกย้ายกันไป มีข่าวที่ฝรั่งนอนตายในบ้าน แล้วสองสามวันถึงจะมีคนรู้ จิตตื่นเลย ไม่พยายามนอนแล้ว เสียงพ่อครูก็สอนต่อไป แต่จิตตนเองเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ข้อสรุปซึ่งเป็นความเชื่อส่วนตัวอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ

  • 1.ความเชื่อเรื่องวิบากกรรม เราอยู่ในกำมือของวิบากกรรม ยังไงเราต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน
  • 2.แม้เราจะห้ามวิบากกรรมที่จัดสรรมาให้เราไม่ได้ แต่กรรมปัจจุบัน (การกระทำ) มันอยู่ในกำมือเรา

1. วิบากกรรม เราอยู่ในกำมือของวิบากกรรม ยังไงเราต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน เมื่อเราเก่งขึ้น วิบากกรรมก็จะจัดสรรโจทย์ที่ยากขึ้นให้เหมาะสมกับความเก่งของเรา สุดท้ายเราคงต้องรับรู้ว่ามีผลของกรรมเกิดขึ้นกับเรา กล่าวคือ

ผู้เขียนเริ่มกลับมามีอาการหอบ ตั้งแต่ธันวาคมปี 2556 (ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับแก๊สน้ำตาหรือไม่) หลังจากไม่มีอาการหอบมาเป็นเวลา 20 ปี ครั้งแรกทำดีทอกซ์รอบเดียวเอาอยู่ ต่อมาก็เป็นสองรอบ และใช้เวลาพักสักคืนก็หาย พอทบทวนเหตุการณ์ก็รู้ว่าถ้ารีบทำดีทอกซ์ก่อนหอบ ซึ่งมีอาการหายใจคล้ายเสียงแมว แล้วเริ่มจามติดต่อกัน ก็ดีทอกซ์สักสองรอบ ไม่ต้องพักก็หาย หรือถ้าเริ่มมีอาการเสลดพันคอปรับสมดุลด้วยการโยคะ หรืออื่นๆ ก็จะหยุดวงจรของหอบได้ เราได้สะสมความรู้ของอาการหอบตัวเองมาตั้งมาก วิบากกรรมเขาก็ต้องหากลยุทธ์มาทำให้เรารู้สึก ครั้งนี้แทนที่อาการจะเป็นขั้นตอนจากหายใจคล้ายเสียงแมว เป็นจามติดต่อกัน (ถ้ามาแบบนี้ผู้เขียนคงรีบจัดการดีทอกซ์ทันที) คราวนี้ผ่านจมูกไปที่ตา ซึ่งไม่บอกอาการใดจนขึ้นไปที่หัวถึงจะรู้สึกว่ามันร้อน จริงๆ วิบากกรรมเขาก็ใช้สูตรเดิมที่เคยใช้กับเรานะ เมื่อก่อนเป็นภูมิแพ้จมูก น้ำมูกใสๆ ไหลให้รำคาญเล่น พอรู้จักยาลดน้ำมูกที่กินแล้วไม่ง่วง ได้ทานสักเม็ด สองเม็ด ภูมิแพ้จมูกก็หายไป เปลี่ยนเป็นภูมิแพ้ขึ้นตา ทำให้ตาแดง เป็นมากเข้าก็ระคายเคืองตาให้รำคาญเล่น ก็วิบากกรรมเขาคงอยากให้มีอะไรสักอย่างมาทำให้เรารู้สึกรำคาญ พอเรารู้วิธีแก้ก็เปลี่ยนวิธีทำให้รำคาญ

อีกเรื่องประสบการณ์จาก 10 วันที่เดินไม่ได้เมื่อสิงหาคม 2556 สอนผู้เขียนว่าช่วงเวลาป่วยสติจะอ่อนกว่าปกติ จะฟุ้งซ่านได้ง่าย ซึ่งมันเปลืองพลังงานอย่างมากแทนที่จะนำพลังงานส่วนนี้ไปใช้ในการรักษาตัว การฟังธรรมจะช่วยให้เราลดความฟุ้งซ่านได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งช่วยยืนยันความเชื่อนี้ของผู้เขียน ผู้เขียนมีอาการที่ตื่นมาปัสสาวะใส ปริมาณมากทุกชั่วโมงเหมือนตั้งนาฬิกาปลุก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเกิดเดือนเมษายน 2556 เหตุเกิดประมาณสามทุ่มเหมือนกันพอประมาณตีสองก็หมดแรง ขยับตัวลำบาก เป็นการนอนสมาธิที่มีทั้งความคิดฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็เห็นนิมิตเป็นแสง เป็นสี สลับกับการตื่นมาปัสสาวะ ครั้งนี้ไม่ได้นอนหลับ เป็นนั่งหลับแทน และตั้งสติไม่ฟุ้งซ่านให้ยาว กลับพบว่ามีพลัง ไม่อ่อนเพลีย

