เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษโดยปกติแล้วจะมีกริยาแท้อยู่ 1 ตัว หากมีกริยาอื่นๆมาแทรกจึงถือว่าเป็นกริยาช่วย โดยมากจะมี to มาคั่น เช่น ในภาษาไทยประโยคที่ว่า
ฉันอยากไปว่ายน้ำ จากประโยคจะสังเกตได้ว่า มีคำว่า อยาก, ไป, และว่ายน้ำ ประโยคนี้มีกริยาแท้ตัวเดียวก็คือ ต้องการ ส่วนคำว่า ไป และว่ายน้ำนั้นถือว่าเป็นกริยาช่วย หรือ กริยาแบบ non-finite verbs จากประโยคดังกล่าวหากแปลเป็นภาษาอังกฤษจะได้ว่า I want to go swimming. โปรดสังเกต want ต้องมี to มาคั่นก่อนมี go มาตามท้าย
เนื่องจาก กริยาช่องที่ 1 มี to มาคั่นกริยาอีกตัวหนึ่ง เป็นสิ่งที่ยากมาก ดังนั้นหากผมสอนก็จะสอนเรื่อง กริยาช่องที่ 1 ไม่มี to มาคั่น และกริยาที่เติม ing มากก่อน หากจำทั้งสองอย่างนี้ได้ ที่เหลือจะเป็นกริยาช่องที่ 1 มี to มาคั่นนั่นเอง
หลักเกณฑ์ในการใช้ กริยาช่องที่ 1 ไม่มี to มาคั่น
1. หลังกริยาช่วยทุกตัว จะไม่มี to มาคั่น เช่น
Can = สามารถ เช่น He can run very fast. เขาวิ่งได้อย่างรวดเร็ว
Could = สามารถ (เป็นอดีต) เช่น As a boy he could run very fast. ตอนเป็นเด็ก เขาวิ่งได้อย่างรวดเร็ว
May. Mighht = อาจ เช่น I may fly to Africa this summer.
Must = จะต้อง เช่น I must go now. ฉันต้องไปแล้วตอนนี้
Mustn’t = จะต้องไม่ เช่น You mustn't smoke here. เธอจะต้องไม่สูบบุหรี่ที่นี่
Needn’t = ไม่จำเป็นต้อง เช่น You needn't go. เธอไม่จำเป็นต้องไป
Shall, Should = ควรจะ เช่น We shall sing. พวกเราควรจะร้องเพลง
Will, would = จะ เช่น She will cook a meal for his birthday. หล่อนจะทำอาหารในงานวันเกิดเขา
2. หลังกริยา to doเช่น I don’t know.
3. หลังจากวลี ดังต่อไปนี้
Had better, would rather, would sooner = เป็นการดีกว่าที่จะ เช่น
You had better clean up your room. เป็นการดีกว่าที่จะทำความสะอาดห้องคุณ
Susan would rather study for her exam tomorrow. เป็นการดีกว่าที่จะซูซานจะเรียนหนังสือเพื่อการสอบในวันพรุ่งนี้
I would sooner read a book than watch this film. เป็นการดีกว่าที่จะฉันจะอ่านหนังสือมากกว่าไปดูหนัง
Why not = ทำไมถึงไม่หละ เช่น Why not ask your neighbors for help? ทำไมถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านหละ
Why should we = ทำไมพวกเราจึงควรจะ เช่น Why should we go by car? ทำไมพวกเราจึงควรซื้อรถสักคันดีไหม
4. หลังกริยาที่มีประสาทสัมผัส พวก feel, hear, notice เป็นต้น การกระทำเหล่านี้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว (ถ้าไม่ใช้ infinitive without to อาจใช้กริยาเติม ing ก็ได้)
Feel = รู้สึก เช่น She feels the rain fall or falling on her face. หล่อนรู้สึกฝนที่ตกบนหน้าหล่อน
Hear= ได้ยิน เช่น I heard Peter sing or singing. ฉันได้ยินปีเตอร์ร้องเพลง
Notice = สังเกต เช่น Mandy noticed the boy climb or climbing the tree. แมนดี้สังเกตเห็นเด็กผู้ชายกำลังปีนต้นไม้อยู่
See = เห็น เช่น They saw him climb or climbing up the roof. พวกเขาเห็นเขาปีนหลังคา
Watch = เห็น เช่น He watched the thieves steal or stealing a car. เขาเห็นขโมยลักรถ
5. หลัง let, let’s, make, help, have เช่น
Let = ปล่อยให้ เช่น Sandy let her child go out alone. แซนดี้ปล่อยให้ลูกของหล่อนไปคนเดียว
Let’s = ไป...กันเถอะ เช่น Let's go for a walk through the park. ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะกันเถอะ
Make = ทำให้ เช่น She made Peggy clean the room. หล่อนให้เพ็กกี้ทำความสะอาดห้อง
Help = ช่วยเหลือ เช่น I will help you clean your room. ฉันจะช่วยเหลือคุณทำความสะอาดห้อง
Have = ให้ เช่น My friend will have his brother mail a letter. เพื่อนของฉันให้น้องชายของเขาไปส่งจดหมาย
ชอบบันทึกนี้มากๆๆ ค่ะ ได้ความรู้ดีดี... มีประโยชน์ค่ะ...เช่น....
หลังกริยา ที่มีประสาทสัมผัส พวก feel, hear, notice เป็นต้น .... การกระทำเหล่านี้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ... ถ้าไม่ใช้ infinitive without to อาจใช้กริยาเติม ing
ขอบคุณค่ะ