กลับมาเรื่องวิบากกรรมอีกครั้ง ตอนได้ยินพ่อครูพูดว่ามีฝรั่งตายในบ้าน แล้วสองสามวันถึงจะมีคนรู้ ตอนนั้นจู่ๆมันรู้สึกอยากยิ้ม มันเหมือนยินดีที่คิดอะไรออก ที่คิดออกก็เรื่องวิบากกรรมนี่แหละว่ายังไงเราต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน อุตส่าห์รู้ว่าฟังธรรมจะช่วยลดความฟุ้งซ่านของตนเอง ประหยัดพลังงานได้ ธรรมะที่ได้ยินชัดเจนกลับเป็นเรื่องชวนให้คิดต่ออย่างมาก มันเลยขำๆนะ แต่ก็มีคิดต่อบ้างเหมือนกัน เพราะตอนนั้นอยู่บ้านคนเดียว อีกสองวันน้องชายถึงกลับมา ลงมานั่งชั้นล่างบริเวณที่นั่งก็คือที่ที่เคยวางพักศพของแม่ก่อนเคลื่อนย้ายไปวัด เตียงที่เรานั่งฟุบอยู่ก็คือเตียงที่พ่อนอนประจำก่อนจากไป แต่ก็หยุดคิดต่อมันเหมือนภูมิใจว่าฉันฉลาดนะฉันรู้ทันเธอวิบากกรรมเธอกำลังจะหลอกให้ฉันคิดใช่ไหม ประมาณนั้น

2. แม้เราจะห้ามวิบากกรรมที่จัดสรรมาให้เราไม่ได้ แต่กรรมปัจจุบัน (การกระทำ) มันอยู่ในกำมือเรา ตอนเอนตัวลงนอนแล้วรู้สึกหายใจไม่ทันต้องกระเด้งตัวขึ้นทันทีนั้น ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่มีอาการหอบตอนนั้นรู้สึกต้องการอากาศหายใจมาก กลัวตาย ก็เลยเร่งการหายใจเข้าให้เร็วขึ้น มันก็ยิ่งเหนื่อย แล้วก็รู้สึกอยากล้มตัวลงนอน พอเอนตัวลงนอนมันก็กระตุ้นให้อาการหอบมันกลับมา สุดท้ายพ่อแม่ต้องพาส่งโพลีคลินิกแถวบ้าน เพื่อให้ออกซิเจนแบบฉุกเฉินอยู่หลายครั้ง ไปถึงโพลีคลินิก เขาก็พ่นยา หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อขยายหลอดลม บางครั้งก็ใส่สายออกซิเจนให้ ให้น้ำเกลือ แล้วก็ทำเตียงเอียงๆเกือบจะเป็นเก้าอี้ให้ เท่าที่จำได้หลายครั้งไปถึงโพลีคลินิก ระหว่างรอพยาบาลทำโน่นนี่ อาการหอบเราก็เบาลงแบบสามารถนอนหลับได้แล้ว วิเคราะห์ว่าเราไม่กังวลว่าจะหายใจไม่ทัน แล้วก็ไม่เร่งที่จะได้นอนเพราะรู้ว่าต้องรอหมอประมาณนั้น ส่วนใหญ่ตอนเช้าตื่นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ต้องอยู่รอจนน้ำเกลือหมดถึงได้กลับบ้าน ครั้งนี้อยู่บ้านคนเดียว เดินแค่สามก้าวก็เหนื่อยแทบขาดใจ แต่นั่งสักพัก ไม่เร่งการหายใจ ตั้งสติหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ มันก็พอไหวอยู่ ลองพึ่งตนเองดีไหม เราไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้หรืออื่นๆเกิดขึ้นกับเราอีกกี่ครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องการสอนอะไรเราบางอย่างแน่ๆ โอกาสที่น้องชายไปต่างจังหวัด และเราอยู่บ้านมีน้อยมาก นี่แค่คืนแรกที่น้องชายไม่อยู่บ้านก็เกิดเหตุการณ์ ตอนนี้วิชาพึ่งตนเองก็พอมีอยู่ กำลังก็มี ลองเถอะ คนเราถ้ามันถึงที่ตายยังไงมันก็ตาย สถานการณ์ตอนนี้เราคุมสติได้ดีพอสมควร มีธรรมะกรอกหู ถ้าจะตายเพราะหัวใจล้มเหลว (ชีพจรเต้นเกินร้อยมาหลายชั่วโมงแล้ว) เราก็น่าจะไปอย่างมีสติได้ คือเหนื่อยแล้วหมดแรงไปเหมือนการจากไปของแม่ แต่ถ้าเราดิ้นรน ขับรถไปหาหมอ หรือเรียกรถพยาบาลมารับ เราออกจะเหนื่อยตาย ตอนเดินไปเปิดประตูก็ได้ ลองพึ่งตนเองให้ถึงที่สุดน่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเรามากกว่า สู้เถอะ

ตอนเช้าก็ยังมีอาการหอบอยู่ คิดว่าควรรีบหาข้าวทานเพื่อเพิ่มพลังให้ร่างกายให้การรักษาตนเอง กว่าจะกดปุ่มหมอหุงข้าวได้ ก็เหนื่อยมาก เดินประมาณ 3 ก้าวก็เหนื่อยสุดๆ ก็ตั้งสติหายใจออกช้าๆทางปาก อยู่ๆมันก็เหมือนวูบแล้วก็รู้สึกโล่ง พอลองเดิน ก็ประมาณ 10 ก้าวถึงเริ่มเหนื่อย รู้แต่ว่ากินข้าวเสร็จควรออกจากบ้าน เพื่อไกลจากสิ่งที่เป็นสื่อให้หอบคือขนแมวในบ้าน แต่สุดท้ายคิดว่าไปไม่ไหว เลยจำกัดบริเวณตนเองให้อยู่ในห้อง แล้วปล่อยบริเวณที่กว้างๆในบ้านให้แมวอยู่ไป วันที่ 26 ทั้งวันก็จะเป็นการฟังธรรม นั่งหลับ กดจุด ดีทอกซ์ อาบน้ำ สลับไปมา กลางคืนเอนตัวนอนได้ช่วงสี่ทุ่มถึงตีสองอย่างยาว แล้วก็ตื่นมาปัสสาวะ หอบอย่างมาก อาบน้ำ ดีทอกซ์ ฟังธรรม รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วก็นั่งหลับแบบไม่รู้ตัว ตื่นอีกทีก็เช้าแล้ว

วันที่ 27 รู้สึกว่าเดินยาวๆได้แล้วไม่หอบ แต่รู้ว่าระบบหายใจยังไม่ปกติอยู่ แต่อาการประมาณนี้ในอดีต หยอดหู ตา จมูก จะช่วยได้มาก และถ้าไม่อยู่ใกล้สิ่งกระตุ้นคือขนแมว อาการหายใจไม่ปกติมันก็จะมีเพียงเล็กน้อย ไรๆ ใช้ชีวิตปกติได้ เลยไปร่วมกิจกรรมกับนักศึกษาสถาบันอาศรมศิลป์ปี ๑ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ก็อยู่รอดปลอดภัยดี มีตอนเดินขึ้นบันไดดนตรีที่ตึกสสส ที่มีอาการหอบตั้งสติหายใจสักพักก็หาย ตอนเย็นกลับบ้านแมวออกมาตอนรับแล้วก็นัวเนียขออาหาร จามต่อเนื่องทันทีเลย แล้วก็เป็นอีกคืนที่ต้องนั่งหลับ แต่โชคดีที่ได้หลับยาวช่วงประมาณสี่ทุ่มถึงตีสอง เฮ้อ อาบน้ำ ทำดีทอกซ์ ฟังธรรม ตอนตีสอง มาสามคืนติดแล้วนะ โชคดีอีกครั้งที่คืนนี้สามารถนอนฟังธรรมได้ แล้วสักตีสี่ก็หลับไปอีกรอบ

วันที่ 28 ยังมีอาการหอบอยู่เล็กน้อยตอนอยู่บ้าน ระบบหายใจยังมีติดขัดอยู่บ้าง ก็หยอดหู ตา จมูก แล้วก็ไปเรียนที่อาศรมศิลป์อย่างปกติ เช่นเดิมนาฬิกาปลุกอัตโนมัติคืนที่สี่แล้วที่ตื่นตีสองมา อาบน้ำ ทำดีทอกซ์ ฟังธรรม แล้วก็หลับอย่างไม่รู้ตัว แต่คืนนี้โชคดีได้นอนหลับทั้งสองรอบ

วันที่ 29 เหลืออาการไอ เพื่อเอาเสมหะออก นานๆไอที แต่ร่างกายเหมือนจะพยายามเอาเสมหะออกพอไอ ก็อยากไอติดต่อกันเพื่อเอาเสมหะออก ก็ต้องเตือนตนเองเสมหะมันไม่จำเป็นต้องออกทางปากก็ได้ หรือถ้าร่างกายมันแข็งแรงพอ เสมหะมันก็จะออกอย่างง่ายๆ ไม่ต้องไอต่อเนื่องให้เหนื่อยหอบ ต้องสติหายใจช้าๆ เพื่อช้าการไอ และทำให้การไอเป็นไปอย่างละมุนละม่อม ถนอมปอดถนอมหลอดลม ก็รอดมาไม่สร้างเหตุให้เกิดอาการหอบ คืนนี้นั่งเขียนสรุปกาย-ใจ เพลินถึงเกือบตีหนึ่ง 1.45 ตื่นเพราะไอ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะหลับต่อได้ เหมือนจิตมันอยากรีบนอนให้หลับ กลัวนอนไม่พอ เปิดธรรมะไว้เพื่อให้จิตไม่หมกหมุ่นกับการอยากนอน สุดท้ายก็หลับไม่รู้ตัว และแล้วชีวิตก็กลับสู่ภาวะปกติ ได้ตื่นมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้ตีสองแล้ว แล้วก็พิจารณาว่าจะเลือกหลับต่อหรืออ่านหนังสือก็ว่าไป ไม่ใช่ต้องลุกมาอาบน้ำทำ ดีทอกซ์ : )

เช้าวันที่ 30 หายใจยังมีติดๆอยู่ แต่เสมหะเริ่มอยู่แถวคอและเริ่มลอยแล้ว ก็หยอดหู ตา จมูกไป แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ

ละบาป บำเพ็ญบุญ ทำจิตใจให้ผ่องใส

กลับบ้านคราวนี้ตอนแมวมานัวเนียขออาหารแล้วเราก็จามติดต่อกันทันที มีความรู้สึกเคืองว่าเป็นเพราะมันทำให้เราป่วย แต่ก็เพราะเราเอง เราเป็นคนคิดที่จะเลี้ยงทวด หรือมากกว่าทวดของมันเอง แถมไม่มีปัญญาจับมันไปทำหมัน จะสอนให้มันใช้สัญชาตญาณของมันเองในการหาอาหาร ด้วยการลดปริมาณอาหารเม็ดที่ให้เพื่อกระตุ้นให้มันหาอาหารเพิ่มเติมเอง แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ยิ่งกว่านั้นถ้าร่างกายเราสมดุลเราก็ไม่หอบ เราไม่ได้หอบหรือจามทุกครั้งที่แมวมานัวเนีย แต่เนี่ยเพราะเรากินอาหารตามใจกิเลสในช่วงเทศกาลเจ เลยเกิดเหตุการณ์นี้ เราจะเพิ่มบาปให้ตนโดยใส่ความโกรธเคืองแมวในจิตใจของเราหรือ การเจ็บป่วยของเราดูเหมือนจะมีเหตุเกิดจากเรามากกว่าแมวอีก

--------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคยา ๙ เม็ดของแพทยวิถีธรรมที่  http://www.morkeaw.net/

ดูทฤษฎีการหายใจปรับสมดุลรักษาโรค กปาลภาติ แพทย์วิถีธรรมที่ http://www.youtube.com/watch?v=iZjzvKstxNA

ฝึกหายใจกปาลภาติแบบแพทย์วิถีธรรมร่วมกันที่ http://www.youtube.com/watch?v=qLH8uGQGYwc

หมายเลขบันทึก: 577714เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2014 18:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน 2014 18:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท